ท่านพุทธทาส กับ ท่านอาจารย์เทสก์ กล่าวว่า ...................

ในตอนแรก ไม่คิดว่าจะต้องรีบเขียนกระทู้นี้

แต่เมื่อพิจารณาในแง่ที่ว่า เหล่ากเฬวราก ผู้นิยมชมชอบในการปรามาสพระสงฆ์องค์เจ้า คงจะไม่เลิกราง่ายๆ
คำถามต่างๆ ในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรๆ ก็คงต้องมีการ "ถามไม่เลิก"
เพราะคนพวกนี้ มันมีความเห็นผิด อย่างเหนียวแน่น เป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว
แต่ที่ "เลวร้าย" ยิ่งกว่า ก็คือ กเฬวรากพวกนี้ กำเริบเสิบสาน ถึงขั้น กล่าวตู่
ด่าทอ ปรามาส ทั้งคนทั้งพระ โดยปราศจากความละอายใดๆ ทั้งสิ้น



จากหลักฐานข้างต้นนี้ ท่านทั้งหลาย จะเห็นได้ว่า นางคนนั้น(และพวก?) ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า มันไม่เชื่อคำของพระเถระแน่ๆ
โดยพระเถระ นี้หมายถึง ท่านพุทธทาส และ ท่านอาจารย์เทสก์ (ผู้เป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่น) นั่นเอง

ชัดเจนนะครับ

ส่วนประเด็นคำถามนั้น นางคนนี้ คงต้องการให้ผมอธิบาย โดยหวังว่า จะสามารถ "จับผิด" ถ้อยคำอะไรสักอย่าง
เป็นช่องทางในการ กล่าวโทษ หรือ โจมตี ใส่ร้าย ฯลฯ เพื่อปรักปรำให้เป็น อุจเฉททิฐิ ให้ได้ ตามที่พวกมัน "อยาก" เสียเหลือเกิน !

ก็ลองพยายามดูก็แล้วกันนะครับ

*************************************************************************************************

สิ่งที่จำเป็นต้องอธิบาย ให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ก็คือ ข้อกล่าวหาโง่ๆ ของไอ้หมอนี่



ประเด็นแรก ที่ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็คือ
ข้อกล่าวหา ที่ไอ้หมอนี่ระบุว่า "ท่านพุทธทาสว่าอภิธรรม" นั้นจริงเท็จประการใด ?

แต่เมื่อผมพิจารณาจาก "หลักฐาน" ข้อความ ที่นายนั่นยกมาอ้างอิง ผมกลับไม่พบว่า ท่านพุทธทาส "ว่าร้าย"
หรือ "ใส่ความ" คัมภีร์พระอภิธรรม เลยนี่ครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลาย จะค่อยๆ พิจารณาตามไปที่ละบรรทัด นะครับ

(๑) ท่านพุทธทาส กล่าวว่า ผู้ที่สามารถ "ลูบคลำ" คือ ศึกษา
หรือ อ่าน พระอภิธรรม ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มี ศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์

ข้อความในบรรทัดนี้ ท่านพุทธทาส กล่าวถึง ตัวของผู้ศึกษา มิได้ระบุถึงตัวพระคัมภีร์ นะครับ
มีใครอ่านข้อความบรรทัดนี้แล้ว เข้าใจเป็นอย่างอื่น บ้างหรือไม่ ?

(๒) ท่านพุทธทาส กล่าวว่า ถ้าหาก ผู้ศึกษา มิได้เป็นผู้มี ศีล สมาธิ
ปัญญา สมบูรณ์ ไป "ลูบคลำ" อภิธรรม จะกลายเป็น มิจฉาทิฐิ โดยไม่รู้ตัว

ข้อความในบรรทัดนี้ ท่านพุทธทาส ได้กล่าวเตือน ตัวของผู้ศึกษาอภิธรรมว่า หาก ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่สมบูรณ์ดีพอ
การไปศึกษาพระอภิธรรมแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อาจกลายเป็นมิจฉาทิฐิ จะเห็นได้ว่า ถึงตรงนี้ ก็ยังเป็นการกล่าวถึง ตัวผู้ศึกษา
ยังมิได้ไปว่ากล่าว หรือให้ร้าย ต่อคัมภีร์พระอภิธรรม แต่อย่างใด !

(๓) ท่านพุทธทาส กล่าวว่า สอนไปสอนมา กลับสอนในทำนองว่า
จิตดวงนี้ดับ แล้วไปเกิดเป็นจิตอีกดวง โดยหอบเอามหากุศลไปด้วย อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฐิ

ประการที่ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง ก็คือ ข้อความตรงนี้ ท่านพุทธทาส มิได้ระบุถึง พระคัมภีร์ แต่กำลังวิจารณ์ "ตัวผู้สอน" ต่างหาก
มีใครอ่านข้อความส่วนนี้แล้ว เข้าใจเป็นอย่างอื่นอีก หรือไม่ ?

สรุป ก็คือ ข้อความที่ไอ้หมอนี่ ยกขึ้นอ้าง แล้ว(ผสมโรง)กล่าวหาว่า ท่านพุทธทาส "ว่าอภิธรรม" นั้นไม่เป็นความจริง
หากคำว่า "อภิธรรม" หมายถึง "คัมภีร์พระอภิธรรม" เพราะจาก ข้อความเท่าที่ปรากฏอยู่จริง ก็เห็นชัดเจนอยู่ว่า
ท่านพุทธทาส กำลังกล่าวเตือน "ผู้ศึกษา" และ วิพากษ์วิจารณ์ "ผู้สอน" ว่าจะต้องเป็นผู้มี  ศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ เท่านั้น

ที่จริงแล้ว ข้อกล่าวหานี้ และหลักฐานชิ้นนี้ เท่าที่พอจะระลึกได้ ผมเห็นครั้งแรก จากการนำเสนอโดย "คนป่วย" คือ นาย เฉลิมศักดิ์ 1
ซึ่งขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า ผมไม่สนใจ และไม่ให้ความสำคัญอะไร มากนัก ทั้งนี้ เนื่องจาก โดยตัวของหลักฐานเองนั้น
มีความชัดเจนเป็นอย่างมากว่า ท่านพุทธทาสกล่าวถึง ผู้เรียน กับ ผู้สอน ใครที่อ่านหนัง "แตก" ย่อมสามารถเข้าใจได้ไม่ยากว่า
ข้อกล่าวหาอันนี้ ฟังไม่ขึ้น นั่นเป็นเพียงแค่ "หลักฐาน" สำแดง "ความโง่เขลา" ของตัวผู้อ่าน หรือ ผู้กล่าวหาเอง ต่างหาก

แต่ที่น่าสมเพชยิ่งกว่า ก็คือ กลับมีใครบางคน(หรืออาจหลายคน!) ไป "คัดลอก" ความโง่เขลาอันนั้น มาผลิตซ้ำ
อย่างขาด สติสัมปชัญญะ และ วิจารณญาณ จนกลายเป็น ความโง่ซ้ำซาก ดังที่เห็นกันอยู่ในบัดนี้ นั้นแล ฯ

*************************************************************************************************

ประเด็นที่ ๒ พึงพิจารณาว่า คำกล่าวของท่านพุทธทาส ถูก หรือ ผิด อย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับ พุทธพจน์

๑) ท่านพุทธทาส กล่าวว่า .........

"นี่สอนไปสอนมา เดี๋ยวสอนให้เป็นจิตดวงนี้ ไปเกิดชาติโน้นๆๆๆ เป็นจิตดวงนี้จุติแล้วปฏิสนธิไปเกิด
หอบเอามหากุศลไปด้วย อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นสัสสตทิฐิ แล้วในที่สุดไปหลงมหากุศล ฯลฯ"

ก่อนที่จะวิจารณ์ใดๆ ก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณา คำจำกัดความของคำว่า สังขาร เสียก่อนดังนี้



กล่าวโดยสรุป ก็คือ บุญ กุศล มหากุศล ฯลฯ อะไร ก็ตาม ล้วนสรุปลงได้ในคำๆ เดียวว่า สังขาร
ทีนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นไปไม่ได้ที่ โสดาบัน จะเห็นว่า สังขารเที่ยง จะมีก็แต่ ปุถุชน ที่คิดเห็นเช่นนั้น



ก็ถ้าใครก็ตาม สามารถ "หอบหิ้ว" เอา มหากุศล(หรือสังขารใดๆ ก็ตาม) ข้ามภพข้ามชาติไปได้
มันก็ต้องแปลว่า สังขาร เหล่านั้น เที่ยงแท้ ซึ่งก็เท่ากับการกล่าวว่า นามขันธ์เที่ยง แล้วจะไม่เป็น สัสสตทิฐิ ได้อย่างไร ?

และสิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ มีแต่ปุถุชนเท่านั้นแหละ ที่เห็นว่า สังขาร เที่ยง เป็นตน และเป็นของๆ ตน
แต่โสดาบัน ท่านมิได้เห็นอย่างนั้น สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า .............

"มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส  คือ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ(หมายถึงโสดาบัน)
พึงเข้าใจ สังขารไรๆ โดยความเป็นของเที่ยง นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ฯลฯ"

อธิบายอีกครั้งแบบง่ายๆ ก็คือ ไอ้ที่คิด หรือ เห็นกันว่า โสดาบัน สามารถ "หอบหิ้ว"
เอาอะไรต่อมิอะไร "ข้ามภพข้ามชาติ" ไปด้วยได้นั้น มันเป็นความคิดในแบบของ ปุถุชน ผู้ซึ่งมิได้มี ศีล
สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ดีพอ มันจึงเป็น "ความเห็น" ที่ไม่สอดคล้องกับ สภาวะ ตามความเป็นจริง !

ทีนี้ ถ้าหาก บรรดาเม็ดมะขาม จะแย้งว่า โสดาบัน สามารถ "หอบหิ้ว" เอา สังขาร ไปด้วยได้
โดยที่ สังขาร นั้นก็ไม่เที่ยง มีการเกิดดับ ตามปกติ
ขออนุญาตอธิบายความว่า ถึงแม้จะ กล่าวอย่างนี้ ก็ยังไม่ถูกต้องอยู่ดี
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า มิใช่ฐานะและโอกาส ที่ โสดาบัน พึงเข้าใจว่า
สังขาร นั้นเป็นตน(อัตตา) หรือเป็นของๆ ตน นั่นจึงหมายความว่า
ไม่เคยมี "สังขาร" ของ "โสดาบัน" (จะมีก็แต่ความเข้าผิดๆ ของปุถุชน เท่านั้น !)

หรือมิใช่ ?

๒) ท่านพุทธทาส กล่าวว่า .........

"แล้วบางคนอธิบายว่า เป็นพระโสดาบันเกิด ๗ ชาติ แล้วก็คนๆ นั้นเองเกิด ๗ ชาติ เข้าโลงแล้วเกิดอีก
แล้วความเป็นพระโสดาบันหอบหิ้วเอาไปได้อย่างไร ถ้าหอบหิ้วไปได้ มันก็เป็นโสดาบันมาแต่ในท้อง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร"

ที่จริง เรื่องนี้ ได้อธิบายไปบ้างแล้ว ดังนั้น ในที่นี้ จึงขอกล่าวโดยย่อว่า โสดาบัน เกิดอีก ๗ ครั้ง นั้นเป็นเรื่องจริงครับ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดย สมมุติกถา เรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธ แต่สิ่งที่พึงพิจารณา ก็คือ ...........

(๑) พระพุทธเจ้า แม้ตรัสว่า โสดาบันจะเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็จริง แต่มิได้ตรัสว่า จักเกิดเป็นโสดาบัน ในทันที
ดังนั้น ถ้าใครมี "หลักฐาน" ดังว่า กรุณายกขึ้นแสดงด้วยนะครับ จักเป็นพระคุณอย่างสูง

(๒) โสดาบัน รวมไปถึง อริยบุคคล ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่ (ปุคคล)บัญญัติ เท่านั้น ดังเช่นการบัญญัติว่า พ่อ แม่ ลูก เป็นต้น
ทั้งนี้ การกล่าวว่า พ่อ ตายแล้ว ไปเกิดเป็น พ่อ ในทันที สมควรนับว่าเป็นคำกล่าวที่ไร้สาระปานใด
การกล่าวว่า โสดาบัน ตายแล้ว ไปเกิดเป็น โสดาบัน ในทันที ก็ย่อมเป็นการกล่าวที่ไร้สาระปานนั้น เช่นกัน !



อีกทั้ง การกล่าวว่า สมมุติบัญญัติเที่ยง ย่อมมีค่าเท่ากับการกล่าวว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เที่ยง นั่นแหละ
คำถาม ก็คือ สำหรับกลุ่มคน ที่มีความคิดความเชื่อ "ลามก" แบบนี้ จะไม่ให้กำหนดว่าเป็น ทิฐิความเห็นผิด ฝ่ายสัสสตทิฐิ ได้อย่างไรกัน ?

หรือไม่จริง ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่