8
เวลานี้แม่หญิงนิ่มท้องแก่เกือบแปดเดือน ทั่วทั้งบ้านเริ่มวุ่นวายไปหมด บ่าวชายถูกเกณฑ์ไปหาฟืนมาใช้ตอนทำคลอดและอยู่ไฟ หมอตำแยถูกเรียกตัวมานอนพักค้างที่เรือนเพื่อเตรียมความพร้อม และในช่วงนั้นเองสามีอันเป็นที่รักของแม่หญิงนิ่มก็กลับมาทันช่วงเวลาสำคัญที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อสามีของแม่หญิงนิ่มกลับมาแล้วพิมพ์มาดาจึงได้เข้ามาอยู่ในเรือนที่ถูกจัดหาไว้ซึ่งตอนนี้ได้ทำความสะอาดและตกแต่งอย่างสวยงาม นาง
งเห็นว่าพิมพ์มาดาเองยังไม่มีบ่าวคอยรับใช้ส่วนตัวจึงได้เสนอเด็กสาวชื่อพะยอมซึ่งเป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทมาฝากไว้เป็นบ่าวประจำ
ตัวของพิมพ์มาดาซึ่งคุณหญิงนวลก็เห็นสมควร
พะยอมเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าปี ตาโตคมขำ พะยอมเกิดมาอาภัพ แม่ตายตอนคลอดพะยอมส่วนพ่อนั้นก็หายสาบสูญตอนไปทำสงคราม
พะยอมเป็นเด็กสาวที่น่ารัก แม้จะสูงเก้งก้างแต่ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เวลาว่างๆพิมพ์มาดาก็มักจะทำเครื่องหอมนานาประเภทตาม
ที่ได้เรียนวิชาจากคุณหญิงนวล ที่ชอบเป็นพิเศษคือแป้งร่ำเนื้อเนียนละเอียดที่ใช้ผัดหน้าผัดตัว ซึ่งพิมพ์มาดาได้ใส่เคล็ดลับเอาสีธรรมชาติที่ได้
จากกลีบดอกไม้มาเป็นส่วนผสม ทำให้ได้แป้งหลากสีสัน แป้งสีม่วงอ่อนจากดอกช้องนาง แป้งสีชมพูจากกลับดอกยี่สุ่น ว่ากันว่าใครต่อใครที่
เดินผ่านเรือนนี้ก็จะได้กลื่นหอมฟุ้งขจรขจายไปทั่ว
พิมพ์มาดาเลือกที่จะฆ่าเวลาโดยการทำเครื่องหอมไปวันๆแต่ภายในใจนั้นกลับว้าวุ่นอย่างประหลาด ยิ่งมองไปในหีบเล็กๆที่มีเสื้อสีม่วงมังคุด
แขนยาวตัวใหญ่ถูกพับไว้อย่างประณีตก็อดรู้สึกอยากจะพบหน้าเจ้าของเสื้อเหลือเกิน
ผ่านไปเกือบเดือนพิมพ์มาดาก็ยังไม่ได้มีโอกาสคืนเสื้อตัวนี้ให้กับชายหนุ่ม หญิงสาวสังเกตว่าช่วงนี้ขุนรามเดชะอยู่ไม่ติดบ้านเลย กลางวันก็ไป
เข้าเฝ้าราชการที่วังหน้า ส่วนกลางคืนนั้นก็ไม่กลับ บางทีกลับมาแล้วก็รีบออกไปไหนต่ออีกสร้างความฉงนใจให้กับคนที่รอเหลือเกิน
บ้าจริง ถ้าเขารู้ว่าเรารอจะเจอ เราก็เสียหน้าหมดสิ พิมพ์มาดารีบสลัดความรู้สึกแบบนี้ออกไปแล้วเดินไปปิดหน้าต่างเพื่อเตรียมเข้านอน แต่สาย
ตาดันเหลือบไปเห็นแสงไฟสีส้มดวงเล็กๆลอยอยู่ข้างล่าง แวบแรกเธอตกใจจนเกือบร้องตะโกน แต่เมื่อเพ่งมองใกล้ๆก็เห็นว่าที่แท้แสงนั้นเป็น
แสงจากตะเกียงและคนที่ถืออยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ขุนรามเดชะนั่นเอง
ออกไปไหนอีกแล้วนะ หญิงสาวยืนมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เธอชั่งใจอยู่สักพักก็ตัดสินใจเรียกพะยอมที่กำลังจัดมุ้งหมอนให้พิมพ์มาดาด้วย
ความขมีขมัน
“พะยอมจ๊ะ เดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าไปกับข้าทีสิ”
“เพลานี้ฤาเจ้าคะ ค่ำมืดป่านนี้ จะดีฤาเจ้าคะ” เด็กสาวถึงกับตาลีตาเหลือกเมื่อได้ยินเจ้านายบอกเช่นนี้
“ดีสิพะยอม ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวข้าเอาตะเกียงไป ไม่มืดหรอก”
“เอ่อ คือ บ่าว”
“ไม่ทันการแล้วพะยอม ข้าไปคนเดียวก็ได้” พิมพ์มาดารีบคว้าผ้าคลุมไหล่เอามาคลุมผมส่วนอีกมือก็ถือตะเกียงวิ่งลงมาใต้ถุนเรือน
“รอบ่าวด้วยสิเจ้าคะ” เสียงของพะยอมดังขึ้นจากข้างบน ใจหนึ่งก็กลัวจะมีเรื่องส่วนอีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงเจ้านาย
พิมพ์มาดาและสาวใช้ค่อยๆเดินสะกดรอยมาห่างๆ จากที่ทำใจกล้าๆในตอนแรกแต่พอเดินห่างออกมาจากบ้านผู้คนเข้ามาสู่เขตป่าละเมาะ
ความกล้าที่มีอยู่ก็เหลืออยู่เพียงครึ่ง ขาแทบก้าวไม่ออกเพราะความกลัว แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสื้อเอาไว้เพราะสาวใช้ที่ตามหลังกันมาก็ดูจะหวาด
กลัวไม่แพ้กัน มือเย็นเฉียบของทั้งสองสาวจึงได้แต่เกาะกุมซึ่งกันและกันเหมือนให้กำลังใจอีกฝ่าย
เดินมาไกลเท่าไรก็ไม่รู้ จากความหนาวเย็นยะเยือกก็เหลือแต่เพียงหยดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผาก แสงไฟจากตะเกียงของคนด้านหน้าเริ่มจะริบหรี่ไกลออกไปเรื่อยๆ
เมื่อไรจะถึงเสียทีนะ ตอนนี้พอนึกท้ออยากเดินกลับหลังก็ทำไม่ได้
“แม่หญิงเจ้าคะ เราจักไปอีกไกลไหม บ่าวกลัวเหลือเกิน” พะยอมกระซิบเสียงสั่น
“อีกไม่ไกลหรอกจ๊ะ” นายสาวหันไปปลอบ
แต่เมื่อหันกลับมาเบื้อหน้า ตะเกียงไฟของขุนรามเดชะที่ส่องแสงอยู่ไกลๆก็ดับวูบลง
“อ้าว ไปไหนเสียแล้วล่ะ” พิมพ์มาดารอสักพักแต่เมื่อไม่เห็นว่าไฟจะสว่างขึ้นอีกจึงวิ่งออกไปข้างหน้าแบบลืมนึกไปว่าตัวเองมาสะกดรอยอยู่
“รอบ่าวด้วยเจ้าคะ นายหญิงอย่าวิ่งสิเจ้าคะ”
พิมพ์มาดาวิ่งมาถึงจุดที่คิดว่าขุนรามเดชะน่าจะอยู่แต่ก็พบกับความว่างเปล่า คราวนี้ความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดก็หลุดลอยหายไปไกล พลัน
ร่างบอบบางก็เสียหลักล้มลงเพราะหญ้าที่ขึ้นสูงจนมองไม่เห็นทาง ตะเกียงคู่ใจก็หล่นจากมือไป พอลุกขึ้นมาได้ก็ควานหาตะเกียงอย่างสะเปะ
สะปะในความมืด
“เจ้าอีกแล้วฤา” เสียงของคนที่ตามหาดังมาไม่ไกลจากจุดที่พิมพ์มาดายืนอยู่
“นายหญิงของบ่าวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เมื่อสาวใช้วิ่งมาถึงตัวก็วิ่งเข้าปัดเนื้อปัดตัวนายสาวอย่างเป็นห่วง
“เจ้าก็เป็นบ่าวภาษาอะไร ไม่ดูแลนาย ปล่อยให้วิ่งพล่านไปทั่ว” เสียงเข้มๆทำเอาสาวใช้ถึงกับตัวสั่น
“อย่าว่าพะยอมนะ ข้าเป็นคนบังคับให้นางตามมาเอง”
ร่างของขุนรามเดชะเดินออกมาจากเงามืดของแมกไม้ แสงจันทร์จากคืนเดือนหงายแม้ไม่จะสว่างนักแต่ก็เห็นชัดได้ว่าในสีหน้าของชายผู้นี้มี
ความถเครียดอยู่ไม่น้อย
กรุงเทพ นิรมิตร ตอนที่ 8
เวลานี้แม่หญิงนิ่มท้องแก่เกือบแปดเดือน ทั่วทั้งบ้านเริ่มวุ่นวายไปหมด บ่าวชายถูกเกณฑ์ไปหาฟืนมาใช้ตอนทำคลอดและอยู่ไฟ หมอตำแยถูกเรียกตัวมานอนพักค้างที่เรือนเพื่อเตรียมความพร้อม และในช่วงนั้นเองสามีอันเป็นที่รักของแม่หญิงนิ่มก็กลับมาทันช่วงเวลาสำคัญที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อสามีของแม่หญิงนิ่มกลับมาแล้วพิมพ์มาดาจึงได้เข้ามาอยู่ในเรือนที่ถูกจัดหาไว้ซึ่งตอนนี้ได้ทำความสะอาดและตกแต่งอย่างสวยงาม นาง
งเห็นว่าพิมพ์มาดาเองยังไม่มีบ่าวคอยรับใช้ส่วนตัวจึงได้เสนอเด็กสาวชื่อพะยอมซึ่งเป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทมาฝากไว้เป็นบ่าวประจำ
ตัวของพิมพ์มาดาซึ่งคุณหญิงนวลก็เห็นสมควร
พะยอมเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าปี ตาโตคมขำ พะยอมเกิดมาอาภัพ แม่ตายตอนคลอดพะยอมส่วนพ่อนั้นก็หายสาบสูญตอนไปทำสงคราม
พะยอมเป็นเด็กสาวที่น่ารัก แม้จะสูงเก้งก้างแต่ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เวลาว่างๆพิมพ์มาดาก็มักจะทำเครื่องหอมนานาประเภทตาม
ที่ได้เรียนวิชาจากคุณหญิงนวล ที่ชอบเป็นพิเศษคือแป้งร่ำเนื้อเนียนละเอียดที่ใช้ผัดหน้าผัดตัว ซึ่งพิมพ์มาดาได้ใส่เคล็ดลับเอาสีธรรมชาติที่ได้
จากกลีบดอกไม้มาเป็นส่วนผสม ทำให้ได้แป้งหลากสีสัน แป้งสีม่วงอ่อนจากดอกช้องนาง แป้งสีชมพูจากกลับดอกยี่สุ่น ว่ากันว่าใครต่อใครที่
เดินผ่านเรือนนี้ก็จะได้กลื่นหอมฟุ้งขจรขจายไปทั่ว
พิมพ์มาดาเลือกที่จะฆ่าเวลาโดยการทำเครื่องหอมไปวันๆแต่ภายในใจนั้นกลับว้าวุ่นอย่างประหลาด ยิ่งมองไปในหีบเล็กๆที่มีเสื้อสีม่วงมังคุด
แขนยาวตัวใหญ่ถูกพับไว้อย่างประณีตก็อดรู้สึกอยากจะพบหน้าเจ้าของเสื้อเหลือเกิน
ผ่านไปเกือบเดือนพิมพ์มาดาก็ยังไม่ได้มีโอกาสคืนเสื้อตัวนี้ให้กับชายหนุ่ม หญิงสาวสังเกตว่าช่วงนี้ขุนรามเดชะอยู่ไม่ติดบ้านเลย กลางวันก็ไป
เข้าเฝ้าราชการที่วังหน้า ส่วนกลางคืนนั้นก็ไม่กลับ บางทีกลับมาแล้วก็รีบออกไปไหนต่ออีกสร้างความฉงนใจให้กับคนที่รอเหลือเกิน
บ้าจริง ถ้าเขารู้ว่าเรารอจะเจอ เราก็เสียหน้าหมดสิ พิมพ์มาดารีบสลัดความรู้สึกแบบนี้ออกไปแล้วเดินไปปิดหน้าต่างเพื่อเตรียมเข้านอน แต่สาย
ตาดันเหลือบไปเห็นแสงไฟสีส้มดวงเล็กๆลอยอยู่ข้างล่าง แวบแรกเธอตกใจจนเกือบร้องตะโกน แต่เมื่อเพ่งมองใกล้ๆก็เห็นว่าที่แท้แสงนั้นเป็น
แสงจากตะเกียงและคนที่ถืออยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ขุนรามเดชะนั่นเอง
ออกไปไหนอีกแล้วนะ หญิงสาวยืนมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เธอชั่งใจอยู่สักพักก็ตัดสินใจเรียกพะยอมที่กำลังจัดมุ้งหมอนให้พิมพ์มาดาด้วย
ความขมีขมัน
“พะยอมจ๊ะ เดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าไปกับข้าทีสิ”
“เพลานี้ฤาเจ้าคะ ค่ำมืดป่านนี้ จะดีฤาเจ้าคะ” เด็กสาวถึงกับตาลีตาเหลือกเมื่อได้ยินเจ้านายบอกเช่นนี้
“ดีสิพะยอม ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวข้าเอาตะเกียงไป ไม่มืดหรอก”
“เอ่อ คือ บ่าว”
“ไม่ทันการแล้วพะยอม ข้าไปคนเดียวก็ได้” พิมพ์มาดารีบคว้าผ้าคลุมไหล่เอามาคลุมผมส่วนอีกมือก็ถือตะเกียงวิ่งลงมาใต้ถุนเรือน
“รอบ่าวด้วยสิเจ้าคะ” เสียงของพะยอมดังขึ้นจากข้างบน ใจหนึ่งก็กลัวจะมีเรื่องส่วนอีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงเจ้านาย
พิมพ์มาดาและสาวใช้ค่อยๆเดินสะกดรอยมาห่างๆ จากที่ทำใจกล้าๆในตอนแรกแต่พอเดินห่างออกมาจากบ้านผู้คนเข้ามาสู่เขตป่าละเมาะ
ความกล้าที่มีอยู่ก็เหลืออยู่เพียงครึ่ง ขาแทบก้าวไม่ออกเพราะความกลัว แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสื้อเอาไว้เพราะสาวใช้ที่ตามหลังกันมาก็ดูจะหวาด
กลัวไม่แพ้กัน มือเย็นเฉียบของทั้งสองสาวจึงได้แต่เกาะกุมซึ่งกันและกันเหมือนให้กำลังใจอีกฝ่าย
เดินมาไกลเท่าไรก็ไม่รู้ จากความหนาวเย็นยะเยือกก็เหลือแต่เพียงหยดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผาก แสงไฟจากตะเกียงของคนด้านหน้าเริ่มจะริบหรี่ไกลออกไปเรื่อยๆ
เมื่อไรจะถึงเสียทีนะ ตอนนี้พอนึกท้ออยากเดินกลับหลังก็ทำไม่ได้
“แม่หญิงเจ้าคะ เราจักไปอีกไกลไหม บ่าวกลัวเหลือเกิน” พะยอมกระซิบเสียงสั่น
“อีกไม่ไกลหรอกจ๊ะ” นายสาวหันไปปลอบ
แต่เมื่อหันกลับมาเบื้อหน้า ตะเกียงไฟของขุนรามเดชะที่ส่องแสงอยู่ไกลๆก็ดับวูบลง
“อ้าว ไปไหนเสียแล้วล่ะ” พิมพ์มาดารอสักพักแต่เมื่อไม่เห็นว่าไฟจะสว่างขึ้นอีกจึงวิ่งออกไปข้างหน้าแบบลืมนึกไปว่าตัวเองมาสะกดรอยอยู่
“รอบ่าวด้วยเจ้าคะ นายหญิงอย่าวิ่งสิเจ้าคะ”
พิมพ์มาดาวิ่งมาถึงจุดที่คิดว่าขุนรามเดชะน่าจะอยู่แต่ก็พบกับความว่างเปล่า คราวนี้ความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดก็หลุดลอยหายไปไกล พลัน
ร่างบอบบางก็เสียหลักล้มลงเพราะหญ้าที่ขึ้นสูงจนมองไม่เห็นทาง ตะเกียงคู่ใจก็หล่นจากมือไป พอลุกขึ้นมาได้ก็ควานหาตะเกียงอย่างสะเปะ
สะปะในความมืด
“เจ้าอีกแล้วฤา” เสียงของคนที่ตามหาดังมาไม่ไกลจากจุดที่พิมพ์มาดายืนอยู่
“นายหญิงของบ่าวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เมื่อสาวใช้วิ่งมาถึงตัวก็วิ่งเข้าปัดเนื้อปัดตัวนายสาวอย่างเป็นห่วง
“เจ้าก็เป็นบ่าวภาษาอะไร ไม่ดูแลนาย ปล่อยให้วิ่งพล่านไปทั่ว” เสียงเข้มๆทำเอาสาวใช้ถึงกับตัวสั่น
“อย่าว่าพะยอมนะ ข้าเป็นคนบังคับให้นางตามมาเอง”
ร่างของขุนรามเดชะเดินออกมาจากเงามืดของแมกไม้ แสงจันทร์จากคืนเดือนหงายแม้ไม่จะสว่างนักแต่ก็เห็นชัดได้ว่าในสีหน้าของชายผู้นี้มี
ความถเครียดอยู่ไม่น้อย