ที่ผมยังไม่ตรวจสอบรัฐบาลในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะผมเลือกมาเองกับมือนะครับ แต่เป็นเพราะผมไม่มีความสามารถตรวจสอบต่างหากครับ ดังนั้นผมจึงต้องพึ่งบรรดาเครื่องมือต่างๆทำหน้าที่ตรวจสอบแทน
แต่ก่อนที่จะอาศัยบรรดาเครื่องมือเหล่านี้ ผมคงต้องตรวจสอบเสียก่อนว่า เครื่องมือเหล่านี้มีประสิทธิภาพดีพอหรือไม่ มีมาตรฐานในการตรวจสอบดีจริงหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นผมเกรงว่า จะกลายเป็นเครื่องมือตรวจสอบระเบิดอย่างจีที 200 ที่ขนาดมีคนที่พวกเราคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณพรทิพย์ให้การรับรอง สุดท้ายเป็นอย่างไรพวกเราคงทราบดี
ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้เครื่องมือตรวจสอบรัฐบาล จะกลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง นี่ต่างหากครับเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ อย่าให้ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำ ให้ประเทศต้องสะดุดหยุดยืนกับที่ แล้วพวกเราก็ได้แค่ชะแง้ตาแลมองดูเพื่อนบ้านเดินหน้าสู่ความเจริญด้วยสายตาละห้อย
เครื่องมือตรวจสอบอันแรกเลย นั่นคือ กกต. เครื่องมือไว้สแกนนักการเมืองที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน ดังนั้นเครื่องมืออันนี้จำเป็นต้องเที่ยงธรรม คงความเป็นมาตรฐาน เพื่อให้ได้นักการเมืองที่บริสุทธิผุดผ่องเข้ามาทำหน้าที่ ประชาชนจะได้ไว้เนื้อเชื่อใจที่จะมอบอำนาจให้พวกเขาเหล่านั้นทำหน้าที่แทน
แต่ที่ผ่านมา เครื่องมือตัวนี้รู้สึกจะมีความบกพร่องในหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้คดีใหญ่โตอย่างการยุบพรรคต้องหมดอายุความ
ไม่ว่าจะทำให้คดียุบพรรคต้องยกฟ้อง เพราะนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ทำตามหน้าที่แสดงความคิดเห็น
ไม่ว่าจะเป็นการยุติเรื่องการสอบเงินบริจาคที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ทั้งๆที่อนุกรรมการลงมติกันแล้วด้วย
อย่างนี้แล้วถ้ายังใช้เครื่องมือตัวนี้ต่อไป ประชาชนจะมั่นใจในความโปร่งใสของพรรคที่รอดจากการยุบพรรค เพราะเทคนิคของเครื่องมือล้วนๆได้อย่างไรครับ
เครื่องมือตรวจสอบตัวต่อมา นั่นคือ ปปช. เครื่องมือตัวนี้ มีไว้ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นเครื่องมือที่เข้าท่ามากที่สุดเครื่องมือหนึ่ง ถ้าคนใช้เครื่องมือไม่มีอคติ ไม่มีลำเอียง และตัวเองต้องโปร่งใส จึงจะสร้างความศรัทธาให้กับประชาชน
แต่ที่เห็นๆ มีทั้งคนที่เคยสนับสนุนพันธมิตรฯล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งจากคณะที่ยึดอำนาจของรัฐบาลของประชาชน ก็เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ประชาชนสนับสนุนนี่แหละ ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าทำหน้าที่กันอย่างโปร่งใส ทำหน้าที่กันอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ก็คงเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าเครื่องมือหนึ่ง
ไม่ใช่เลือกที่จะเร่งรัดทำคดีอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายเพิกเฉยหรือซื้อเวลาไปเรื่อยๆ อย่างกรณีจำนำข้าว หลักฐานยังไม่เด่นชัดเรื่องการทุจริต ก็รับเรื่องมาพิจารณาอย่างเร่งด่วนให้ทันที่จะหมดวาระ ในขณะที่คดี ปรส.ที่ค้างเติ่งอยู่ในมือ จนใกล้จะหมดอายุความ ก็ยังไม่เห็นถึงความกระตือรือร้น อย่างนี้เป็นต้น
ยิ่งมีข่าวอื้อฉาวกรณีเรื่องยืมโฉนดแล้วไม่ยอมจ่ายของเมียกรรมการบางคน ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน ยิ่งทำให้สังคมไม่ศรัทธากับคนทำหน้าที่ตรวจสอบคนอื่นเรื่องความโปร่งใส เพราะตัวเองยังขมุกขมัวอยู่อย่างนั้น เครื่องมือนี้ก็เลยกลายเป็นเครื่องมืออีกหนึ่งตัวที่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองไปเสียฉิบ
เครื่องมืออันดับต่อมา นั่นคือ ตลก. เครื่องมือนี้ทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องมือการตรวจสอบที่ดีอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ผู้ใดที่ผิดกฎบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันต้องขึ้นอยู่กับคนที่นำไปปฏิบัติด้วย เครื่องมือนี้จึงจะเป็นเครื่องมือที่สามารถทำให้ทุกๆคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
แต่ที่เห็นๆคนปฏิบัติเหล่านั้นแทบไม่ต่างกับเครื่องมือสองตัวที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะได้อำนาจมาจากคณะยึดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่เคยไปแสดงความยินดีกับพันธมิตรฯที่สามารถทำให้กองทัพเข้ามายึดอำนาจรัฐบาลสำเร็จ ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นการวินิจฉัยในหลายเรื่องขัดกับความรู้สึกประชาชนส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นการถอดถอนนายกฯจากการเปิดพจนานุกรม
ไม่ว่าจากการสารภาพเรื่องยุบพรรคตามสถานการณ์
ไม่ว่าจากคลิปที่เห็นการปรึกษาหารือเรื่องการช่วยพรรคๆหนึ่งให้รอดจากการถูกยุบพรรค
ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องทำประชาพิจารณ์
ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา
ไม่ว่าเรื่องรัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราตามคำแนะนำ ยังรับเรื่องไว้ในข้อหาล้มล้างการปกครอง
ไม่ว่าจะเป็นการตีความ “และ” กับ “หรือ” มีความหมายเดียวกัน แล้วก็รับเรื่องโดยตรงโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความกังขาให้กับสังคมเป็นอย่างยิ่ง สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับคนหมู่มาก จนทำให้ยุคนี้เป็นยุคที่ตุลาการภิวัฒน์เสื่อมถอยจากความศรัทธาของประชาชนมากที่สุดยุคหนึ่ง ดังนั้นถ้ายังคิดจะใช้เครื่องมือนี้อีกต่อไป คงต้องเปลี่ยนแปลงคนปฏิบัติกันแบบยกพวงแล้วล่ะครับ แล้วเริ่มต้นสร้างเสริมความศรัทธาให้กับคืนมาไวไว ประชาชนจึงจะมีที่พึ่งต่อไปครับ
เครื่องมือตัวถัดมา นั่นคือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็เป็นเครื่องมือสุดวิเศษสำหรับตรวจสอบไม่ให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐกระทำใดๆโดยปราศจากคุณธรรมและจริยธรรม
แต่ที่ประชาชนรับรู้ กลายเป็นจริยธรรมของนักการเมืองจะเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับนักการเมืองเป็นฝ่ายไหน ดังตัวอย่างตั้งคุณกษิตเป็นรัฐมนตรี ไม่ผิดจริยธรรม เพราะเป็นความบกพร่องโดยสุจริตของท่านผู้ตรวจการฯ แต่การตั้งคุณณัฐวุฒิ ผิดจริยธรรมแหงมๆ อย่างนี้เป็นต้น แล้วจะให้ประชาชนอย่างผมไว้วางใจกับเครื่องมือตัวนี้อีกหรือครับ
เครื่องมือตัวต่อมา นั่นคือ กสม. เครื่องมือที่มีไว้สำหรับป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็เป็นเครื่องมือที่ดีอีกเครื่องมือหนึ่ง เพราะจะช่วยไม่ให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายจะมาเที่ยวละเมิดสิทธิของประชาชนตามอำเภอใจไม่ได้
แต่ข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นว่า องค์กรนี้กลายเป็นองค์กรที่คุ้มครอง ปกปักและรักษาสิทธิฝ่ายหนึ่งไม่ให้ถูกละเมิดเท่านั้น
ถ้าฝ่ายนี้เป็นรัฐบาล ก็จะคุ้มครองสิทธิให้ กลายเป็นประชาชนละเมิดสิทธิเสียเอง ทั้งๆที่ประชาชนแค่ละเมิดกฎหมาย
แต่ถ้าฝ่ายนี้กลายเป็นฝ่ายค้านละก้อ การคุ้มครองสิทธิของการถูกละเมิดจะทำงานกันอย่างเข้มแข็ง รัฐบาลก็จะกลายเป็นผู้ละเมิดเสียเอง
จริงหรือไม่ก็ดูจากเสียงข้างน้อยในรายงานฉบับสลายการชุมนุมแดงก็แล้วกัน ออกมาประจานกันเองเรื่องความไร้มาตรฐานของ กสม. นี่ขนาดชีวิตคนเป็นร้อย บาดเจ็บเกือบสองพัน ยังไร้มาตรฐานขนาดนี้ ช่างไม่ฟังเสียงส่วนน้อยเสียบ้างเลย สลิ่มสงสัย
อย่างนี้แล้วจะให้ประชาชนไว้วางใจในสิทธิของตัวเองว่าจะไม่ถูกละเมิด ถ้า กสม.ชุดนี้ยังทำงานกันต่อไป
เครื่องมือสุดท้าย แน่นอนครับ ต้องเป็นฝ่ายค้าน เครื่องมือไว้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐบาล และยังต้องตรวจสอบกับนโยบายต่างๆของรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องดีในระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องมีฝ่ายค้านไว้ถ่วงดุล
แต่เครื่องมือตัวนี้ แทนที่จะไว้ตรวจสอบ ไว้ถ่วงดุล กลับกลายเป็นเครื่องมือสำหรับต่อต้าน เป็นเครื่องมือสำหรับถ่วงความเจริญ และยังเป็นเครื่องมือสำหรับการแก้แค้นที่ไม่สามารถชนะใจคนส่วนใหญ่ต่างหากครับ
ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นการต่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรม ซึ่งไม่รู้ว่ากลัวทักษิณได้ประโยชน์หรือต้องการให้คนเสื้อแดงที่อยู่คนละฝ่ายติดคุกให้หนำใจกันแน่
ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นถึงความพยายามเตะถ่วงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 57 จนข้ามวันข้ามคืน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสภา
ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นการร่วมมือกับเหล่า สว.สรรหาต่อต้านคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ให้ สว.มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการแก้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดตามระบอบประชาธิปไตย แต่นักการเมืองกับเห็นชอบกับพวกสรรหา โดยไม่เคารพเสียงของประชาชนมากกว่าเสียงของคนไม่กี่คน น่าอนาจเหลือเกินครับ
กับข้อหาไม่อยากให้เป็นสภาผัวเมีย นั่นเป็นการดูถูกประชาชนอย่างให้อภัยไม่ได้เลยนะครับ เพราะจะดีจะชั่ว ประชาชนก็เป็นคนเลือกเข้ามา ไม่ใช่อาศัยใครก็ไม่รู้ไม่กี่คนเลือกเข้ามา แล้วก็มาตั้งกลุ่มตั้งก๊วนต่อต้านรัฐบาลที่มาอย่างชอบธรรม แต่กลับแอบสนับสนุนรัฐบาลที่มาอย่างไม่โปร่งใส ขาดความสง่างาม
ข้อสำคัญเหล่า ส.ส.เองก็มีลูกมีเมียมีผัวมีปู่มีตาเป็น ส.ส.อยู่ร่วมด้วย อย่างนี้ไม่กลัวสภาผัวเมียหรืออย่างไร แบบนี้มันเกลียดตัวกินไข่นี่หว่า
ยังมีอีกมากมายที่เครื่องมือตรวจสอบตัวนี้ ได้ก่อวีรกรรมมากมายในหลายเรื่องต่างกรรมต่างวาระ ล้วนแต่เป็นการต่อต้านรัฐบาลทั้งสิ้น ดังนั้นเครื่องมือตัวนี้จึงเป็นเครื่องมือที่ตกรุ่น ล้าสมัย แถมยังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง แล้วจะให้ผมไว้วางใจกับเครื่องมือสับปะรังเคตัวนี้อีกหรือครับ
ดังนั้นที่ผมยังไม่กล้าตรวจสอบรัฐบาล ก็เป็นเพราะผมยังไม่ไว้วางใจเครื่องมือตรวจสอบทั้งหลายที่พวกเผด็จการสร้างขึ้นมาอย่างแยบยล ทำให้ข้อมูลที่ได้รับจากเครื่องมือเหล่านี้ยังไม่น่าเชื่อถือ แล้วถ้าผมหลงเชื่อตามนั้น ผมอาจต้องเสียใจภายหลังก็ได้นะครับ ที่หลงเข้าใจรัฐบาลผิดไป กลายเป็นตีงูให้กากิน หรือไม่ก็จะเข้าตำรา กบเลือกนายก็ได้นะครับ
มีคนสงสัยว่า ทำไมผมจึงไม่ตรวจสอบรัฐบาลบ้าง
แต่ก่อนที่จะอาศัยบรรดาเครื่องมือเหล่านี้ ผมคงต้องตรวจสอบเสียก่อนว่า เครื่องมือเหล่านี้มีประสิทธิภาพดีพอหรือไม่ มีมาตรฐานในการตรวจสอบดีจริงหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นผมเกรงว่า จะกลายเป็นเครื่องมือตรวจสอบระเบิดอย่างจีที 200 ที่ขนาดมีคนที่พวกเราคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณพรทิพย์ให้การรับรอง สุดท้ายเป็นอย่างไรพวกเราคงทราบดี
ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้เครื่องมือตรวจสอบรัฐบาล จะกลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง นี่ต่างหากครับเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ อย่าให้ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำ ให้ประเทศต้องสะดุดหยุดยืนกับที่ แล้วพวกเราก็ได้แค่ชะแง้ตาแลมองดูเพื่อนบ้านเดินหน้าสู่ความเจริญด้วยสายตาละห้อย
เครื่องมือตรวจสอบอันแรกเลย นั่นคือ กกต. เครื่องมือไว้สแกนนักการเมืองที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน ดังนั้นเครื่องมืออันนี้จำเป็นต้องเที่ยงธรรม คงความเป็นมาตรฐาน เพื่อให้ได้นักการเมืองที่บริสุทธิผุดผ่องเข้ามาทำหน้าที่ ประชาชนจะได้ไว้เนื้อเชื่อใจที่จะมอบอำนาจให้พวกเขาเหล่านั้นทำหน้าที่แทน
แต่ที่ผ่านมา เครื่องมือตัวนี้รู้สึกจะมีความบกพร่องในหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้คดีใหญ่โตอย่างการยุบพรรคต้องหมดอายุความ
ไม่ว่าจะทำให้คดียุบพรรคต้องยกฟ้อง เพราะนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ทำตามหน้าที่แสดงความคิดเห็น
ไม่ว่าจะเป็นการยุติเรื่องการสอบเงินบริจาคที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ทั้งๆที่อนุกรรมการลงมติกันแล้วด้วย
อย่างนี้แล้วถ้ายังใช้เครื่องมือตัวนี้ต่อไป ประชาชนจะมั่นใจในความโปร่งใสของพรรคที่รอดจากการยุบพรรค เพราะเทคนิคของเครื่องมือล้วนๆได้อย่างไรครับ
เครื่องมือตรวจสอบตัวต่อมา นั่นคือ ปปช. เครื่องมือตัวนี้ มีไว้ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นเครื่องมือที่เข้าท่ามากที่สุดเครื่องมือหนึ่ง ถ้าคนใช้เครื่องมือไม่มีอคติ ไม่มีลำเอียง และตัวเองต้องโปร่งใส จึงจะสร้างความศรัทธาให้กับประชาชน
แต่ที่เห็นๆ มีทั้งคนที่เคยสนับสนุนพันธมิตรฯล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งจากคณะที่ยึดอำนาจของรัฐบาลของประชาชน ก็เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ประชาชนสนับสนุนนี่แหละ ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าทำหน้าที่กันอย่างโปร่งใส ทำหน้าที่กันอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ก็คงเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าเครื่องมือหนึ่ง
ไม่ใช่เลือกที่จะเร่งรัดทำคดีอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายเพิกเฉยหรือซื้อเวลาไปเรื่อยๆ อย่างกรณีจำนำข้าว หลักฐานยังไม่เด่นชัดเรื่องการทุจริต ก็รับเรื่องมาพิจารณาอย่างเร่งด่วนให้ทันที่จะหมดวาระ ในขณะที่คดี ปรส.ที่ค้างเติ่งอยู่ในมือ จนใกล้จะหมดอายุความ ก็ยังไม่เห็นถึงความกระตือรือร้น อย่างนี้เป็นต้น
ยิ่งมีข่าวอื้อฉาวกรณีเรื่องยืมโฉนดแล้วไม่ยอมจ่ายของเมียกรรมการบางคน ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน ยิ่งทำให้สังคมไม่ศรัทธากับคนทำหน้าที่ตรวจสอบคนอื่นเรื่องความโปร่งใส เพราะตัวเองยังขมุกขมัวอยู่อย่างนั้น เครื่องมือนี้ก็เลยกลายเป็นเครื่องมืออีกหนึ่งตัวที่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองไปเสียฉิบ
เครื่องมืออันดับต่อมา นั่นคือ ตลก. เครื่องมือนี้ทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องมือการตรวจสอบที่ดีอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ผู้ใดที่ผิดกฎบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันต้องขึ้นอยู่กับคนที่นำไปปฏิบัติด้วย เครื่องมือนี้จึงจะเป็นเครื่องมือที่สามารถทำให้ทุกๆคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
แต่ที่เห็นๆคนปฏิบัติเหล่านั้นแทบไม่ต่างกับเครื่องมือสองตัวที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะได้อำนาจมาจากคณะยึดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่เคยไปแสดงความยินดีกับพันธมิตรฯที่สามารถทำให้กองทัพเข้ามายึดอำนาจรัฐบาลสำเร็จ ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นการวินิจฉัยในหลายเรื่องขัดกับความรู้สึกประชาชนส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นการถอดถอนนายกฯจากการเปิดพจนานุกรม
ไม่ว่าจากการสารภาพเรื่องยุบพรรคตามสถานการณ์
ไม่ว่าจากคลิปที่เห็นการปรึกษาหารือเรื่องการช่วยพรรคๆหนึ่งให้รอดจากการถูกยุบพรรค
ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องทำประชาพิจารณ์
ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา
ไม่ว่าเรื่องรัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราตามคำแนะนำ ยังรับเรื่องไว้ในข้อหาล้มล้างการปกครอง
ไม่ว่าจะเป็นการตีความ “และ” กับ “หรือ” มีความหมายเดียวกัน แล้วก็รับเรื่องโดยตรงโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความกังขาให้กับสังคมเป็นอย่างยิ่ง สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับคนหมู่มาก จนทำให้ยุคนี้เป็นยุคที่ตุลาการภิวัฒน์เสื่อมถอยจากความศรัทธาของประชาชนมากที่สุดยุคหนึ่ง ดังนั้นถ้ายังคิดจะใช้เครื่องมือนี้อีกต่อไป คงต้องเปลี่ยนแปลงคนปฏิบัติกันแบบยกพวงแล้วล่ะครับ แล้วเริ่มต้นสร้างเสริมความศรัทธาให้กับคืนมาไวไว ประชาชนจึงจะมีที่พึ่งต่อไปครับ
เครื่องมือตัวถัดมา นั่นคือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็เป็นเครื่องมือสุดวิเศษสำหรับตรวจสอบไม่ให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐกระทำใดๆโดยปราศจากคุณธรรมและจริยธรรม
แต่ที่ประชาชนรับรู้ กลายเป็นจริยธรรมของนักการเมืองจะเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับนักการเมืองเป็นฝ่ายไหน ดังตัวอย่างตั้งคุณกษิตเป็นรัฐมนตรี ไม่ผิดจริยธรรม เพราะเป็นความบกพร่องโดยสุจริตของท่านผู้ตรวจการฯ แต่การตั้งคุณณัฐวุฒิ ผิดจริยธรรมแหงมๆ อย่างนี้เป็นต้น แล้วจะให้ประชาชนอย่างผมไว้วางใจกับเครื่องมือตัวนี้อีกหรือครับ
เครื่องมือตัวต่อมา นั่นคือ กสม. เครื่องมือที่มีไว้สำหรับป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็เป็นเครื่องมือที่ดีอีกเครื่องมือหนึ่ง เพราะจะช่วยไม่ให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายจะมาเที่ยวละเมิดสิทธิของประชาชนตามอำเภอใจไม่ได้
แต่ข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นว่า องค์กรนี้กลายเป็นองค์กรที่คุ้มครอง ปกปักและรักษาสิทธิฝ่ายหนึ่งไม่ให้ถูกละเมิดเท่านั้น
ถ้าฝ่ายนี้เป็นรัฐบาล ก็จะคุ้มครองสิทธิให้ กลายเป็นประชาชนละเมิดสิทธิเสียเอง ทั้งๆที่ประชาชนแค่ละเมิดกฎหมาย
แต่ถ้าฝ่ายนี้กลายเป็นฝ่ายค้านละก้อ การคุ้มครองสิทธิของการถูกละเมิดจะทำงานกันอย่างเข้มแข็ง รัฐบาลก็จะกลายเป็นผู้ละเมิดเสียเอง
จริงหรือไม่ก็ดูจากเสียงข้างน้อยในรายงานฉบับสลายการชุมนุมแดงก็แล้วกัน ออกมาประจานกันเองเรื่องความไร้มาตรฐานของ กสม. นี่ขนาดชีวิตคนเป็นร้อย บาดเจ็บเกือบสองพัน ยังไร้มาตรฐานขนาดนี้ ช่างไม่ฟังเสียงส่วนน้อยเสียบ้างเลย สลิ่มสงสัย
อย่างนี้แล้วจะให้ประชาชนไว้วางใจในสิทธิของตัวเองว่าจะไม่ถูกละเมิด ถ้า กสม.ชุดนี้ยังทำงานกันต่อไป
เครื่องมือสุดท้าย แน่นอนครับ ต้องเป็นฝ่ายค้าน เครื่องมือไว้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐบาล และยังต้องตรวจสอบกับนโยบายต่างๆของรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องดีในระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องมีฝ่ายค้านไว้ถ่วงดุล
แต่เครื่องมือตัวนี้ แทนที่จะไว้ตรวจสอบ ไว้ถ่วงดุล กลับกลายเป็นเครื่องมือสำหรับต่อต้าน เป็นเครื่องมือสำหรับถ่วงความเจริญ และยังเป็นเครื่องมือสำหรับการแก้แค้นที่ไม่สามารถชนะใจคนส่วนใหญ่ต่างหากครับ
ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นการต่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรม ซึ่งไม่รู้ว่ากลัวทักษิณได้ประโยชน์หรือต้องการให้คนเสื้อแดงที่อยู่คนละฝ่ายติดคุกให้หนำใจกันแน่
ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นถึงความพยายามเตะถ่วงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 57 จนข้ามวันข้ามคืน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสภา
ดังนั้นพวกเราจึงได้เห็นการร่วมมือกับเหล่า สว.สรรหาต่อต้านคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ให้ สว.มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการแก้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดตามระบอบประชาธิปไตย แต่นักการเมืองกับเห็นชอบกับพวกสรรหา โดยไม่เคารพเสียงของประชาชนมากกว่าเสียงของคนไม่กี่คน น่าอนาจเหลือเกินครับ
กับข้อหาไม่อยากให้เป็นสภาผัวเมีย นั่นเป็นการดูถูกประชาชนอย่างให้อภัยไม่ได้เลยนะครับ เพราะจะดีจะชั่ว ประชาชนก็เป็นคนเลือกเข้ามา ไม่ใช่อาศัยใครก็ไม่รู้ไม่กี่คนเลือกเข้ามา แล้วก็มาตั้งกลุ่มตั้งก๊วนต่อต้านรัฐบาลที่มาอย่างชอบธรรม แต่กลับแอบสนับสนุนรัฐบาลที่มาอย่างไม่โปร่งใส ขาดความสง่างาม
ข้อสำคัญเหล่า ส.ส.เองก็มีลูกมีเมียมีผัวมีปู่มีตาเป็น ส.ส.อยู่ร่วมด้วย อย่างนี้ไม่กลัวสภาผัวเมียหรืออย่างไร แบบนี้มันเกลียดตัวกินไข่นี่หว่า
ยังมีอีกมากมายที่เครื่องมือตรวจสอบตัวนี้ ได้ก่อวีรกรรมมากมายในหลายเรื่องต่างกรรมต่างวาระ ล้วนแต่เป็นการต่อต้านรัฐบาลทั้งสิ้น ดังนั้นเครื่องมือตัวนี้จึงเป็นเครื่องมือที่ตกรุ่น ล้าสมัย แถมยังเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง แล้วจะให้ผมไว้วางใจกับเครื่องมือสับปะรังเคตัวนี้อีกหรือครับ
ดังนั้นที่ผมยังไม่กล้าตรวจสอบรัฐบาล ก็เป็นเพราะผมยังไม่ไว้วางใจเครื่องมือตรวจสอบทั้งหลายที่พวกเผด็จการสร้างขึ้นมาอย่างแยบยล ทำให้ข้อมูลที่ได้รับจากเครื่องมือเหล่านี้ยังไม่น่าเชื่อถือ แล้วถ้าผมหลงเชื่อตามนั้น ผมอาจต้องเสียใจภายหลังก็ได้นะครับ ที่หลงเข้าใจรัฐบาลผิดไป กลายเป็นตีงูให้กากิน หรือไม่ก็จะเข้าตำรา กบเลือกนายก็ได้นะครับ