ใครกล่าวตู่ใคร ?
ที่จริงแล้ว ในฐานะที่(อ้างว่า) เป็นชาวพุทธ ก็น่าพอมีสามัญสำนึกที่ดีอยู่บ้างว่า
การกล่าวตู่ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยข้อมูลหลักฐานอันเป็นเท็จ นั้นเป็นพฤติกรรมที่ "ต่ำช้า"
และหากผู้ที่ถูกใส่ร้ายเป็นภิกษุผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมขั้นสูง ดังที่หลวงพ่อพุธ ท่านกล่าวว่า
เป็นผู้รู้จริงเห็นจริงด้วยแล้วนั้น ไอ้อี ผู้กระทำการดังกล่าว ย่อมเป็นคนที่ชั่วช้าเลวทราม อย่างยิ่ง !
ประเด็นที่เป็นใจความหลักของเรื่องนี้ ก็คือ มีล็อกอินหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกโต๊ะศาสนา เกิดนึก "ครึ้มอกครึ้มใจ" อยากด่าพระขึ้นมา
จึงตั้งประเด็นกระทู้ ขึ้นมาว่า ท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และในท้ายที่สุด ก็สรุปความว่า ท่านพุทธทาส เนรคุณพระพุทธเจ้า
โดยมีการแสดง "ตรรกะนรก" ยกข้อความจากพระสูตร ขึ้นอ้าง พร้อมทำการคำนวน(ตัวเลข) วุ่นวายไปหมด
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันจะเป็นการคิดคำนวนที่ไร้ค่าทันที ถ้าหากปราศจากหลักฐาน "ขั้นต้น" ที่เป็นจริงและเชื่อถือได้
หรือมิใช่ ?
*******************************************************************************************
ขั้นแรก
เราต้องพิจารณา "หลักฐาน" ให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ท่านพุทธทาสสอนเรื่องที่เกี่ยวกับ ภพภูมิ เอาไว้ว่าอย่างไรบ้าง
ซึ่งปรากฏหลักฐาน ดังต่อไปนี้ .......
(๑) หลักฐานที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เนต ท่านพุทธทาสกล่าวว่า ชาติ หรือ การเกิดนั้นมีอยู่ ๒ ชนิด
คือ ชาติทางร่างกายทางวัตถุ กับ ชาติทางจิตทางวิญญาณ จากหลักฐานนี้ แสดงว่าท่านพุทธทาสเห็นว่า
ภพภูมิ มี ๒ อย่าง ตามลักษณะการเกิด คือ มีภพภูมิทางร่างกายทางวัตถุ สำหรับการเกิดทางร่างกายทางวัตถุ
และมีภพภูทิทางใจ สำหรับการเกิดทางจิตทางวิญญาณ ซึ่งหลักฐานตามที่ปรากฏอยู่นี้ ก็ครบถ้วนดี นี่ครับ
(๒) หากยังรู้สึกไม่จุใจมากพอ ก็ต้องไปพิจารณาจาก ตำรา "อริยสัจจากพระโอษฐ์"
ซึ่งท่านพุทธทาสได้อ้างถึงพระบาลี ที่ระบุความว่า ..............
"เรา(พระพุทธเจ้า)ย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ที่ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน"
(๓) ถ้ายังรู้สึกว่า ยังไม่พอใจในหลักฐาน ก็ขอให้จงพิจารณาข้อความจาก ตำรา "อิทัปปัจจยตา"
ซึ่งปรากฏข้อความที่ท่านพุทธทาส อ้างจากพุทธพจน์อีกทีหนึ่ง กล่าวถึงภพภูมิหลังตาย ดังนี้ว่า
จึงเป็นอันว่า เมื่อพิจารณาจากหลักฐานชั้นต้น(ที่เชื่อถือได้) กลับปรากฏว่า ท่านพุทธทาส
ก็เหมือนกับภิกษุสาวกโดยทั่วไป ที่ย่อมกล่าวสอนอย่างสอดคล้องกับพระบรมศาสดา
กล่าวคือ สำหรับคนที่ฉลาดแล้ว รู้จักการทำบุญทำทานรักษาศีลแล้ว ท่านก็สอน กามาทีนวกถา
กล่าวคือ พรรณนาโทษของกาม ให้เบื่อหน่ายในสวรรค์ ให้ละเลิกความเมาหมกอยู่ในบุญ เพื่อนำไปสู่
แนวทางแห่งการออกจากกาม(เนกขัมมานิสังสกถา) ซึ่งทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นการแสดงธรรมไปตามลำดับ
หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า อนุปุพพิกถา นั่นเอง
ทีนี้ เมื่อกล่าวสำหรับ พวกลูกเป็ดไก่อ่อน ที่ยังไม่รู้จักทำบุญทำทาน ยังไม่รู้จักการรักษาศีล
ท่านพุทธทาส ก็สอนทานกถา ศีลกถา และ สัคคกถา ไปตามปกติด้วยความเมตตาต่อสัตว์โลก
ซึ่งหลักฐาน ก็ปรากฏอยู่ "มากแห่ง" อย่างชัดเจน
ดังนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ สำหรับกรณีนี้ ก็คือ ข้อความ หรือ ตำราโดยส่วนใหญ่ของท่านพุทธทาส
มักแพร่หลายอยู่ในกลุ่มบุคคลผู้เจริญแล้ว อันหมายถึง คนที่มีการศึกษาดี รู้จักการทำบุญทำทานรักษาศีลเป็นปกติ
ซึ่งเมื่อคนเหล่านี้ มีเจตนาดี จะนำ "ความรู้" มาเผยแพร่ต่อ ก็มักจะเผยแพร่เฉพาะในมุมที่ถูกจริตกับพวกของตนเท่านั้น
โดยลืมไปว่า ในสังคมวงกว้างยังมีชาวพุทธจำพวก "ลูกเป็ดไก่อ่อน" ที่ยังหลงบุญ และเมาหมกในนรกสวรรค์อยู่เป็นจำนวนมาก
ซึ่งคนพวกนี้ยังไม่มีความพร้อมสำหรับ "กามาทีนวกถา" ที่พรรณนาให้เห็นโทษของกาม(สวรรค์)
เมื่อคนโลกแคบพวกนี้ เห็นแต่ตำราซึ่งสอนให้ เบื่อหน่าย ละทิ้งโลกสวรรค์ ก็เกิดอาการต่อต้าน(เพราะ แน่น-อก)
และลงท้ายด้วยการ กล่าวหาใส่ร้าย ท่านพุทธทาส ว่าเป็นพวกอุจเฉททิฐิ ซึ่งนับเป็นการกล่าวหาอย่างโง่เขลาเบาปัญญาที่สุด
เพราะการสอนให้ละทิ้ง หรือเบื่อหน่ายโลกสวรรค์ นั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
อีกทั้งการสอน "กามาทีนวกถา" นี้เป็นเพียงแค่การสอนให้ "ละ" ความยึดติดถือมั่นในภพ
แต่มิได้มีความหมายในทำนองปฏิเสธว่า ภพภูมิ ไม่มี การกล่าวหาว่าท่านพุทธทาสปฏิเสธภพภูมิแบบนี้
จึงเป็นความเข้าใจผิดแบบโง่ๆ อันเนื่องมาจาก การปรุงแต่งฟุ้งซ่าน ของพวก เม็ดมะขามเองล้วนๆ
ชัดเจน แล้วนะครับ !
*******************************************************************************************
ขั้นที่ ๒
เมื่อปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ท่านพุทธทาสสอนทั้งภพภูมิทางใจทางวิญญาณ และภพภูมิทางกายทางวัตถุ
นั่นจึงหมายความว่า เมื่อพิจารณาในแง่ของการเกิดทางร่างกาย หรือทางวัตถุ โดยเฉพาะในระดับสมมุติ
ก็ต้องอ้างอิงข้อความคำสอนของท่านพุทธทาส ในส่วนที่สอนธรรมในระดับสมมุติ ที่เนื่องกับ สัตว์บุคคล ฯลฯ
แต่หากเมื่อใดต้องการพิจารณาในแง่ที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติธรรม ก็ย่อมต้องยกคำสอนที้เกี่ยวกับการเกิดทางใจ
ซึ่งเนื่องอยู่กับภพภูมิทางจิตวิญญาณขึ้นมาพิจารณาเปรียบเทียบ จึงจะนับได้ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้องชอบธรรม
ทั้งต่อ (๑) ท่านพุทธทาส (๒) พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว และ (๓) ชาวพุทธทั้งหลาย
แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ ก็คือ ไอ้หมอนั่น ซึ่งคันปากยิบๆ แต่กลับวิพากษ์วิจารณ์แบบ หัวมังกุท้ายมังกร กล่าวคือ
ในประเด็นที่เกี่ยวกับ ภพภูมิทางวัตถุ มันดันไปยกคำสอนเกี่ยวกับ ภพภูมิทางใจของท่านพุทธทาสมาเปรียบเทียบ
แล้วก็สรุปแบบมั่วๆ ชั่วๆ ตามประสาโง่ของมันว่า ท่านพุทธทาสสอนไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า !
คำถาม ก็คือ ในเมื่อต้องการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับภพภูมิทางวัตถุ หรือภพภูมิทางกาย
แล้วทำไม จึงไม่ยกคำสอนของท่านพุทธทาส ในระดับสมมุติ ที่เกี่ยวกับภพภูมิทางวัตถุ มาเปรียบเทียบเล่าครับ ?
ถ้าค้นหาจากตำราของท่านพุทธทาสอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่กลับไม่พบข้อความที่สอนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่ประโยคเดียว
ก็ยังพออนุโลมได้ว่า มันหาไม่พบจริงๆ แต่การที่ปรากฏหลักฐานข้อเท็จจริงว่า ท่านพุทธทาสมิได้ละเลย
ต่อ "ลูกเป็ดไก่อ่อน" พวกนี้เลยนะครับ กล่าวคือ ท่านก็เพียงแต่เลือกว่า จะสอนอะไรกับคนพวกไหน เท่านั้นเอง
ใครที่ยังไม่รู้จักการทำบุญทำทานรักษาศีล ท่านก็สอนให้เขารู้จักสิ่งเหล่านั้น ซึ่งท่านมักกล่าวว่า
เรื่องแบบนั้น คนเขาสอนกันเยอะแล้ว ท่าน(แทบ)ไม่จำเป็นต้องสอนเอาเลยด้วยซ้ำ(แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สอนเลย)
สิ่งเร่งด่วนที่จำเป็นต้องสอน ก็คือ ให้รู้จักละความยึดติดถือมั่นในโลกสวรรค์(กามาทีนวกถา)นั้นเสียมากกว่า !
กล่าวโดยสรุป ก็คือ นายคนนี้ จะไม่ต้องลำบากมา "โชว์โง่" ในการคำนวนอะไรๆ บ้าๆ บอๆ ตามที่ปรากฏอยู่นั้นเลย
ถ้าหากมันจะมีแก่ใจ ให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยการแสวงหา "หลักฐานชั้นต้น"
ให้ครบถ้วน เป็นธรรม และยุติธรรม อย่างที่คนดีๆ ทั่วไปเขาปฏิบัติกัน
ก็ในเมื่อ ข้อความอุบาทว์ ดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากการ คิดเองเออเอง
โดยไม่อ้างอิง ไม่สอบทานกับหลักฐานข้อเท็จจริง ตามที่ปรากฏอยู่จริง
ตรรกะ ที่อ้างอิง จึงเป็นได้แค่เพียง ตรรกะวิบัติ ที่ใช้การมิได้
เหตุผล ที่กล่าวอ้าง จึงเป็นได้แค่เพียง เหตุผลชั่วๆ ที่วิญญูชนมิอาจยอมรับ
และสุดท้าย ข้อสรุปที่ได้ จึงเป็นแค่เพียง ข้อกล่าวหาเลวๆ ของคนชั่ว ที่ปราศจากความถูกต้องชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
หรือมิใช่ ?
*******************************************************************************************
ขั้นที่ ๓
ดังนั้น ต่อคำถามในประเด็นที่ว่า "ใครกล่าวตู่ใคร ?"
ล็อกอิน ยามประจำวัน ถามผม หรือเปล่าล่ะ ?
เพราะถ้าถามผม ผมก็จำต้องกล่าวตามความเป็นจริงว่า มีแต่มัน(เพียงผู้เดียว)นั่นแหละ ที่กล่าวตู่ !
ท่านพุทธทาสสอนภพภูมิว่ามี ๒ อย่าง แต่ไอ้หมอนี่กลับทำประหนึ่งว่า ท่านพุทธทาสสอนอย่างเดียว
จากนั้น ก็อาศัยความหน้าด้าน คิดคำนวนบ้าคอคอแตกตามประสาคนฟุ้งซ่าน
แล้วสรุปเอาเองเสร็จสรรพว่า ท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระพุทธเจ้า แถมยังพ่วงข้อหา อกตัญญู เพิ่มเข้ามาอีกต่างหาก
กรณีอย่างนี้ โง่ เพียงอย่างเดียว ทำไม่ได้นะครับ เพราะมันต้องอาศัย ความหน้าด้าน มากๆ อีกด้วย
ที่กล่าวมานี้ ผมหมายรวมไปถึง ไอ้อี ที่กดถูกใจ ไปกับคนเขียนกระทู้นั้นด้วย ซึ่งผมไม่ทราบจริงๆ ว่า
ที่พวกมัน "ถูกใจ" นั้นมันหมายถึง ถูกใจใน "ความโง่" หรือ "ความเลว" ของเพื่อนมันกันแน่ !
มันจะไม่เป็นการกระทำที่ "สารเลว" มากเกินไปหน่อยหรือครับ
กับการที่ กล่าวตู่บิดเบือน ข้อมูลหลักฐานคำสอนของผู้อื่น
แล้วนำใจความที่สรุปมาแบบผิดๆ นั้น มากล่าวหาโจมตีในที่สาธารณะ
โดยที่ผู้ถูกกล่าวหา ไม่มีโอกาส อธิบายข้อเท็จจริงใดๆ ได้เลย !
ผมต้องการเห็น "ความรับผิดชอบ" อย่างลูกผู้ชายชาวพุทธ น่ะครับ
พวกคุณมีหรือเปล่าล่ะ ?
ใครกล่าวตู่ใคร ?
ที่จริงแล้ว ในฐานะที่(อ้างว่า) เป็นชาวพุทธ ก็น่าพอมีสามัญสำนึกที่ดีอยู่บ้างว่า
การกล่าวตู่ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยข้อมูลหลักฐานอันเป็นเท็จ นั้นเป็นพฤติกรรมที่ "ต่ำช้า"
และหากผู้ที่ถูกใส่ร้ายเป็นภิกษุผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมขั้นสูง ดังที่หลวงพ่อพุธ ท่านกล่าวว่า
เป็นผู้รู้จริงเห็นจริงด้วยแล้วนั้น ไอ้อี ผู้กระทำการดังกล่าว ย่อมเป็นคนที่ชั่วช้าเลวทราม อย่างยิ่ง !
ประเด็นที่เป็นใจความหลักของเรื่องนี้ ก็คือ มีล็อกอินหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกโต๊ะศาสนา เกิดนึก "ครึ้มอกครึ้มใจ" อยากด่าพระขึ้นมา
จึงตั้งประเด็นกระทู้ ขึ้นมาว่า ท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และในท้ายที่สุด ก็สรุปความว่า ท่านพุทธทาส เนรคุณพระพุทธเจ้า
โดยมีการแสดง "ตรรกะนรก" ยกข้อความจากพระสูตร ขึ้นอ้าง พร้อมทำการคำนวน(ตัวเลข) วุ่นวายไปหมด
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันจะเป็นการคิดคำนวนที่ไร้ค่าทันที ถ้าหากปราศจากหลักฐาน "ขั้นต้น" ที่เป็นจริงและเชื่อถือได้
หรือมิใช่ ?
*******************************************************************************************
ขั้นแรก
เราต้องพิจารณา "หลักฐาน" ให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ท่านพุทธทาสสอนเรื่องที่เกี่ยวกับ ภพภูมิ เอาไว้ว่าอย่างไรบ้าง
ซึ่งปรากฏหลักฐาน ดังต่อไปนี้ .......
(๑) หลักฐานที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เนต ท่านพุทธทาสกล่าวว่า ชาติ หรือ การเกิดนั้นมีอยู่ ๒ ชนิด
คือ ชาติทางร่างกายทางวัตถุ กับ ชาติทางจิตทางวิญญาณ จากหลักฐานนี้ แสดงว่าท่านพุทธทาสเห็นว่า
ภพภูมิ มี ๒ อย่าง ตามลักษณะการเกิด คือ มีภพภูมิทางร่างกายทางวัตถุ สำหรับการเกิดทางร่างกายทางวัตถุ
และมีภพภูทิทางใจ สำหรับการเกิดทางจิตทางวิญญาณ ซึ่งหลักฐานตามที่ปรากฏอยู่นี้ ก็ครบถ้วนดี นี่ครับ
(๒) หากยังรู้สึกไม่จุใจมากพอ ก็ต้องไปพิจารณาจาก ตำรา "อริยสัจจากพระโอษฐ์"
ซึ่งท่านพุทธทาสได้อ้างถึงพระบาลี ที่ระบุความว่า ..............
"เรา(พระพุทธเจ้า)ย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ที่ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน"
(๓) ถ้ายังรู้สึกว่า ยังไม่พอใจในหลักฐาน ก็ขอให้จงพิจารณาข้อความจาก ตำรา "อิทัปปัจจยตา"
ซึ่งปรากฏข้อความที่ท่านพุทธทาส อ้างจากพุทธพจน์อีกทีหนึ่ง กล่าวถึงภพภูมิหลังตาย ดังนี้ว่า
จึงเป็นอันว่า เมื่อพิจารณาจากหลักฐานชั้นต้น(ที่เชื่อถือได้) กลับปรากฏว่า ท่านพุทธทาส
ก็เหมือนกับภิกษุสาวกโดยทั่วไป ที่ย่อมกล่าวสอนอย่างสอดคล้องกับพระบรมศาสดา
กล่าวคือ สำหรับคนที่ฉลาดแล้ว รู้จักการทำบุญทำทานรักษาศีลแล้ว ท่านก็สอน กามาทีนวกถา
กล่าวคือ พรรณนาโทษของกาม ให้เบื่อหน่ายในสวรรค์ ให้ละเลิกความเมาหมกอยู่ในบุญ เพื่อนำไปสู่
แนวทางแห่งการออกจากกาม(เนกขัมมานิสังสกถา) ซึ่งทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นการแสดงธรรมไปตามลำดับ
หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า อนุปุพพิกถา นั่นเอง
ทีนี้ เมื่อกล่าวสำหรับ พวกลูกเป็ดไก่อ่อน ที่ยังไม่รู้จักทำบุญทำทาน ยังไม่รู้จักการรักษาศีล
ท่านพุทธทาส ก็สอนทานกถา ศีลกถา และ สัคคกถา ไปตามปกติด้วยความเมตตาต่อสัตว์โลก
ซึ่งหลักฐาน ก็ปรากฏอยู่ "มากแห่ง" อย่างชัดเจน
ดังนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ สำหรับกรณีนี้ ก็คือ ข้อความ หรือ ตำราโดยส่วนใหญ่ของท่านพุทธทาส
มักแพร่หลายอยู่ในกลุ่มบุคคลผู้เจริญแล้ว อันหมายถึง คนที่มีการศึกษาดี รู้จักการทำบุญทำทานรักษาศีลเป็นปกติ
ซึ่งเมื่อคนเหล่านี้ มีเจตนาดี จะนำ "ความรู้" มาเผยแพร่ต่อ ก็มักจะเผยแพร่เฉพาะในมุมที่ถูกจริตกับพวกของตนเท่านั้น
โดยลืมไปว่า ในสังคมวงกว้างยังมีชาวพุทธจำพวก "ลูกเป็ดไก่อ่อน" ที่ยังหลงบุญ และเมาหมกในนรกสวรรค์อยู่เป็นจำนวนมาก
ซึ่งคนพวกนี้ยังไม่มีความพร้อมสำหรับ "กามาทีนวกถา" ที่พรรณนาให้เห็นโทษของกาม(สวรรค์)
เมื่อคนโลกแคบพวกนี้ เห็นแต่ตำราซึ่งสอนให้ เบื่อหน่าย ละทิ้งโลกสวรรค์ ก็เกิดอาการต่อต้าน(เพราะ แน่น-อก)
และลงท้ายด้วยการ กล่าวหาใส่ร้าย ท่านพุทธทาส ว่าเป็นพวกอุจเฉททิฐิ ซึ่งนับเป็นการกล่าวหาอย่างโง่เขลาเบาปัญญาที่สุด
เพราะการสอนให้ละทิ้ง หรือเบื่อหน่ายโลกสวรรค์ นั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
อีกทั้งการสอน "กามาทีนวกถา" นี้เป็นเพียงแค่การสอนให้ "ละ" ความยึดติดถือมั่นในภพ
แต่มิได้มีความหมายในทำนองปฏิเสธว่า ภพภูมิ ไม่มี การกล่าวหาว่าท่านพุทธทาสปฏิเสธภพภูมิแบบนี้
จึงเป็นความเข้าใจผิดแบบโง่ๆ อันเนื่องมาจาก การปรุงแต่งฟุ้งซ่าน ของพวก เม็ดมะขามเองล้วนๆ
ชัดเจน แล้วนะครับ !
*******************************************************************************************
ขั้นที่ ๒
เมื่อปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ท่านพุทธทาสสอนทั้งภพภูมิทางใจทางวิญญาณ และภพภูมิทางกายทางวัตถุ
นั่นจึงหมายความว่า เมื่อพิจารณาในแง่ของการเกิดทางร่างกาย หรือทางวัตถุ โดยเฉพาะในระดับสมมุติ
ก็ต้องอ้างอิงข้อความคำสอนของท่านพุทธทาส ในส่วนที่สอนธรรมในระดับสมมุติ ที่เนื่องกับ สัตว์บุคคล ฯลฯ
แต่หากเมื่อใดต้องการพิจารณาในแง่ที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติธรรม ก็ย่อมต้องยกคำสอนที้เกี่ยวกับการเกิดทางใจ
ซึ่งเนื่องอยู่กับภพภูมิทางจิตวิญญาณขึ้นมาพิจารณาเปรียบเทียบ จึงจะนับได้ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้องชอบธรรม
ทั้งต่อ (๑) ท่านพุทธทาส (๒) พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว และ (๓) ชาวพุทธทั้งหลาย
แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ ก็คือ ไอ้หมอนั่น ซึ่งคันปากยิบๆ แต่กลับวิพากษ์วิจารณ์แบบ หัวมังกุท้ายมังกร กล่าวคือ
ในประเด็นที่เกี่ยวกับ ภพภูมิทางวัตถุ มันดันไปยกคำสอนเกี่ยวกับ ภพภูมิทางใจของท่านพุทธทาสมาเปรียบเทียบ
แล้วก็สรุปแบบมั่วๆ ชั่วๆ ตามประสาโง่ของมันว่า ท่านพุทธทาสสอนไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า !
คำถาม ก็คือ ในเมื่อต้องการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับภพภูมิทางวัตถุ หรือภพภูมิทางกาย
แล้วทำไม จึงไม่ยกคำสอนของท่านพุทธทาส ในระดับสมมุติ ที่เกี่ยวกับภพภูมิทางวัตถุ มาเปรียบเทียบเล่าครับ ?
ถ้าค้นหาจากตำราของท่านพุทธทาสอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่กลับไม่พบข้อความที่สอนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่ประโยคเดียว
ก็ยังพออนุโลมได้ว่า มันหาไม่พบจริงๆ แต่การที่ปรากฏหลักฐานข้อเท็จจริงว่า ท่านพุทธทาสมิได้ละเลย
ต่อ "ลูกเป็ดไก่อ่อน" พวกนี้เลยนะครับ กล่าวคือ ท่านก็เพียงแต่เลือกว่า จะสอนอะไรกับคนพวกไหน เท่านั้นเอง
ใครที่ยังไม่รู้จักการทำบุญทำทานรักษาศีล ท่านก็สอนให้เขารู้จักสิ่งเหล่านั้น ซึ่งท่านมักกล่าวว่า
เรื่องแบบนั้น คนเขาสอนกันเยอะแล้ว ท่าน(แทบ)ไม่จำเป็นต้องสอนเอาเลยด้วยซ้ำ(แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สอนเลย)
สิ่งเร่งด่วนที่จำเป็นต้องสอน ก็คือ ให้รู้จักละความยึดติดถือมั่นในโลกสวรรค์(กามาทีนวกถา)นั้นเสียมากกว่า !
กล่าวโดยสรุป ก็คือ นายคนนี้ จะไม่ต้องลำบากมา "โชว์โง่" ในการคำนวนอะไรๆ บ้าๆ บอๆ ตามที่ปรากฏอยู่นั้นเลย
ถ้าหากมันจะมีแก่ใจ ให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยการแสวงหา "หลักฐานชั้นต้น"
ให้ครบถ้วน เป็นธรรม และยุติธรรม อย่างที่คนดีๆ ทั่วไปเขาปฏิบัติกัน
ก็ในเมื่อ ข้อความอุบาทว์ ดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากการ คิดเองเออเอง
โดยไม่อ้างอิง ไม่สอบทานกับหลักฐานข้อเท็จจริง ตามที่ปรากฏอยู่จริง
ตรรกะ ที่อ้างอิง จึงเป็นได้แค่เพียง ตรรกะวิบัติ ที่ใช้การมิได้
เหตุผล ที่กล่าวอ้าง จึงเป็นได้แค่เพียง เหตุผลชั่วๆ ที่วิญญูชนมิอาจยอมรับ
และสุดท้าย ข้อสรุปที่ได้ จึงเป็นแค่เพียง ข้อกล่าวหาเลวๆ ของคนชั่ว ที่ปราศจากความถูกต้องชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
หรือมิใช่ ?
*******************************************************************************************
ขั้นที่ ๓
ดังนั้น ต่อคำถามในประเด็นที่ว่า "ใครกล่าวตู่ใคร ?"
ล็อกอิน ยามประจำวัน ถามผม หรือเปล่าล่ะ ?
เพราะถ้าถามผม ผมก็จำต้องกล่าวตามความเป็นจริงว่า มีแต่มัน(เพียงผู้เดียว)นั่นแหละ ที่กล่าวตู่ !
ท่านพุทธทาสสอนภพภูมิว่ามี ๒ อย่าง แต่ไอ้หมอนี่กลับทำประหนึ่งว่า ท่านพุทธทาสสอนอย่างเดียว
จากนั้น ก็อาศัยความหน้าด้าน คิดคำนวนบ้าคอคอแตกตามประสาคนฟุ้งซ่าน
แล้วสรุปเอาเองเสร็จสรรพว่า ท่านพุทธทาสกล่าวตู่พระพุทธเจ้า แถมยังพ่วงข้อหา อกตัญญู เพิ่มเข้ามาอีกต่างหาก
กรณีอย่างนี้ โง่ เพียงอย่างเดียว ทำไม่ได้นะครับ เพราะมันต้องอาศัย ความหน้าด้าน มากๆ อีกด้วย
ที่กล่าวมานี้ ผมหมายรวมไปถึง ไอ้อี ที่กดถูกใจ ไปกับคนเขียนกระทู้นั้นด้วย ซึ่งผมไม่ทราบจริงๆ ว่า
ที่พวกมัน "ถูกใจ" นั้นมันหมายถึง ถูกใจใน "ความโง่" หรือ "ความเลว" ของเพื่อนมันกันแน่ !
มันจะไม่เป็นการกระทำที่ "สารเลว" มากเกินไปหน่อยหรือครับ
กับการที่ กล่าวตู่บิดเบือน ข้อมูลหลักฐานคำสอนของผู้อื่น
แล้วนำใจความที่สรุปมาแบบผิดๆ นั้น มากล่าวหาโจมตีในที่สาธารณะ
โดยที่ผู้ถูกกล่าวหา ไม่มีโอกาส อธิบายข้อเท็จจริงใดๆ ได้เลย !
ผมต้องการเห็น "ความรับผิดชอบ" อย่างลูกผู้ชายชาวพุทธ น่ะครับ
พวกคุณมีหรือเปล่าล่ะ ?