ชายาอนุบิส (3)

กระทู้สนทนา
7 ปีต่อมา....

จากเด็กน้อยในวันนั้น วันนี้ม่านเมรีเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาววัย 12 ปี ที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำสนิทไปตลอดทั้งร่าง แถมยังมีผ้าปกปิดใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้ครึ่งหน้าสีเดียวกันอีกต่างหาก เธอกำลังวิ่งออกจากกระโจมของตัวเอง เพื่อมุ่งตรงไปยังกระโจมเมอริตของท่านหญิงน้อยวัย 7 ชันษา ด้วยความกระปรี้กระเปร่า
ครั้นมาถึงหน้ากระโจมจึงหยุดวิ่งแล้วหอบหายใจเบาๆ ม่านเมรีบอกให้สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจมเข้าไปรายงาน ก่อนที่เธอจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน

“มาแล้วหรือคะ พี่ไอมีอัต ดูน้องสิ เวลาป่านนี้แล้วยังแต่งตัวไม่เสร็จเสียที” เจ้าของกระโจมเป็นดรุณีน้อยตัวอ้วนกลมกำลังพอดี ผิวของนางเป็นสีน้ำผึ้งอมทองแลดูเปล่งปลั่ง

“เร็วๆเข้าสิคีร่า เรายืนเป็นตุ๊กตาให้พวกเจ้าแต่งตัวมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ ยังไม่เสร็จกันอีกหรือ” ท่านหญิงน้อยเมอริคาเรเร่งถาม วันนี้เธออุตส่าห์รีบตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะว่ามีนัดกับพี่ไอมีอัตและทายาทอันดับสองเชียวนะ

“ทำไมพี่ไอมีอัตแต่งตัวเร็วจัง”

ม่านเมรีที่กำลังเดินจับโน่นแตะนี่ภายในกระโจมเมอริตเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลา หันกลับมาตอบคำถามของท่านหญิงน้อยกลับไปว่า

“ก็พี่ไม่ต้องสวมใส่เครื่องประดับโน่นนี่ อีกทั้งมงกุฎแบบนี้เหมือนท่านหญิงเมอริคาเรนี่คะ” ด้วยเพราะสิ่งประดับเพียงชิ้นเดียวที่ม่านเมรีสวมใส่อยู่นั้น มีแค่เพียงสร้อยคอทองคำร้อยกริชเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าเธอที่มีฐานะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงจะไร้ซึ่งเครื่องประดับตกแต่งหรอกนะ หากแต่ทว่าม่านเมรีไม่ชอบสวมใส่สิ่งอื่นใด นอกจากสร้อยคอเส้นนี้เพียงเส้นเดียวต่างหาก

ครั้งหนึ่งเธอเคยถามเฮกาว่าสร้อยเส้นนี้ท่านแม่เมรีรัตน์ทิ้งเอาไว้เป็นของต่างหน้าใช่หรือไม่ แต่ว่าเฮกากลับส่ายหน้า ไม่ยอมตอบคำถามด้วยคำพูดออกมาแม้เพียงคำเดียว และไม่ยอมบอกด้วยว่ามันเป็นของใครกันแน่

“เฮ้อ ~” เสียงถอนหายใจของท่านหญิงเมอริคาเรที่กำลังทำหน้างอคว่ำและความอดทนใกล้จะหมดลงไปทุกทีคน
“เรียบร้อยแล้วเจ้าคะ ท่านหญิงของหม่อมฉันทรงงดงามยิ่งนัก” คีร่ามองสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย รวมทั้งเครื่องประดับตกแต่งของท่านหญิงน้อยอีกครั้ง พลางเอ่ยชมตามความเป็นจริง

“ถ้าเรางดงาม แล้วพี่ไอมีอัตล่ะ นางเองก็งดงามใช่หรือไม่” คนไม่อยากงามแค่เพียงคนเดียวเอ่ยถาม และอยากเผื่อแผ่ความงามไปยังคนอื่นที่ยังคงเดินจับโน่นจับนี่ไปเรื่อยอย่างไม่สนใจ

หากแต่ว่าคำถามนี้ทำให้คีร่าไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปเช่นไรดี เพราะนับตั้งแต่ 7 ปีก่อนซึ่งจู่ๆท่านหญิงไอมีอัตผู้นี้ปกปิดใบหน้าที่แท้จริงครึ่งหนึ่งของนางเอาไว้ จวบจนบัดนี้ยังไม่มีปรากฏเลยว่า มีใครได้ยลโฉมของท่านหญิงผู้นี้เลยซักคน!

แม้แต่ท่านหญิงเมอริคาเรก็ไม่เคยเลยซักครั้ง และเมื่อเอ่ยถามกลับได้รับคำตอบกลับมาว่า นางได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้หนึ่งเอาไว้

“ว่ายังไงล่ะคีร่า” เมื่อเห็นสาวใช้คนสนิทเงียบไป จึงเรียกร้องเอาคำตอบอีกครั้ง

“เอ่อ...หม่อมฉัน”

“พวกเจ้าทั้งสองคุยอะไรกัน!” ผู้มาใหม่เอ่ยถาม ถือวิสาสะเข้ามาในกระโจมของผู้อื่นโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต และต่อให้ไม่อนุญาต เขาก็สามารถเข้ามาจนได้

“อุ๊ย ! ท่านชายมาร์คัส เสด็จเข้ามาด้านในได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เมื่อเห็นตัวช่วยเข้าทันเวลา คีร่าจึงถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องทันที

“ที่นี่กระโจมส่วนตัวของน้องนะคะ ท่านพี่มาร์คัสไม่สมควรเข้ามาก่อนได้รับอนุญาต” คนเป็นน้องยืนกอดอก แหงนหน้าขึ้นมองคนเป็นพี่ซึ่งเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แล้วทำปากยื่น

“ขืนพี่ไม่เข้ามา ก็ต้องยืนรอน้องสาวอย่างเจ้าจนแดดเผาตายอยู่นอกกระโจมนะสิ” ท่านชายมาร์คัสตอบกลับไป

“ส่วนพี่ไอมีอัตก็เหมือนกัน เมื่อไหร่จะเลิกตามใจเมอริคาเรจอมยืดยาดชักช้า แถมยังขี้บ่นเหมือนป้าแก่คนนี้เสียที” คนรอนานเริ่มพาลไปทั่ว ก็นัดกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้รวมหัวกันแกล้งให้เขารอตั้งนานสองนานแบบนี่

“พี่ว่าเรารีบไปดูท่านพี่ผ่านเมฆฝึกกองกำลังม้าที่ลานประลองกันดีกว่า” ม่านเมรีหมุนตัวกลับมา ก่อนที่จะเดินนำหน้าทุกคนออกนอกกระโจมไปทันที

“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิคะ รอเมอริคาเรด้วย” ท่านหญิงน้อยรีบวิ่งตามคนเป็นพี่สาว ทิ้งให้พี่ชายแท้ๆ ยื่นส่ายหัวไปมาด้วยความระอานิด เอ็นดูหน่อย

“สรุปว่าเรามาร์คัสต้องคอยวิ่งตามรับใช้ท่านหญิงทั้งสองหรืออย่างไรกัน ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ อยู่ฝึกกองกำลังกับท่านพี่ผ่านเมฆกว่าเหรอ” ทายาทลำดับสองของกองคาราวานกล่าวออกมาพลางเดินตามพวกนางทั้งสองไป



ลานฝึกทหาร

“นั่นไงละ ท่านพี่ผ่านเมฆ” ท่านหญิงเมริคาเรชี้ไปทางเด็กผู้ชายอายุประมาณ 15 ปีที่กำลังเอาจริงเอาจังอยู่กลางลานฝึก

“เท่ห์ชะมัดเลย เท่ห์กว่าท่านพี่มาร์คัสเป็นไหนๆ” เอ่ยไปชมไปไม่ขาดปาก เดือดร้อนคนเป็นพี่ชายแท้ๆอีกแล้วที่ยอมรับความจริงไม่ได้

“เท่ห์ตรงไหนกัน ทายาทกองคาราวานไหนๆ เขาเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น” ว่าพลางมองพี่ชายต่างมารดาอย่างชื่นชม

“พี่ไอมีอัตเห็นด้วยกับเมริคาเรใช่ไหม” คนเป็นน้องก็ไม่ใส่ใจ หันไปพูดกับคนเป็นพี่สาวไม่แท้เสียอย่างนั้น

“อืม” ตอบกลับมาสั้นๆ แต่แววตาที่ทอดมองไปยังพี่ผ่านเมฆนั้นมีแต่ความชื่นชม

ผ่านเมฆที่กำลังฝึกม้าตัวใหม่จนสามารถควบคุมมันได้กำลังก้าวตรงมา เด็กหนุ่มส่งม้าให้แก่ทหารคนหนึ่ง แล้วเอ่ยกับม่านเมรีด้วยความเอ็นดู

“เจ้ามาดูพี่เหรอเมรี” มีแค่เพียงทายาทแห่งกองคาราวานแห่งนี้เท่านั้นที่เรียกเธอด้วยชื่อภาษาไทย

“โหยยยยยยยย ~ พี่ผ่านเมฆลำเอียง” ท่านหญิงน้อยบ่นอย่างน้อยใจ มาพร้อมกันตั้งหลายคนทักเพียงคนเดียวใช่ได้ที่ไหน

“ข้าอยากฝึกมันแบบพี่ดูบ้าง” มาร์คัสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตัวของพี่ชาย

ผ่านเมฆเลิกคิ้วขึ้นมองน้องชายต่างมารดาด้วยความสนใจ น้องชายที่เอาแต่คอยวิ่งตามเขา น้องชายที่เกิดจากชายาเอกแต่ไม่เคยรังเกียจพี่ชายเช่นตน

“วันนี้เจ้าจะไปที่วิหารไหม” หันกลับมาคุยกับม่านเมรีอีกครั้ง ช่างลำเอียงเสียจริง

“อืม...งั้นเมรีไปนะ” ข้างฝั่งคนตอบก็เช่นเดียวกัน ไม่ทันไรก็วิ่งโร่ไปยังวิหารของเทพอนุบิสอีกแล้ว เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“งั้นข้าไปนะ” ผ่านเมฆหันมาคุยกับสองพี่น้อยเป็นครั้งแรกแล้วเดินผ่านไป

“อ้าว...ไปกันหมด ไหนนัดกันว่าจะไปขี่ม้ากันยังไงละ” สองพี่น้องเริ่มโวยวาย แต่ก็ไม่มีใครอยู่ฟัง จึงได้แต่เดินจูงมือเดินหงอยๆกลับไปยังกระโจมของตัวเอง เซ็งจริงๆ โดนทิ้งครั้งที่เท่าไหร่แล้วนี่



วิหารเทพอนุบิส

ซากปรักหักพังของวิหารที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานนับพันๆปี แต่ความศรัทธาและความยิ่งใหญ่ก็หลงเหลือมาให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน

ท่ามกลางความมืดมิดภายในซากปรักหักพังที่ได้รับการบูรณาการมากแล้วมากกว่า 5 ครั้ง ม่านเมรีค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปในวิหาร แม้ว่าทางเดินจะพาเธอลงสู่ใต้ดินเรื่อยๆ แม้จะมีอากาศหลงเหลืออยู่น้อยนิด แต่เธอก็มิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด ยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคงจนถึงใจกลางของวิหาร

“วันพรุ่งนี้เมรีจะต้องเดินทางกลับไปบ้านเกิดที่เมืองไทยแล้วล่ะ เฮกาบอกว่าท่านพ่อกับท่านแม่อยากให้เมรีไปเล่าเรียนที่นั่น” ม่านเมรีปลดผ้าคุลมหน้าสีดำลงมา มีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เธอสามารถปลดผ้าคลุมหน้าออกได้

“และวันนี้ก็ครบสัญญา 5 ปีของเมรีแล้วด้วย” เด็กน้อยยังคงบ่นกับรูปปั้นสีทองขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางวิหารของเทพอนุบิสต่อไป

“ดังนั้นเมรีจะถอดผ้าคลุมหน้าเสียที ไปเรียนที่ประเทศไทยทั้งที จะใฟ้ปิดหน้าปิดตาเหมือนอยู่กลางทะเลทรายในอียิปต์ได้ยังไง” บ่นไปตามประสาเด็กกำลังกินกำลังพูด

“ท่านไม่ตอบถือว่าท่านตกลงก็แล้วกันนะ เอาล่ะ พรุ่งนี้เมรีจะออกเดินทาง งั้นวันนี้เมรีจะรำถวายก็แล้วกัน” ม่านเมรีถวายความเคารพก่อนที่จะขับร้องเป็นเพลงออกมาด้วยภาษาโบราณที่ได้รับการสั่งสอนมาจากลูกสุนัขป่าตัวนั้น ส่วนท่าทางการร่ายรำเธอแอบจำๆมาจากบรรดาพี่สาวภายในค่ายเวลาเลี้ยงฉลองรอบกองไฟแล้วนำมาประยุกต์ดูให้เข้ากัน

และในระหว่างที่เด็กสาวกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยและงดงามอยู่นั้น เบื้องบนภายในที่ประทับของเทพอนุบิส วันนี้ก็มีเทพแห่งนภากาศมาเยี่ยมเยือนเหมือนเช่นทุกที

“ท่านคิดเยี่ยงไร” จู่ๆเทพโฮรัสก็กล่าวขึ้น ในขณะที่ทั้งสองพระองค์กำลังทอดพระเนตรลงมามองภายในวิหารอนุบิสของโลกมนุษย์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่