ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ มาได้ครึ่งเรื่องแล้วค่ะสำหรับนิยายเรื่องนี้
จริงๆอยากแปล 8 บทให้จบภายในวันพุธหน้า ถ้าได้อ่านนิยายจบก่อนดูตอน 9 เราว่าน่าจะอินกันพอควรเลย
*** เราแปลจากภาษาอังกฤษที่เขาแปลมาอีกทีนะคะ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น หากพบข้อผิดพลาดใดๆสามารถบอกได้ค่ะ จะได้รีบแก้ไข
*** เราไม่มีพื้นฐานเรื่องว่ายน้ำเลย เราจึงเสิร์ชหาข้อมูลในอากู๋ หากใครพบเห็นว่ามันแปล่งแปลก มันไม่ใช่ รีบบอกเลยนะคะ
<<credit pt1>>
<<credit pt2>>
บทที่ 1 ว่ายน้ำ
บทที่ 2 น้ำ
บทที่ 3 ฟรี
บทที่ 4 ว่ายผลัด
บทที่ 4 ว่ายผลัด
วันนี้ลมหนาวก็พัดผ่านถนนต้นปอปลาร์เช่นเคย ทุกคนที่อยู่เดินบนถนนต่างห่อไหลห่อตัว หลุบตาลงต่ำ มีเพียงแค่รินเท่านั้นที่กำลังวิ่งอยู่ เขาวิ่งผ่านเด็กคนอื่นๆ ขณะหายใจออกมาเป็นไอสีขาว ดูเหมือนว่าเขาชนกับคนอื่นๆในบางครั้ง
ถนนแห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับวิ่งต่างจากถนนไปยังสโมสร เนื่องจากว่ามีคนมากมายที่มุ่งหน้าไปยังโรงเรียน เลยไม่สามารถวิ่งได้ตามที่ต้องการ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่รินวิ่งไปก็เปล่าประโยชน์ แถมยังกล่าวได้ว่าเขาไปรบกวนคนอื่นๆรอบเขาอีกด้วย
ตรงหน้าริน ผ้าพันคอสีขาวที่มีรอยเปื้อนสีน้ำตาลอยู่อย่างประปรายล่องลอยตามสายลม รินเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย เมื่อรินวิ่งตามทันผ้าพันคอนั่น เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหายใจอย่างเหนื่อยหอบ
“อรุณสวัสดิ์ ยาซากิซัง”
อากิหันหน้าพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง รินคิดว่าเธออาจจะเดินพร้อมรอยยิ้มตลอดก็เป็นได้
“อรุณสวัสดิ์ มัตซึโอกะคุง วิ่งมาที่นี่เหรอ?”
“อืม เป็นการฝึกอย่างหนึ่งนะ” รินอวด พร้อมหายใจออกเป็นสีขาว
“ยอดไปเลย แต่วิ่งในที่แบบนี้มันอันตรายนะ”
รินชะงัก
“อ่า เรื่องนั้นตอนวิ่งฉันระวังอยู่แล้ว”
ผ้าพันคอของอากิปลิวพัดไปตามสายลม เฉียดใบแก้ของริน ผ้าพันคอมีรอยเปราะที่ไม่สามารถซักออกได้ รินไม่เหตุผลว่า ทำไมฮารุกจึงเดินไปยังคันดินเพื่อหยิบผ้าพันคอนั่นด้วย เขาไม่มีความตั้งใจที่จะถามถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ เหมือนกับที่เขาไม่อยากหาเหตุผลว่าทำไมมาโคโตะถึงสั่นในตอนนั้น
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้รินไม่ถามอากิว่าทำไมเธอจึงสวมผ้าพันคอที่เปรอะเปื้อนนี้ด้วย
“เมื่อวานขอโทษด้วยนะที่ให้ทำอะไรไร้เหตุผลเมื่อวาน” อากิเอียงคอเล็กน้อย
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันเองก็คิดว่านานาเสะคุงควรแข่งว่ายผลัดด้วย”
“ทำไม??”
เมื่อได้ยินคำถามตรงไปตรงมาของรินนั้น อากิมองลงต่ำลงเล็กน้อย ยังคงยิ้มอยู่ จากนั้นสายตาของเธอก็มองขึ้นไปยังที่ไกล
“นานาเสะคุงทำอะไรด้วยตัวเองได้หมด ทั้งเรียนและกีฬา เขาวาดรูปเก่งมาก เขาทำอะไรได้หมดทุกอย่าง ดังนั้นทุกคนจึงพึ่งพาเขา แต่เขาก็ไม่ค่อยพึ่งพาใครอื่นเลยไม่ใช่เหรอ?”
รินก็คิดเช่นนั้น แม้เขาพึ่งย้ายโรงเรียนมา นั่นก็เป็นความประทับใจของเขาที่มีต่อฮารุกะ แม้ฮารุกะไม่ได้แสวงหาความสัมพันธ์ใดๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโดดเดี่ยว ในทางกลับกัน เขาเป็นที่พึ่งพาของคนในห้อง และเมื่อคนอื่นพึ่งพาเขา เขาก็มักแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำได้ และฮารุกะก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนที่อยู่รอบข้างอย่างประหลาด
“ฉันคิดว่านานาเสะคุงเป็นคนใจดี เขาก็เลยไม่ค่อยพูดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาพยายามไม่ให้คนอื่นเป็นห่วงมากนัก ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ชอบทำร้ายคนอื่นและทิ้งคนอื่นไว้ตามลำพัก แต่ฉันว่าถ้าไม่คิดถึงเรื่องนั้นคงไม่ดีเท่าไหรนัก แต่ถ้านานาเสะคุงกล้าแสดงออกมากกว่านี้”
อากิหันไปทางรินด้วยสายตาราวกับถามว่าเขาคิดยังไง หากให้พูดกันตรงๆ เขาไม่ได้คิดแม้แต่ปรับตัวเข้าหาบุคลิกของฮารุกะ เขาไม่สามารถจินตนาการถึงนิสัยของฮารกุะประมาณว่า 'เดี๋ยวมันก็ดีเอง' ได้เลย เพียงแค่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสนใจฮารุกะ มีเพียงแค่ความรู้สึกที่อยากว่ายผลัดเท่านั้น
“ฉันคิดเหมือนกัน คนเคร่งขึมอย่างหมอนั่นขาดอารมณ์ขัน เขาควรเอาฉันเป็นแบบอย่างบ้างนะ?”
รินตอบไปอย่างที่เห็นว่าสมควร โดยใส่มุกไปเล็กน้อย อากิหัวเราะเล็กน้อย
“แน่นอน ถ้าเกิดว่าพวกนายทั้งสองมีนิสัยของกันและกันคนละครึ่งก็ไม่เลวนะ”
“นี่เธอหมายความว่าฉันละลาบละล้วงไปหน่อยเหรอ?”
อากิยิ้มยืนยันคำตอบ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ฉันก็ยังอยากเห็นนานาเสะคุงพยายามอย่างเต็มที่กับทุกๆคน”
อากิมองขึ้นไปยังท้องฟ้า เมฆเป็นคลื่นลอยราวกับดอกไม้ที่วาดด้วยสีเทียน
ฮารุกะเดินลงจากขั้นบันไดหิน มาโคโตะก็เดินลงด้วย
“นี่ ฉันไม่สายใช่ไหม?”
“ไปกันเถอะ”
ฮารุกะกับมาโคโตะวิ่งข้างๆกัน หายใจออกมาเป็นไอสีขาว
เมื่อทั้งคู่ใกล้ถึงสะพานมุซึกิ นางิสะก็กำลังรอพวกเขาอยู่ ฮารุกะแสดงฝ่ามือขวาเป็นการตอบมือที่โบกไปมาของอีกฝ่าย สายตาของนางิสะผ่านทั้งฮารุกะและมาโคโตะไป เขาโบกมือให้คนอื่นอีกคนด้วย ฮารุกะรู้โดยที่ไม่ต้องมอง คนนั้นคือริน เสียงฝีเท้าค่อยๆดังขึ้น รินอยู่ข้างๆพวกเขาก่อนที่ทั้งสี่จะข้ามสะพาน
“โย่”
ฮารุกะตอบรับเสียงทักทายของรินด้วยการยกฝ่ามือเพียงแค่แปปเดียว จากที่รินเห็น เขาคงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก ฮารุกะบอกให้เขาไปยังอีกฝั่ง
นางิสะวิ่งมาข้างๆฮารุกะ
“นานาเสะคุง วันนี้ฉันวิ่งทันได้แน่นอน”
“ถ้าหยุดอยู่กับที่ตรงนั้น มันก็ไม่ใช่การฝึกฝนน่ะสิ”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันจะรอด้วยวิ่งกับที่”
โดยที่ไม่รู้ว่านางิสะพูดเล่นหรือพูดจริง แต่ก็ทำให้ฮารุกะเกือบหลุดหัวเราะออกมา ด้านหลังเขา มาโคโตะและรินก็หัวเราะออกมาแทนเขา เมื่อทั้งสามเป็นนางิสะท่าทางสับสน ก็ดูเหมือนว่านางิสะจริงจังกับเรื่องนี้
“ถึงบอกว่าวิ่งเหยาะอยู่กับที่ แต่ฉันหมายถึงวิ่งกับที่แบบเร็วมากของมากนะ”
เสียงหัวเราะจากคนทั้งสองหลังฮารุกะก็ดังขึ้นกว่าเดิม รินเซเล็กน้อย เหมือนกับว่าเขาสูญเสียการทรงตัวจากการหัวเราะ
“ถ้าคุยเล่น ฉันจะทิ้งไว้นะ”
ฮารุกะวิ่งเร็วขึ้นเล็กน้อย วันนี้ลมพัดสะพานมุซึกิอีกไหม? ฮารุกะลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทจนกระทั่งทั้งสี่ข้ามสะพานเสร็จ
นางิสะวิ่งอย่างกระตือรือร้น ถ้าเขายังวิ่งด้วยความเร็วนี้อยู่ เขาอาจจะไม่สามารถวิ่งข้างฮารุกะได้อีก นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ลมหายใจของนางิสะแรงขึ้น ฮารุกะที่เห็นนางิสะค่อยๆวิ่งตามหลัง เขาก็หลุบตาลงต่ำ
มาได้แค่นี่สินะ
ฮารุกะถอนหายใจยาว ก่อนที่เขาจะก้าวช้าขึ้นเล็กน้อย
“โอ้ว”
รินกล่าวด้วยเสียงเล็ก “นานาเสะนี่ใจดีจริงๆ” ฮารุกะได้ยินรินพูดอย่างนั้น เขาก็เดาะลิ้นในใจ นางิสะวิ่งตามทันด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ดูเหมือนว่านางิสะหมดแรงพูดเล่นเสียแล้ว
เมื่อทั้งสี่ไปถึงสโมสรอิวาโทบิ นางิสะก็ยังคงหายใจเหนื่อยหอบ
“นายพยายามได้ดีมาก”
รินลูบหลังนางิสะเบาๆ นางิเสะเหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแล้วหอบแทน เมื่อนางิสะมาถึงริมสระ นางิสะก็เป็นนางิสะคนเดิม
“มัตซึโอกะคุง วันนี้จะฝึกว่ายผลัดไหม?”
“อ่าฮะ”
รินตอบแบบกึ่งสนใจ กึ่งเย็นชา ถึงเขาจะฝึกแต่ก็มีสมาชิกไม่ครบ แล้วเขาก็ไม่มีต้องยุ่งกับนางิสะด้วย
“วันนี้เด็กประถมห้ามีจับเวลาว่ายน้ำด้วย แล้วถ้า ถ้าเกิดว่าฉันได้ที่ 1 จากท่ากบ จะให้ฉันอยู่กับทีมว่ายผลัดผสมรึเปล่า? ”
รินมองไปยังนางิสะอย่างหนักหน่วงใจ เขาพยายามหาว่าอีกฝ่ายเอาอะไรมาให้ได้มั่นใจขนาดนั้น หากดูจากร่างกายอันบอบบางนั่นแล้ว
หรือเราผิดไป นางิสะต่างจากที่คิดรึเปล่า?
นางิสะไม่มีอะไรไปมากกว่าความน่ารัก เหมือนน้องชาย เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณต่อสู้อะไรเทือกนั้นจากตัวนางิสะได้เลย
แต่เมื่อเขาพยายามคิด เขาเห็นนางิสะมาได้แค่เดือนเดียวเอง อีกอย่างเมื่อตอนที่เขาอยู่ประถม 5 เขามั่นในตัวเองกว่ามาก แล้วจะหยาบกว่ามาก แม้เขาถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องตอนประถมหก เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“ก็ได้ แต่นายต้องได้ที่หนึ่งเท่านั้นนะ”
ดูเหมือนว่ารินให้สัญญาไป แม้เขาคิดว่าความเป็นไปได้แทบเป็นศูนย์ก็ตาม
“เน้ นานาเสะคุงได้ยินไหม? ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เลย”
“อืม โชคดี”
ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นกลายเป็นคำให้กำลังใจนางิสะ เขาดีใจอย่างไร้เดียงสาก่อนที่เขาจะได้ว่ายน้ำเสียอีก รินเชื่อว่าคงคิดมากไปเอง เมื่อรินยิ้มไปตามปกติ มาโคโตะก็กระซิบอย่างเป็นกังวล
“นี่มัตซึโอกะคุง สัญญาไว้แบบนั้นจะดีเหรอ?”
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าเกิดว่าเขาได้ที่หนึ่งจริงๆ ก็หมายความว่าเขาก็มีพลังฮึดที่พวกเราสามารถควาดหวังได้”
รินคิดว่าต้องทำให้มั่นใจว่า ตัวตนที่แท้จริงของนางิสะหลบซ่อนอยู่ เขาอยากรู้ว่าจะมีจิตใจอันร้อนรุ่มอยู่ภายในอกอันบอบบางนั้นหรือไม่ ถ้าหากนางิสะอยากลงแข่งว่ายผลัดผสม แต่พวกเขาคงแย่หากนางิสะไม่ได้อยากลงแข่งมากขนาดนั้น
“ไม่ได้หมายถึงนางิสะ หมายถึงฮารุน่ะ ดูเหมือนว่านางิสะอยากเข้าทีมเพราะฮารุเป็นสมาชิกนะ”
“ตรงกันข้ามเลย แต่มันมีแผนเล็กๆน้อยๆที่จะทำให้นานาเสะอยู่ในทีมว่ายผลัดผสม”
มันเป็นความหวังลมแล้งๆ ก็อื่นเลยเป้าหมายแรกคือนางิสะต้องว่ายให้ได้ที่หนึ่ง จากที่รินเห็น ฮารุกะไม่ได้กีดกันนางิสะ เขาจะยืนกรานที่จะไม่ว่ายน้ำกับนางิสะไปได้นานแค่ไหนกัน? รินคิดว่าถ้าเขารู้สึกต่อต้านที่จะทำให้นางิสะผิดหวัง ก็มีความเป็นไปได้ เหมือนกับที่ฮารุกะวิ่งช้าลงเพื่อนางิสะ
เป็นแผนเล็กๆน้อยๆที่เฝ้ารอปาฏิหาริย์ ด้วยความรู้สึกที่เหมือนสวดมนตร์อธิษฐานขอพร
การจับเวลาว่ายน้ำของเด็กประถมห้าจัดขึ้นที่สระลู่สั้น 25 เมตร โดยจับเวลาเมื่อว่ายได้ 50 เมตร โดนเริ่มจาก กรรเชียง กบ ผีเสื้อ และ ฟรีสไตล์ตามลำดับ แข่งกันโดยจับเป็นกลุ่มกลุ่มละ 8 คน
มาโคโตะได้รับคำตอบ “ไว้คิดดูก่อน” จากฮารุกะ เขาคิดว่าระหว่างคำว่า “ไว้คิดดูก่อน” กับ “ฉันจะว่าย” มันมีจุดต่างกันเล็กน้อย ที่จริงนางิสะไม่ได้อยากว่ายผลัด เขาอยากว่ายกับฮารุกะ เพราะถ้าฮารุกะอยู่ในสโมสรว่ายน้ำ นางิสะก็อยู่ด้วย เพราะถ้าฮารุกะวิ่ง นางิสะก็วิ่งตาม เพราะถ้าฮารุกะจะแข่งว่ายผลัด นางิสะก็จะแข่งว่ายผลัดด้วย นั่นเป็นสิ่งที่มาโคโตะเห็น ไม่ใช่สิ่งที่เขาถามจากปากของนางิสะ ที่จริงพวกเขาต้องให้ฮารุกะเป็นสมาชิกเสียก่อนที่จะรับพิจารณานางิสะก่อนเสียอีก มาโคโตะครุ่นคิดขณะที่มองไปยังการว่ายจับเวลาของเด็กประถมห้า และนางิสะก็ยืนอยู่บนแท่นกระโดด การจับเวลาของท่ากบเริ่มขึ้น มาโคโตะสงสัยว่าด้วยร่างกายอันบอบบางนั่น จะมีพลังอยู่แค่ไหนกัน ร่างกายนั่นดูบอบบางยิ่งกว่าบรรดาเด็กประถมห้าคนอื่นๆเสียอีก
<<มีต่อ>>
[แปล]High speed! บทที่ 4
จริงๆอยากแปล 8 บทให้จบภายในวันพุธหน้า ถ้าได้อ่านนิยายจบก่อนดูตอน 9 เราว่าน่าจะอินกันพอควรเลย
*** เราแปลจากภาษาอังกฤษที่เขาแปลมาอีกทีนะคะ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น หากพบข้อผิดพลาดใดๆสามารถบอกได้ค่ะ จะได้รีบแก้ไข
*** เราไม่มีพื้นฐานเรื่องว่ายน้ำเลย เราจึงเสิร์ชหาข้อมูลในอากู๋ หากใครพบเห็นว่ามันแปล่งแปลก มันไม่ใช่ รีบบอกเลยนะคะ
<<credit pt1>>
<<credit pt2>>
บทที่ 1 ว่ายน้ำ
บทที่ 2 น้ำ
บทที่ 3 ฟรี
บทที่ 4 ว่ายผลัด
บทที่ 4 ว่ายผลัด
วันนี้ลมหนาวก็พัดผ่านถนนต้นปอปลาร์เช่นเคย ทุกคนที่อยู่เดินบนถนนต่างห่อไหลห่อตัว หลุบตาลงต่ำ มีเพียงแค่รินเท่านั้นที่กำลังวิ่งอยู่ เขาวิ่งผ่านเด็กคนอื่นๆ ขณะหายใจออกมาเป็นไอสีขาว ดูเหมือนว่าเขาชนกับคนอื่นๆในบางครั้ง
ถนนแห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับวิ่งต่างจากถนนไปยังสโมสร เนื่องจากว่ามีคนมากมายที่มุ่งหน้าไปยังโรงเรียน เลยไม่สามารถวิ่งได้ตามที่ต้องการ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่รินวิ่งไปก็เปล่าประโยชน์ แถมยังกล่าวได้ว่าเขาไปรบกวนคนอื่นๆรอบเขาอีกด้วย
ตรงหน้าริน ผ้าพันคอสีขาวที่มีรอยเปื้อนสีน้ำตาลอยู่อย่างประปรายล่องลอยตามสายลม รินเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย เมื่อรินวิ่งตามทันผ้าพันคอนั่น เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหายใจอย่างเหนื่อยหอบ
“อรุณสวัสดิ์ ยาซากิซัง”
อากิหันหน้าพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง รินคิดว่าเธออาจจะเดินพร้อมรอยยิ้มตลอดก็เป็นได้
“อรุณสวัสดิ์ มัตซึโอกะคุง วิ่งมาที่นี่เหรอ?”
“อืม เป็นการฝึกอย่างหนึ่งนะ” รินอวด พร้อมหายใจออกเป็นสีขาว
“ยอดไปเลย แต่วิ่งในที่แบบนี้มันอันตรายนะ”
รินชะงัก
“อ่า เรื่องนั้นตอนวิ่งฉันระวังอยู่แล้ว”
ผ้าพันคอของอากิปลิวพัดไปตามสายลม เฉียดใบแก้ของริน ผ้าพันคอมีรอยเปราะที่ไม่สามารถซักออกได้ รินไม่เหตุผลว่า ทำไมฮารุกจึงเดินไปยังคันดินเพื่อหยิบผ้าพันคอนั่นด้วย เขาไม่มีความตั้งใจที่จะถามถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ เหมือนกับที่เขาไม่อยากหาเหตุผลว่าทำไมมาโคโตะถึงสั่นในตอนนั้น
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้รินไม่ถามอากิว่าทำไมเธอจึงสวมผ้าพันคอที่เปรอะเปื้อนนี้ด้วย
“เมื่อวานขอโทษด้วยนะที่ให้ทำอะไรไร้เหตุผลเมื่อวาน” อากิเอียงคอเล็กน้อย
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันเองก็คิดว่านานาเสะคุงควรแข่งว่ายผลัดด้วย”
“ทำไม??”
เมื่อได้ยินคำถามตรงไปตรงมาของรินนั้น อากิมองลงต่ำลงเล็กน้อย ยังคงยิ้มอยู่ จากนั้นสายตาของเธอก็มองขึ้นไปยังที่ไกล
“นานาเสะคุงทำอะไรด้วยตัวเองได้หมด ทั้งเรียนและกีฬา เขาวาดรูปเก่งมาก เขาทำอะไรได้หมดทุกอย่าง ดังนั้นทุกคนจึงพึ่งพาเขา แต่เขาก็ไม่ค่อยพึ่งพาใครอื่นเลยไม่ใช่เหรอ?”
รินก็คิดเช่นนั้น แม้เขาพึ่งย้ายโรงเรียนมา นั่นก็เป็นความประทับใจของเขาที่มีต่อฮารุกะ แม้ฮารุกะไม่ได้แสวงหาความสัมพันธ์ใดๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโดดเดี่ยว ในทางกลับกัน เขาเป็นที่พึ่งพาของคนในห้อง และเมื่อคนอื่นพึ่งพาเขา เขาก็มักแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำได้ และฮารุกะก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนที่อยู่รอบข้างอย่างประหลาด
“ฉันคิดว่านานาเสะคุงเป็นคนใจดี เขาก็เลยไม่ค่อยพูดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาพยายามไม่ให้คนอื่นเป็นห่วงมากนัก ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ชอบทำร้ายคนอื่นและทิ้งคนอื่นไว้ตามลำพัก แต่ฉันว่าถ้าไม่คิดถึงเรื่องนั้นคงไม่ดีเท่าไหรนัก แต่ถ้านานาเสะคุงกล้าแสดงออกมากกว่านี้”
อากิหันไปทางรินด้วยสายตาราวกับถามว่าเขาคิดยังไง หากให้พูดกันตรงๆ เขาไม่ได้คิดแม้แต่ปรับตัวเข้าหาบุคลิกของฮารุกะ เขาไม่สามารถจินตนาการถึงนิสัยของฮารกุะประมาณว่า 'เดี๋ยวมันก็ดีเอง' ได้เลย เพียงแค่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสนใจฮารุกะ มีเพียงแค่ความรู้สึกที่อยากว่ายผลัดเท่านั้น
“ฉันคิดเหมือนกัน คนเคร่งขึมอย่างหมอนั่นขาดอารมณ์ขัน เขาควรเอาฉันเป็นแบบอย่างบ้างนะ?”
รินตอบไปอย่างที่เห็นว่าสมควร โดยใส่มุกไปเล็กน้อย อากิหัวเราะเล็กน้อย
“แน่นอน ถ้าเกิดว่าพวกนายทั้งสองมีนิสัยของกันและกันคนละครึ่งก็ไม่เลวนะ”
“นี่เธอหมายความว่าฉันละลาบละล้วงไปหน่อยเหรอ?”
อากิยิ้มยืนยันคำตอบ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ฉันก็ยังอยากเห็นนานาเสะคุงพยายามอย่างเต็มที่กับทุกๆคน”
อากิมองขึ้นไปยังท้องฟ้า เมฆเป็นคลื่นลอยราวกับดอกไม้ที่วาดด้วยสีเทียน
ฮารุกะเดินลงจากขั้นบันไดหิน มาโคโตะก็เดินลงด้วย
“นี่ ฉันไม่สายใช่ไหม?”
“ไปกันเถอะ”
ฮารุกะกับมาโคโตะวิ่งข้างๆกัน หายใจออกมาเป็นไอสีขาว
เมื่อทั้งคู่ใกล้ถึงสะพานมุซึกิ นางิสะก็กำลังรอพวกเขาอยู่ ฮารุกะแสดงฝ่ามือขวาเป็นการตอบมือที่โบกไปมาของอีกฝ่าย สายตาของนางิสะผ่านทั้งฮารุกะและมาโคโตะไป เขาโบกมือให้คนอื่นอีกคนด้วย ฮารุกะรู้โดยที่ไม่ต้องมอง คนนั้นคือริน เสียงฝีเท้าค่อยๆดังขึ้น รินอยู่ข้างๆพวกเขาก่อนที่ทั้งสี่จะข้ามสะพาน
“โย่”
ฮารุกะตอบรับเสียงทักทายของรินด้วยการยกฝ่ามือเพียงแค่แปปเดียว จากที่รินเห็น เขาคงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก ฮารุกะบอกให้เขาไปยังอีกฝั่ง
นางิสะวิ่งมาข้างๆฮารุกะ
“นานาเสะคุง วันนี้ฉันวิ่งทันได้แน่นอน”
“ถ้าหยุดอยู่กับที่ตรงนั้น มันก็ไม่ใช่การฝึกฝนน่ะสิ”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันจะรอด้วยวิ่งกับที่”
โดยที่ไม่รู้ว่านางิสะพูดเล่นหรือพูดจริง แต่ก็ทำให้ฮารุกะเกือบหลุดหัวเราะออกมา ด้านหลังเขา มาโคโตะและรินก็หัวเราะออกมาแทนเขา เมื่อทั้งสามเป็นนางิสะท่าทางสับสน ก็ดูเหมือนว่านางิสะจริงจังกับเรื่องนี้
“ถึงบอกว่าวิ่งเหยาะอยู่กับที่ แต่ฉันหมายถึงวิ่งกับที่แบบเร็วมากของมากนะ”
เสียงหัวเราะจากคนทั้งสองหลังฮารุกะก็ดังขึ้นกว่าเดิม รินเซเล็กน้อย เหมือนกับว่าเขาสูญเสียการทรงตัวจากการหัวเราะ
“ถ้าคุยเล่น ฉันจะทิ้งไว้นะ”
ฮารุกะวิ่งเร็วขึ้นเล็กน้อย วันนี้ลมพัดสะพานมุซึกิอีกไหม? ฮารุกะลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทจนกระทั่งทั้งสี่ข้ามสะพานเสร็จ
นางิสะวิ่งอย่างกระตือรือร้น ถ้าเขายังวิ่งด้วยความเร็วนี้อยู่ เขาอาจจะไม่สามารถวิ่งข้างฮารุกะได้อีก นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ลมหายใจของนางิสะแรงขึ้น ฮารุกะที่เห็นนางิสะค่อยๆวิ่งตามหลัง เขาก็หลุบตาลงต่ำ
มาได้แค่นี่สินะ
ฮารุกะถอนหายใจยาว ก่อนที่เขาจะก้าวช้าขึ้นเล็กน้อย
“โอ้ว”
รินกล่าวด้วยเสียงเล็ก “นานาเสะนี่ใจดีจริงๆ” ฮารุกะได้ยินรินพูดอย่างนั้น เขาก็เดาะลิ้นในใจ นางิสะวิ่งตามทันด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ดูเหมือนว่านางิสะหมดแรงพูดเล่นเสียแล้ว
เมื่อทั้งสี่ไปถึงสโมสรอิวาโทบิ นางิสะก็ยังคงหายใจเหนื่อยหอบ
“นายพยายามได้ดีมาก”
รินลูบหลังนางิสะเบาๆ นางิเสะเหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแล้วหอบแทน เมื่อนางิสะมาถึงริมสระ นางิสะก็เป็นนางิสะคนเดิม
“มัตซึโอกะคุง วันนี้จะฝึกว่ายผลัดไหม?”
“อ่าฮะ”
รินตอบแบบกึ่งสนใจ กึ่งเย็นชา ถึงเขาจะฝึกแต่ก็มีสมาชิกไม่ครบ แล้วเขาก็ไม่มีต้องยุ่งกับนางิสะด้วย
“วันนี้เด็กประถมห้ามีจับเวลาว่ายน้ำด้วย แล้วถ้า ถ้าเกิดว่าฉันได้ที่ 1 จากท่ากบ จะให้ฉันอยู่กับทีมว่ายผลัดผสมรึเปล่า? ”
รินมองไปยังนางิสะอย่างหนักหน่วงใจ เขาพยายามหาว่าอีกฝ่ายเอาอะไรมาให้ได้มั่นใจขนาดนั้น หากดูจากร่างกายอันบอบบางนั่นแล้ว
หรือเราผิดไป นางิสะต่างจากที่คิดรึเปล่า?
นางิสะไม่มีอะไรไปมากกว่าความน่ารัก เหมือนน้องชาย เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณต่อสู้อะไรเทือกนั้นจากตัวนางิสะได้เลย
แต่เมื่อเขาพยายามคิด เขาเห็นนางิสะมาได้แค่เดือนเดียวเอง อีกอย่างเมื่อตอนที่เขาอยู่ประถม 5 เขามั่นในตัวเองกว่ามาก แล้วจะหยาบกว่ามาก แม้เขาถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องตอนประถมหก เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“ก็ได้ แต่นายต้องได้ที่หนึ่งเท่านั้นนะ”
ดูเหมือนว่ารินให้สัญญาไป แม้เขาคิดว่าความเป็นไปได้แทบเป็นศูนย์ก็ตาม
“เน้ นานาเสะคุงได้ยินไหม? ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เลย”
“อืม โชคดี”
ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นกลายเป็นคำให้กำลังใจนางิสะ เขาดีใจอย่างไร้เดียงสาก่อนที่เขาจะได้ว่ายน้ำเสียอีก รินเชื่อว่าคงคิดมากไปเอง เมื่อรินยิ้มไปตามปกติ มาโคโตะก็กระซิบอย่างเป็นกังวล
“นี่มัตซึโอกะคุง สัญญาไว้แบบนั้นจะดีเหรอ?”
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าเกิดว่าเขาได้ที่หนึ่งจริงๆ ก็หมายความว่าเขาก็มีพลังฮึดที่พวกเราสามารถควาดหวังได้”
รินคิดว่าต้องทำให้มั่นใจว่า ตัวตนที่แท้จริงของนางิสะหลบซ่อนอยู่ เขาอยากรู้ว่าจะมีจิตใจอันร้อนรุ่มอยู่ภายในอกอันบอบบางนั้นหรือไม่ ถ้าหากนางิสะอยากลงแข่งว่ายผลัดผสม แต่พวกเขาคงแย่หากนางิสะไม่ได้อยากลงแข่งมากขนาดนั้น
“ไม่ได้หมายถึงนางิสะ หมายถึงฮารุน่ะ ดูเหมือนว่านางิสะอยากเข้าทีมเพราะฮารุเป็นสมาชิกนะ”
“ตรงกันข้ามเลย แต่มันมีแผนเล็กๆน้อยๆที่จะทำให้นานาเสะอยู่ในทีมว่ายผลัดผสม”
มันเป็นความหวังลมแล้งๆ ก็อื่นเลยเป้าหมายแรกคือนางิสะต้องว่ายให้ได้ที่หนึ่ง จากที่รินเห็น ฮารุกะไม่ได้กีดกันนางิสะ เขาจะยืนกรานที่จะไม่ว่ายน้ำกับนางิสะไปได้นานแค่ไหนกัน? รินคิดว่าถ้าเขารู้สึกต่อต้านที่จะทำให้นางิสะผิดหวัง ก็มีความเป็นไปได้ เหมือนกับที่ฮารุกะวิ่งช้าลงเพื่อนางิสะ
เป็นแผนเล็กๆน้อยๆที่เฝ้ารอปาฏิหาริย์ ด้วยความรู้สึกที่เหมือนสวดมนตร์อธิษฐานขอพร
การจับเวลาว่ายน้ำของเด็กประถมห้าจัดขึ้นที่สระลู่สั้น 25 เมตร โดยจับเวลาเมื่อว่ายได้ 50 เมตร โดนเริ่มจาก กรรเชียง กบ ผีเสื้อ และ ฟรีสไตล์ตามลำดับ แข่งกันโดยจับเป็นกลุ่มกลุ่มละ 8 คน
มาโคโตะได้รับคำตอบ “ไว้คิดดูก่อน” จากฮารุกะ เขาคิดว่าระหว่างคำว่า “ไว้คิดดูก่อน” กับ “ฉันจะว่าย” มันมีจุดต่างกันเล็กน้อย ที่จริงนางิสะไม่ได้อยากว่ายผลัด เขาอยากว่ายกับฮารุกะ เพราะถ้าฮารุกะอยู่ในสโมสรว่ายน้ำ นางิสะก็อยู่ด้วย เพราะถ้าฮารุกะวิ่ง นางิสะก็วิ่งตาม เพราะถ้าฮารุกะจะแข่งว่ายผลัด นางิสะก็จะแข่งว่ายผลัดด้วย นั่นเป็นสิ่งที่มาโคโตะเห็น ไม่ใช่สิ่งที่เขาถามจากปากของนางิสะ ที่จริงพวกเขาต้องให้ฮารุกะเป็นสมาชิกเสียก่อนที่จะรับพิจารณานางิสะก่อนเสียอีก มาโคโตะครุ่นคิดขณะที่มองไปยังการว่ายจับเวลาของเด็กประถมห้า และนางิสะก็ยืนอยู่บนแท่นกระโดด การจับเวลาของท่ากบเริ่มขึ้น มาโคโตะสงสัยว่าด้วยร่างกายอันบอบบางนั่น จะมีพลังอยู่แค่ไหนกัน ร่างกายนั่นดูบอบบางยิ่งกว่าบรรดาเด็กประถมห้าคนอื่นๆเสียอีก
<<มีต่อ>>