พระโสดาบัน เที่ยงแท้ หรือ ขาดสูญ ?

กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาโดยปรารภถึง กระทู้ ....... "ไม่มี พ่อพระอริยเจ้า .......... แม่พระอริยเจ้า ก็ไม่มี"
ซึ่งเป็น "มติ" ของท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ผู้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น
ในกระทู้ดังกล่าว มีการแสดงความเห็นค่อนข้าง "น้อย" และดูเหมือนว่าจะ "จ๋อง" กันอยู่พอสมควร
แต่สิ่งที่พึงสังเกต ก็คือ ทั้งหมดที่แสดงความเห็นออกมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็น อัตโนมัติ ทั้งสิ้น !

ขออนุญาตเริ่มต้นที่ ความคิดเห็นของ นางคนนี้ เป็นคนแรก



การที่ นางคนนี้ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับมติของท่านอาจารย์เทสก์ นั่นย่อมเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของมันนะครับ
แต่ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตให้ดีด้วยว่า เหตุผลที่นางคนนี้ใช้อ้าง กลับเป็น อัตโนมัติของ "ท่านทั้งหลาย" ในกระทู้ดังกล่าว !

สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ นางคนนี้ เขาเพียงแค่บอกกับผู้คนในที่สาธารณะว่า
มันไม่เชื่อ มติของท่านอาจารย์เทสก์ แต่มันเชื่อความเห็นของ ปุถุชนผู้บริโภคกาม มากกว่า

แต่ที่น่าสมเพช ก็คือ "ท่านทั้งหลาย" ในกระทู้ดังกล่าว ที่มันอ้างถึงนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวก กเฬวรากซากศพ
เป็นปุถุชนผู้บริโภคกาม ทั้งสิ้น อีกทั้ง เหตุผลทั้งหลายประดามี ที่ท่าน กเฬวราก ซากศพ ยกขึ้นอวดอ้างอธิบาย
ก็เป็นเพียงแค่ "อัตตโนมัติ" โง่ๆ ของตัวมันเองเท่านั้น      ตัวอย่างเช่น ........



ไอ้หมอนี่ เขาพยายามยกพระสูตรขึ้นอ้าง แต่ผมถามหน่อยเถิดว่า ถ้าหากมันผู้นั้น เป็นชาวพุทธเถรวาท
ซึ่งต้องหมายความว่า มีความซื่อสัตย์ต่อพระธรรมวินัยจริง ก็ย่อมต้อง "อ้างอิง" พระธรรมวินัยตามที่ปรากฏอยู่จริง
โดยไม่ "สอดแทรก" มติความเห็นส่วนตัวเข้าไปในพระบาลีแล้วแอบอ้างว่า อัตตโนมัติเหล่านั้น เป็นพุทธพจน์ ใช่หรือไม่ ?

ดังนั้น ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาว่า ข้อความจาก สอุปาทิเสสสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ..............

"อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล  กระทำพอ
ประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดาเพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป
ท่องเที่ยวอยู่ยังเทวดาและมนุษย์ ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่งแล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ"

จากพระสูตรนี้ เท่าที่ผมเห็นแจ้งแก่สายตาของตนเอง พระพุทธเจ้าตรัสแต่เพียงว่า
พระโสดาบัน (ตายไปแล้ว) จักไปเกิดอยู่ในพวก เทวดา และ มนุษย์ อย่างมาก ๗ ครั้ง
โดยที่พระพุทธเจ้ามิได้ระบุเอาไว้ตรงไหนเลยว่า จักไปเกิดเป็น เทวดาโสดาบัน หรือ มนุษย์โสดาบัน !

ทั้งนี้ หากคิดจะยกพระสูตรนี้ขึ้นอ้าง เพื่อสรุปความว่า พระโสดาบัน ตายไปแล้ว ย่อมเกิดเป็นพระโสดาบัน จึงไม่เห็นสม
เพราะเมื่อพิจารณาข้อความจากพระสูตรอย่างถี่ถ้วนแล้ว กลับไม่พบหลักฐานว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นเลย แม้สักคำเดียว

ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า พระโสดาบัน ตายไปแล้ว ย่อมเกิดเป็นพระโสดาบัน ในแบบที่สามารถ "หอบหิ้ว" ความเป็นโสดาบัน
ข้ามภพข้ามชาติไปได้นั้น จึงเป็นเพียงแค่ "อัตโนมัติ" ของพวกปุถุชนผู้บริโภคกาม หาได้เป็น "พุทธมติ" แต่อย่างใดไม่
เว้นไว้เสียแต่ว่า คนเหล่านั้น จะสามารถยกพระบาลีขึ้นอ้างได้ว่า พระพุทธเจ้า ตรัสถ้อยคำดังกล่าวจริง

ชัดเจนแล้วนะครับ

*************************************************************************************************

ในลำดับต่อไป ลองมาพิจารณา เรื่อง พระโสดาบัน ให้ละเอียดรอบคอบ ยิ่งขึ้นไปอีก
โดยพระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่อง โสดาบัน กับ ท่านพระสารีบุตร ความว่า



กล่าวโดยสรุป ก็คือ

พระพุทธเจ้าตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ธรรมเพียงดังกระแส(โสดา) คืออย่างไร ?
ท่านพระสารีบุตร กราบทูลว่า ธรรมเพียงดังกระแส(โสดา) คือ อริยมรรค มีองค์ ๘

พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปอีกว่า ผู้ถึงกระแส(โสดาบัน) คืออย่างไร ?
ท่านพระสารีบุตร กราบทูลว่า "ผู้ใด" ประกอบด้วย "อริยมรรค มีองค์ ๘" ผู้นี้เรียกว่า โสดาบัน (๑) มีนามอย่างนี้ (๒) มีโคตรอย่างนี้

ทั้งหมดนี้ แปลความได้ว่าอย่างไร ?

มันก็หมายความว่า ความเป็น พระโสดาบัน นี้เป็น ปุคคบัญญัติ เป็นเพียงแค่ สมมุติบัญญัติ เท่านั้น
ดังนั้น ในฐานะที่พวกเม็ดมะขาม มักชอบอวดตัวอ้างตน ว่าเป็น "นักอภิธรรม" ซึ่งย่อมช่ำชองใน ปุคคลปัญญัติปกรณ์ มากกว่าผู้อื่น
ก็จงตอบคำถาม "ง่ายๆ" ให้แจ้งแก่ใจชาวพุทธเถรวาททั้งหลายด้วยเถิดว่า ผู้ใดก็ตามที่มีความเห็นว่า ปุคคลปัญญัติ เช่น สัตว์ บุคคล ฯลฯ
มีความเที่ยงแท้ถาวร แบบข้ามภพข้ามชาติได้ จักถือว่าเป็น มิจฉาทิฐิ ฝ่าย สัสสตทิฐิ หรือไม่ ?

ทั้งนี้ ก็เพราะ การกล่าวว่า โสดาบัน ซึ่งเป็นสมมุติบัญญัติ มีความเที่ยงแท้ถาวร
โดยที่สภาวะแห่ง "บุคคล" ชนิดนี้ สามารถข้ามภพข้ามชาติได้  มันก็คือ การกล่าวว่า
สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มีความเที่ยงแท้ถาวร เป็นมิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ นั่นเอง !

คำถามนี้ เป็นคำถามที่ พวกเม็ดมะขามทั้งหลาย จำเป็นต้องตอบ ให้กระจ่างแจ้ง นะครับ

*************************************************************************************************

ประเด็นต่อไปนี้ นับว่าอธิบายค่อนข้างยากอยู่พอสมควร
ที่กล่าวว่ายากนั้น ก็เพราะเป็นการอธิบายให้กับ คนโง่ที่มักชอบ "อวดฉลาด" นั่นเอง



กรณีของไอ้หมอนี่ เขาจะพยายามไม่พูดว่า พระโสดาบัน(บุคคล) ไปเกิดเป็น พระโสดาบัน(บุคคล)
แต่มันจะพยายามอ้างถึง ปรมัตถ์ต่างๆ เช่น สังโยชน์ บุญ กุสล วิบาก ฯลฯ แต่เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว
มันก็คือการกล่าวว่า มีปรมัตถ์จำนวนหนึ่ง ที่เป็นคุณสมบัติของจิต ซึ่งสามารถถูกส่งต่อไปยัง จิตดวงต่อๆ ไปได้

สรุปความให้ฟังง่ายขึ้นมาอีกนิด ก็คือ ไอ้หมอนี่ พยายามจะบอกว่า จิตไม่เที่ยง มีการเกิดดับ
เพื่อปฏิเสธว่า มันมิได้เป็นพวก สัสสตทิฐิ ในแบบที่มีความเชื่อว่า จิตเที่ยงแท้ถาวร
แต่แล้ว มันกลับมีความเชื่อโง่ๆ ว่า คุณสมบัติของจิต หรือ เครื่องปรุงแต่งจิต(สังขาร) เที่ยง ไปเสียได้

สรุปในสรุปอีกที ก็คือ คันโตนาซี พยายามบ่ายเบี่ยงว่า มันไม่เชื่อว่าจิตเที่ยง แต่ในที่สุดแล้ว มันกลับมีความเชื่อว่า
เจตสิก หรือ นามขันธ์ อันใดอันหนึ่ง(นอกจากจิต) เที่ยง ซึ่งมันก็ยังไม่พ้นไปจาก มิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ อยู่นั่นเอง

ทั้งนี้ ท่านทั้งหลาย พิจารณาข้อความของนายคนนี้ ให้ละเอียดสักนิด จะพบทิฐิความเห็นผิดได้ไม่ยาก ตัวอย่างเช่น

"สังโยชน์ที่ฝังอยู่ในขันธสันดานถูกถอนด้วยมรรคจิตแล้วจะเกิดใหม่ขึ้นได้อย่างไร ?

สิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงทราบ ก็คือ การถามด้วยคำถามแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เลยนะครับ
เพราะมันหมายถึง พื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้นว่า ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจว่า แต่เดิมนี้ จิต เป็นอย่างไร ?

(๑) ท่านคิดว่า แต่เดิม จิตประภัสสร แล้ว สังโยชน์ เป็นสิ่งที่ "จรมา" ทีหลัง
(๒) หรือท่านมีความเข้าใจว่า จิต ประกอบด้วย สังโยชน์ อยู่ก่อนแล้ว เราจึงมีหน้าที่ค่อยๆ กำจัดมันออกไป

แต่ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือด่วนสรุปอะไรไป สิ่งที่พึงทราบเป็นเบื้องต้นเสียก่อน ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า



ข้อความจากพระสูตรนี้ สามารถอธิบายได้ว่า ..........

การที่ใครก็ตาม มีความเข้าใจว่า เมื่อจิตดวงหนึ่ง(จะเกิดดับ หรือเที่ยง ก็ช่าง) เมื่อได้รับการอบรมแล้ว สมมุติว่าเป็น จิตของพระโสดาบัน
ครั้นเมื่อพระโสดาบันตายไป จิตพระโสดาบัน ดวงดังกล่าว ไม่ว่าจะเกิดดับ หรือเที่ยง ก็ตามที มันจะมี สังโยชน์มากที่สุดไม่เกิน ๗
ซึ่งความคิด ความเชื่อแบบนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากปราศจาก ความสำคัญมั่นหมาย ด้วยตัณหาอุปาทานว่า จิตดวงดังกล่าว
ยังเป็นจิตของ "สมมุติบัญญัติ" ที่เรียกว่า "โสดาบัน" อยู่ (โดยไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า คนเหล่านั้นจะเข้าใจว่า จิตเที่ยง หรือ มีการเกิดดับ !)

ขออนุญาต อธิบายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง(ด้วยสมมุติ) ดังนี้ว่า ....................

โสดาบัน เป็นเพียงสมมุติบัญญัติหนึ่งๆ เท่านั้น สมมุติว่าเมื่อ โสดาบัน ตายไป เกิดเป็น เด็กชาย ก.  
เด็กชายคนนี้ ก็เป็นเพียงแค่ สมมุติบัญญัติอันใหม่ เท่านั้น  แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เราเข้าใจ(ผิด)ว่า
(๑) เด็กชาย ก. เป็นคนๆ เดียวกันกับ โสดาบัน(ที่ตายไป) อย่างนี้เป็น สัสสตทิฐิ
(๒) หากเข้าใจว่า เด็กชาย ก. เป็นคนละกันกับ โสดาบัน(ที่ตายไป) อย่างนี้ก็เป็น อุจเฉททิฐิ

หรือจนแม้แต่ ความเข้าใจผิดๆ เช่นว่า
(๑) จิต ของ เด็กชาย ก. เป็น จิต ดวงเดียวกันกับ โสดาบัน(ที่ตายไป) อย่างนี้เป็น สัสสตทิฐิ
(๑) จิต ของ เด็กชาย ก. เป็น จิต คนละดวงกันกับ โสดาบัน(ที่ตายไป) อย่างนี้เป็น อุจเฉททิฐิ

หรือแม้กระทั่ง ความเข้าใจผิดๆ ทำนองว่า คุณสมบัติ หรือ เครื่องปรุงแต่งจิต ของ เด็กชาย ก.
เป็นอันเดียวกันกับ โสดาบัน(ที่ตายไป) อย่างที่ คันโตนาซี กำลังกล่าวอยู่นี้ มันก็ยังไม่พ้นความเป็น สัสสตทิฐิ อยู่ดี !

ดังนั้น ถ้าต้องการ "โต้แย้ง" ในประเด็นนี้ให้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมา "พล่าม" เรื่องการส่งต่อ "ข้อมูล" บ้าบอคอแตก ให้เสียเวลา
แต่จงแสดงหลักฐานในชั้นพุทธพจน์ให้ชัดแจ้งว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการส่งต่อข้อมูล ตามที่ แก ได้แอบอ้าง ไว้จริงหรือไม่ ก็พอ

ชัดเจนนะครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปฏิบัติธรรม พระไตรปิฎก มหาสติปัฏฐาน 4 ศาสนาพุทธ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่