ชายาอนุบิส (2)

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 1 >> เข้าไปอ่านอีกครั้งเพราะมีต่อนะคะสำหรับตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30853302


2
ดรุณีน้อยในวัยเยาว์ (1)



5 ปีต่อมา...
หลังจากการจากไปของเมรีรัตน์ ม่านเมรีก็ได้รับการเลี้ยงดูเปรียบเสมือนบุตรสาวคนหนึ่งของชายาฟีนาห์ซึ่งเป็นชายาของชีคฮามานน้องชายของชีคเนมตี โดยมีเฮกาเป็นสาวใช้คนสนิท จนกระทั่งเวลาผ่านไปห้าปีแล้วในที่สุดชายาฟีนาห์ก็ตั้งครรภ์สมใจ
“ชายาเพคะ เมรีมาเยี่ยมน้องฉาว” ม่านเมรีวิ่งเข้ามาในกระโจมของชายาฟีนาห์ โดยมีเฮกาเดินตามมาข้างหลังอย่างเป็นห่วง
“อย่างวิ่งเร็วอย่างนั้นท่านหญิง” เฮการ้องเตือน
นับตั้งแต่ที่ชายาเมรีรัตน์เสียชีวิตไป เมทาคนรับใช้ของชายาแพรฟ้าซึ่งเป็นชายารองของท่านชีคฮามานก็พยายามที่จะหาหนทางเพื่อขับไล่ม่านเมรีออกจากกองคาราวาน โดยให้เหตุผลว่า เด็กน้อยกำพร้าผู้นี้ไม่มีความสัมพันธ์อันใดอีกที่จะมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในคาราวานแห่งนี้ต่อไปได้
และเมื่อชายาฟีนาห์รู้เรื่องเข้า นางจึงแต่งตั้งให้ม่านเมรีเป็นถึงท่านหญิง และให้เธอมีศักดิ์เทียบเท่ากับบุตรของนางทุกประการโดยที่ท่านชีคฮามานก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ทำให้ชายาแพรฟ้าซึ่งมีลูกชายไปก่อนแล้วรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากลูกชายของนางแม้จะดำรงตำแหน่งทายาทอันดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้เกิดจากชายาเอก
เฮกาจำได้ว่าในช่วงเวลานั้น ต่อให้ตัวเองจะต้องโดนขับออกจากกองคาราวานไปด้วยเนื่องจากไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าสาวใช้อย่างเมทาก็ไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะเธอได้ตั้งใจเอาไว้อย่างหนักแน่นแล้วว่า ยังไงซะ เธอจะต้องเสียงดูม่านเมรีหรือไอมีอัตแทนชายาเมรีรัตน์ให้ได้
และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่เฮกามิเคยบอกกล่าวให้กับผู้ใดทราบ แม้กระทั่งชายาฟีนาห์ก็คือ เด็กน้อยคนนี้ตกอยู่ในความคุ้มครองของเทพอนุบิสมาตั้งแต่ต้น
เฮกาเชื่อว่าสร้อยคอทองคำเส้นนั้นนั่นล่ะ คือหลักฐานสำคัญในการยืนยันสถานะของม่านเมรีได้เป็นอย่างดี...สร้อยคอที่ทุกคนคิดว่าเป็นของเมรีรัตน์ที่ให้แก่ทารกน้อยเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า สร้อยคอที่แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึง 5 ปีแล้วก็ตาม แต่เมรีรัตน์ก็ยังคงสวมใส่ได้อยู่
“เจ้าก็รู้เฮกาว่านางซุกซนเพียงใด ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตตามสบายเถิด อย่าไปบีบบังคับให้ต้องทำอะไรหรือไม่ต้องทำอะไรนักเลย” ชายาฟีนาห์กล่าวกับกับเฮกาที่กำลังคลานเข่าเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่จะก้มลงมองดวงหน้าอวบอิ่มขาวใส แก้มเต้นระริกสีชมพูเรื่อ นัยน์ตากลมโตสีดำสนิทราวกับราตรีกาลคู่นั้น แล้วเอ่ยถาม
“เจ้ามาเยี่ยมน้องสาวในท้องของข้าทุกวันเช่นนี้ ไม่กลัวหรือว่าเด็กในท้องของข้าจะเป็นผู้ชาย”
ม่านเมรีเมื่อได้ฟังดังนั้นก็พลันส่ายหน้า พลางฉีกยิ้มบานแฉ่งแล้วตอบคำถามกลับไปว่า
“ถ้าน้องฉาวของหม่อมฉันกลายเป็นน้องจาย หม่อมฉันก็จะรอน้องฉาวคนใหม่จากชายาเพคะ”
ชายาฟีนาห์หัวเราะเสียงดังออกมา แล้วยื่นมือออกมาลูบท้องไปมาเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่นความทะนุถนอมออกมาว่า
“เป็นอย่างไรเล่าน้องสาวของเจ้าคนนี้ นางโตขึ้นบ้างหรือไม่”
ม่านเมรีเมื่อได้ฟังดังนั้น เด็กสาวก็รีบโผเข้าไปจับครรภ์ของชายาทันที ด้วยมือขาวๆ อวบๆ ของนาง พลางลูบไล้เบาๆแล้วตอบกลับไปว่า
“น้องฉาวคนนี้ของหม่อมฉันโตขึ้นมาเลยเพคะ โตขึ้นกว่าวันก่อนเสียอีก สงสัยน้องฉาวคนนี้จะกินจุเหมือนหม่อมฉันแน่ๆ”
คำกล่าวของเด็กน้อยเรียกเสียงหัวเราะด้วยความขบขันได้ทั้งกระโจมกันเลยทีเดียว
“แล้วเมื่อไหร่น้องฉาวถึงจะออกมาวิ่งเล่นกับหม่อมฉันได้” หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน โดยการเอาหูแนบลงกับท้องของชายาเพื่อฟังเสียงของเด็กในท้อง จู่ๆม่านเมรีก็เอ่ยถาม
“คงอีกไม่นานแล้วล่ะ ว่าแต่เจ้าได้คิดเอาไว้บ้างหรือไม่ว่า น้องสาวของเจ้าคนนี้จะเป็นเด็กน้อยเช่นไร” ชายาฟีนาห์รู้สึกสบายใจยิ่งนัก เมื่อได้มีเวลาคุยกับเด็กสาวคนนี้
“หม่อมฉันอยากเห็นเด็กสาวตัวอ้วนพี น่ารักน่าชังและมีสีผิวเหมือนกับหม่อมฉันเพคะ” คำตอบของเด็กน้อยวัยห้าขวบ ทำให้ทุกคนในที่นั้นรู้สึกสะดุดใจ เป็นที่น่าสงสัยกันมานานอยู่แล้วว่า เหตุใดม่านเมรีจึงได้มีสีผิวที่ขาวประดุจน้ำนม ทั้งๆที่ท่านชีคเนมตีและชายาเมรีรัตน์ก็ที่มีสีผิวออกแทน
นี่ถือเป็นปมด้อยที่สำคัญที่สุดของม่านเมรีเลยก็ว่าได้ ภายในกองคาราวานแห่งนี้มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่มีสีผิวผิดแผกไปจากผู้อื่น
แม้กระทั่งนางสนมไมย่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าขาวที่สุดที่เป็นชายาบรรณาการมาจากกองคาราวานอื่น ก็ไม่ได้มีผิวขาวผ่องเหมือนกับเธอไม่
“น้องฉาวจะต้องมีสีผิวเหมือนกับหม่อมฉันในตอนนี้ใช่ไหมเพคะ” ม่านเมรีเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจ เนื่องจากครั้งหนึ่งเธอก็เคยตั้งคำถามแบบนี้กับเฮกาเช่นเดียวกัน แต่กลับได้รับคำตอบกลับมาว่า
“เพราะท่านหญิงยังเล็กอยู่เจ้าค่ะ ไว้รอให้โตกว่านี้เสียก่อน เดี๋ยวผิวพรรณก็จะคล้ำขึ้นมาเอง” หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของเฮกา ม่านเมรีก็คิดไปว่าทารกที่เพิ่งจะเกิดมาทุกคนล้วนแล้วแต่มีผิวขาวทั้งสิ้น ไว้รอให้โตขึ้นเหมือนชายาฟีนาห์หรือเฮกาเสียก่อน แล้วสีผิวจึงจะเป็นเป็นสีเข้มประดุจดั่งน้ำผึ้ง
สีผิวของชาวอียิปต์โดยทั่วไป มีผู้ใดบ้างที่จะขาวผ่องยองใยปานนั้น !!
‘แล้วสีผิวของม่านเมรีล่ะ นางมีสีผิวละม้ายคล้ายคลึงผู้ใดกันนะ’
เป็นครั้งแรกที่เฮกาได้หยุดคิดอย่างจริงจัง...ผิวสีอ่อนเช่นนี้ รูปร่างอวบอิ่มปานนั้น แถมริมฝีปากยังบางเฉียบแดงก่ำ มีผู้เดียวเท่านั้นที่เฮกาเคยรู้จักมาก่อน
‘เป็นไปไม่ได้ !’
เฮกาปัดความคิดที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองของนางออกไป...ไม่มีทาง !!...ไม่มีทางที่ชายาเมรีรัตน์จะทำเช่นนั้น
ข้างฝั่งชายาฟีนาห์เองแม้จะแอบสงสัยอยู่บ้าง แต่นางก็มิเคยเอ่ยถามเฮกาเลยซักครั้ง ยังมีสร้อยคอทองคำร้อยกริชเส้นนั้นเป็นลำคอระหงนั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็ทราบแล้วว่ามูลค่าของมันมหาศาลปานใด
ไม่มีทางที่เมรีรัตน์ซึ่งเป็นแค่เพียงคนธรรมดาจะมีของแบบนี้ได้ หรือต่อให้เป็นท่านชีคเนมตีผู้ที่ได้ชื่อว่ามีทรัพย์สมบัติมากมายติดอำดับต้นๆ ในอียิปต์ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ท่านจะมีของสิ่งนี้ไว้ในครอบครองได้
กริชทองฝังอัญมณีสีนิลกาลตลอดทั้งเล่ม จัดวางเหลื่อมล้ำกันได้อย่างงดงาม ตัวแทนแห่งอาวุธประจำกายของเทพอนุบิส เทพแห่งความตายพระองค์นั้น !!
ม่านเมรี เด็กตัวน้อยคนนี้จะต้องมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ไหนจะสีผิวที่ฟ้องถึงความแตกต่างเด่นชัดอยู่แล้วนั่นอีกล่ะ นางเชื่อว่าคงจะเป็นเพราะองค์เทพเบื้องบนทรงประทานมาให้
และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชายาฟีนาห์ไม่อาจทนนิ่งเฉย ปล่อยให้ม่านเมรีถูกขับออกจากกองคาราวานไป และนอกเหนือจากที่เด็กคนนี้จะเป็นลูกสาวของเมรีรัตน์ซึ่งเปรียบเสมือนพี่สาวเพียงคนเดียวของนางแล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ นางเชื่อว่าเฮกาคงจะมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับเด็กน้อยคนนี้ปกปิดเอาไว้เป็นแน่
แต่ที่ไม่เคยเอ่ยถามนั่นเพราะนางเชื่อว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เฮกาก็คงจะเล่าความจริงทั้งหมดออกมาให้นางทราบเอง
    
กระโจมมาอัต
กระโจมส่วนตัวของท่านหญิงม่านเมรี
เที่ยงคืนหลังจากที่เฮกานอนหลับอยู่หน้าเตียงแล้ว ม่านเมรีที่นอนหลับอยู่บนเตียงกลับลืมตาโพลงขึ้นมา หลังจากที่เธอได้เสแสร้งแกล้งหลับมานานมากกว่าหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้สาวใช้ประจำตัวคนนี้นอนหลับได้อย่างสบายใจ
เด็กน้อยค่อยๆ ย่างเท้าอย่างเงียบกริบผ่านหน้าเฮกาไปอย่างยากลำบาก สองมือของเธอกำชายผ้ายาวระพื้นเอาไว้แน่น แล้วยกขึ้นสูงๆให้เหนือเข่าป้อมๆของตัวเองด้วยท่าทางที่ชวนให้ผู้พบเห็นแลดูขัดตาขัดใจยิ่งนัก ชายผ้ายาวที่สวมใส่แนบกายอยู่นั้นกำลังสร้างความลำบากให้แก่นางเป็นอย่างมาก
‘รู้อย่างนี้น่าจะใส่ให้สั้นเสียหน่อย ตามคำแนะนำของเฮกาเสียก็ดี’ คนแอบย่องออกจากกระโจมคิดในใจพลางเบ้ปาก ก็ใครอยากให้เธอคิดออกมาเดินเล่นเพียงลำพังหลังเที่ยงคืนไปแล้วในทุกๆ 15 วันครั้งกันล่ะ
ม่านเมรีในชุดสีดำสนิทซึ่งเป็นเป็นสีที่นางชอบสวมใส่ เดินย่ำเท้าเตาะแตะมาตามเส้นทางทอดยาวเพื่อมุ่งตรงไปยังโอเอซีสซึ่งอยู่ห่างหากตัวกระโจมที่พักไม่มากนัก เด็กน้อยร่างอวบอิ่ม วิ่งเล่นอยู่ในโอเอซีสท่ามกลางความมืดมิดด้วยความสบายใจ เธอเป็นคนที่หลงใหลในช่วงเวลาที่สงบนิ่งเงียบเชียบในราตรีกาลเช่นนี้ยิ่งนัก นับตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ม่านเมรีสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้จริงและการมีอยู่ของตัวเองท่ามกลางความมืดสนิทเช่นนี้ มารู้ตัวอีกทีก็เกือบสว่างนั่นล่ะ เธอถึงยอมเดินลากขาป้อมๆ ตำหนักกลับกระโจมด้วยความเสียดาย
และทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ม่านเมรีไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า เธอได้ตกอยู่ในสายพระเนตรของเทพเบื้องบนถึงสองพระองค์พร้อมกัน
“ข้าว่านางช่างเหมาะสมกับท่าน อนุบิส และนางก็หลงใหลในความมืดสนิทของราตรีกาลเหมือนกับท่านเช่นเดียวกัน” เทพโอรัสในรูปลักษณ์พญาเหยี่ยวทั้งองค์ ที่ทนอดหลับอดนอนยอมเสียสละแท่นบรรทมนุ่มๆ ตามเสด็จเทพอนุบิสลงมา หลังจากที่ทรงเหนื่อยจากภารกิจประจำวันเอ่ยถามขึ้นมาเป็นองค์แรก
“แต่ข้าว่านางแปลกประหลาดจากผู้อื่นมากกว่า” เทพอนุบิสสวนกลับมาแทบจะทันที เทพแห่งความตายผู้นี้ วันนี้พระองค์ก็ตัดสินพระทัยปรากฏกายในรูปของสุนัขจิ้งจอกสีดำเต็มองค์เช่นเดียวกัน
“ท่านว่ากล่าวนางผู้เปรียบเสมือนชายาของท่านเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า” เทพโอรัสรีบกระพือปีกบินตามหลังสุนัขจิ้งจอกดำวัยหนุ่มที่กำลังย่างท้าวตามหลังม่านเมรี เพื่อส่งนางถึงหน้ากระโจม
“นางเป็นชายาของข้าที่ไหนกัน นี่ถ้าเสด็จแม่และองค์เทวีไอซีสไม่กำชับและเซ้าซี้จนข้ามิอาจทนอยู่ในวิหารได้แล้วล่ะก็ มีหรือที่เทพแห่งความตายเช่นข้าจะต้องมาคอยเดินส่งนางตามหลังต้อยๆ เพื่อป้องกันอันตรายให้นางในทุกๆ 15 วันเช่นนี้” เทพอนุบิสรับสั่งออกมาอย่างขุ่นเคือง เนื่องจากเด็กน้อยคนนี้ไม่เคยรู้ตัวเลยว่า นางกำลังถูกจับตามองจากคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในทุกๆ 15 วันเช่นเดียวกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่