สืบเนื่องจาก กระทู้ ถามสาวกพุทธทาสว่าหากอวิชชาไม่สิ้นขันธ์5แตกทำลายในชาติภพนั้น(สัตว์ตาย)
แล้วมีการสืบต่อของขันธ์5 ในชาติภพใหม่หรือไม่
http://ppantip.com/topic/30677877
๑) พอถูกทวงถามว่า นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง มันจะมีได้อย่างไร ?
เพราะคำว่า เนื้อหนัง มันต้องหมายความว่า สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
ซึ่ง พระพุทธเจ้า และท่านปยุตโต ระบุว่า สัตว์ทั้งในนรกและสวรรค์
เป็นพวก โอปปาติกกำเนิด เมื่อตายก็ไม่มีเศษซากเนื้อหนังอะไร
๒) นายคันโตนาซี ก็ออกอาการ "ส่าย" ในบัดดลว่า
นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง นี้หมายถึง นรกสวรรค์หลังจากตายไปแล้ว !
แต่ของแบบนี้ มันจะ "ส่าย" เรื่อยเปื่อยได้อย่างไรเล่าครับ ?
เพราะ มัน พูดเรื่อง นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง ด้วยตัวของมันเอง
พร้อมยกกรณีตัวอย่าง คือการแอบอ้างว่า ท่านพระสารีบุตรเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จลง บันได (สวรรค์?)
ในเมื่อหลักฐาน คำพูด ของตนเองมันปรากฏชัดเจนอย่างนี้ แล้วจะมา แถกแถ เล่นลิ้น ให้อายผู้คนว่า
ไม่ได้หมายความไปถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้อย่างไร ?
ใครเป็นคนพูดถึง บันได จากสรวงสวรรค์ กันเล่าครับ หรือว่าจำคำพูดของตนเอง มิได้เสียแล้ว ?
๓) เมื่อนายคันโตนาซี อ้างว่า ภพภูมิทางเนื้อหนัง เขาหมายถึง ภพภูมิหลังตายเข้าโลง เท่านั้น
เขามิได้หมายถึงภพภูมิอย่างอื่น ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
พอถามกลับไปว่า ถ้า ภพภูมิหลังตายเข้าโลง ตามความเชื่อของเขา ไม่ใช่ภพภูมิทางเนื้อหนัง
มันก็ต้องเป็นภพภูมิทางใจตามความจาก เจตนาสูตร น่ะสิ !
คราวนี้ นายคันโตนาซี ก็ออกอาการ "ส่าย" อีกครั้งหนึ่งว่า ภพภูมิหลังตายเข้าโลง ไม่ใช่ภพภูมิทางใจ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง มันก็สามารถเป็นไปได้ทุกอย่าง นั่นแหละ
ถ้ามันเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ฯลฯ ก็เป็นภพภูมิทางเนื้อหนัง
ถ้าทำกรรมมาดี ได้เกิดเป็นพรหม มันก็ภพภูมิทางใจ
แต่ไอ้หมอนี่กลับพูดในทำนองว่า อย่างนี้ๆ เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จ
ซึ่งมิได้เป็นท่าทีที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามความจาก อปัณณกสูตร ที่ตรัสสอนว่า
เมื่อต้องพิจารณาในเรื่องที่ตนไม่รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรแน่
"จะกล่าวยึดเด็ดขาดลงไปว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จ ย่อมไม่เป็นการสมควรแก่เรา"
คันโตนาซี และพวก ได้ทำในสิ่งที่สมควรแก่ "สภาพ" ภูมิรู้ภูมิธรรมของตน แล้วหรือยังครับ ?
ถ้ายังดื้อด้านกล่าวว่า "ใช่" นั่นต้องหมายความว่า พวกแก รู้แจ้งเห็นจริงในภพภูมิต่างๆ มาแล้วเป็นอย่างดี
ซึ่งย่อมต้องหมายความว่า พวกแก เป็นผู้ทรงฌานอภิญญา อย่างน้อยต้องมี ตาทิพย์ จึงจะสามารถกล่าวอ้าง
ยืนยัน "ข้อเท็จจริง" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นรกสวรรค์ของจริงเป็นอย่างนี้ๆ เท่านั้น อย่างอื่นเป็นเท็จ
ดังนั้น จงชูมือขึ้น(แสดงตัว)สิครับว่า ไอ้ที่พูดพล่ามกันอยู่นั่น ใครกันครับ คือผู้ทรงฌานอภิญญา
จึงได้กล้า กล่าวยืนยัน เสมือนหนึ่งว่า รู้แจ้งเห็นจริง(อย่างถูกต้อง) ในนรกสวรรค์นั้นๆ แล้ว
มี หรือ ไม่มี ครับ ?
๔) ล่าสุด นายคันโตนาซี ก็ออกอาการ "ส่าย" อีกครั้งจนได้
เพราะเขาอุตส่าห์อวดฉลาดว่า นรกสวรรค์ ไม่ได้เป็นภพภูมิที่มีแต่จิตล้วนๆ
แต่เป็นปัญจโวการภพ ที่ประกอบด้วยขันธ์ ๕ (แบบเดียวเดียวกับภพภูมิของมนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉาน ?)
เมื่อเป็นดังนี้ การอวดฉลาดครั้งล่าสุดของนายคันโตนาซี ก็เท่ากับการออกมายืนยันว่า
การกล่าวอ้างถึง "บันไดสวรรค์" ในครั้งแรกของมัน ก็คือการกล่าวถึง ภพภูมิทางเนื้อหนัง จริงๆ นั่นแหละ
หรือมิใช่ ?
๕) แต่ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตด้วยว่า หลักฐานเรื่องท่านพระสารีบุตรเห็น บันไดสวรรค์ นั้น
เอาเข้าจริง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน กลับปรากฏว่า มิได้เป็นคำของท่านพระสารีบุตรจริง
แต่ข้อความดังกล่าว เป็นการอธิบายถ้อยคำ(อุเทศ)ของท่านพระสารีบุตรอีกทีหนึ่ง
ดังนั้น บันไดสวรรค์ จึงมีค่าเป็นแค่เพียงมติชั้นรอง แม้ว่าจะปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ก็ตาม
ซึ่งที่จริงแล้ว ชาวพุทธทั้งหลาย ย่อมทราบดีว่า ขุททกนิกายนี้ มิได้เป็นของเก่าครั้งปฐมสังคายนาทั้งหมด
หากแต่ได้มีการ "เพิ่มเติม" ของใหม่เข้าไปอยู่ตลอดเวลา หรือใครจะเถียง ?
๖) ที่ทราบได้ว่า ข้อความดังกล่าวมิใช่คำของท่านพระสารีบุตร นอกจากการสังเกตจากรูปประโยคแล้ว
เรายังสามารถวิเคราะห์ ได้จากการเคียบเคียง "ข้อเท็จจริง" นั้นๆ จากพระสูตรได้อีกด้วย กล่าวคือ
หากพิจารณาให้รอบคอบ เราจะพบว่า ทุกๆ ครั้งที่พระพุทธเจ้า(หรือผู้อื่น)เสด็จไป ณ ที่แห่งใดก็ตามด้วยฤทธิ์ทางใจ
พระบาลีในที่ต่างๆ จะพรรณนาความว่า ครั้นแล้ว .......... หายจาก ....(ที่หนึ่ง).... มาปรากฏ ......(อีกที่หนึ่ง).....
เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ออก หรือพึงคู้แขนที่เหยียดเข้าฉะนั้น
เช่น
ทั้งนี้ สามารถยืนยันได้ว่า ข้อความจากพระสูตรที่เชื่อถือได้ว่าเป็นของเก่าสืบต่อมาจากเมื่อครั้งปฐมสังคายนา
ไม่เคยปรากฏว่า พระพุทธเจ้า เสด็จ นรกสวรรค์ โดยการขึ้นหรือลงบันได เลยแม้สักครั้ง จะมีก็แต่
ข้อความจาก ขุททกนิกาย ที่มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างน้อย นั่นแหละ ที่ได้ ระบุ ข้อความอันแปลกประหลาดดังกล่าวไว้
ด้วยเหตุดังนี้ นอกจาก บันไดสวรรค์ ไม่ใช่คำของท่านพระสารีบุตร หรือพระอรหันตเถระองค์ใดทั้งสิ้นแล้ว
ผมจึงเห็นว่า บันไดสวรรค์ เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เนื่องจาก ไม่มีความสอดคล้อง กับพุทธพจน์พระบาลีจากพระสูตรใดเลย
การยกข้อความ ที่มีความน่าเชื่อถือน้อย ดังกล่าว ขึ้นมาอ้างอย่างกึ่งดิบกึ่งดี โดยนายคันโตนาซี
จึงเป็นเพียงแค่การ "ส่าย" ไปมา ตามแบบอย่างของ นักตีฝีปากชั้นเลว เท่านั้นเอง
หรือมิใช่ ?
สรุป
ตกลงแล้ว นรกสวรรค์ ของ คันโตนาซี มันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ ?
อีกทั้ง การบัญญัติความหมายของถ้อยคำต่างๆ โดยนายคันโตนาซี ก็ดูแปลกๆ พิกล
อย่างเช่น คำว่า เนื้อหนัง เขาแปลไปได้อย่างไรว่า หมายถึง ภพภูมิหลังตาย
เพราะ ภพภูมิหลังตาย มันอาจหมายถึง ภพภูมิทางเนื้อหนัง หรือภพภูมิทางใจ ก็ได้นี่ครับ !
แต่ที่แน่ๆ (แต่ก็เหมือนไม่แน่) ก็คือ นรกสวรรค์ของนายคันโตนาซีผู้นี้
เดี่ยวก็เป็นภพภูมิทางเนื้อหนัง
เดี๋ยวก็เป็นภพภูมิหลังตายไปแล้ว
เดี๋ยวก็ว่า ไม่ใช่ภพภูมิทางใจ
และสุดท้ายก็อ้างว่าเป็นภพภูมิที่มี "ขันธ์ ๕" แบบเดียวกันกับ ภพภูมิทางเนื้อหนังของมนุษย์และดิรัจฉาน นี่แหละ
คันโตนาซี "ส่าย" ได้ "มัน" ถึงใจจริงๆ เลยนะครับ
หากนายคนนี้ หันไปยึดอาชีพ "โคโยตี้"
สงสัย สาวๆ คงตกงานกันหมดแน่ๆ
คริคริ
คันโตนาซี สาวกลัทธิส่าย(คริคริ)
แล้วมีการสืบต่อของขันธ์5 ในชาติภพใหม่หรือไม่ http://ppantip.com/topic/30677877
๑) พอถูกทวงถามว่า นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง มันจะมีได้อย่างไร ?
เพราะคำว่า เนื้อหนัง มันต้องหมายความว่า สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
ซึ่ง พระพุทธเจ้า และท่านปยุตโต ระบุว่า สัตว์ทั้งในนรกและสวรรค์
เป็นพวก โอปปาติกกำเนิด เมื่อตายก็ไม่มีเศษซากเนื้อหนังอะไร
๒) นายคันโตนาซี ก็ออกอาการ "ส่าย" ในบัดดลว่า
นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง นี้หมายถึง นรกสวรรค์หลังจากตายไปแล้ว !
แต่ของแบบนี้ มันจะ "ส่าย" เรื่อยเปื่อยได้อย่างไรเล่าครับ ?
เพราะ มัน พูดเรื่อง นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง ด้วยตัวของมันเอง
พร้อมยกกรณีตัวอย่าง คือการแอบอ้างว่า ท่านพระสารีบุตรเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จลง บันได (สวรรค์?)
ในเมื่อหลักฐาน คำพูด ของตนเองมันปรากฏชัดเจนอย่างนี้ แล้วจะมา แถกแถ เล่นลิ้น ให้อายผู้คนว่า
ไม่ได้หมายความไปถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้อย่างไร ?
ใครเป็นคนพูดถึง บันได จากสรวงสวรรค์ กันเล่าครับ หรือว่าจำคำพูดของตนเอง มิได้เสียแล้ว ?
๓) เมื่อนายคันโตนาซี อ้างว่า ภพภูมิทางเนื้อหนัง เขาหมายถึง ภพภูมิหลังตายเข้าโลง เท่านั้น
เขามิได้หมายถึงภพภูมิอย่างอื่น ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
พอถามกลับไปว่า ถ้า ภพภูมิหลังตายเข้าโลง ตามความเชื่อของเขา ไม่ใช่ภพภูมิทางเนื้อหนัง
มันก็ต้องเป็นภพภูมิทางใจตามความจาก เจตนาสูตร น่ะสิ !
คราวนี้ นายคันโตนาซี ก็ออกอาการ "ส่าย" อีกครั้งหนึ่งว่า ภพภูมิหลังตายเข้าโลง ไม่ใช่ภพภูมิทางใจ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง มันก็สามารถเป็นไปได้ทุกอย่าง นั่นแหละ
ถ้ามันเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ฯลฯ ก็เป็นภพภูมิทางเนื้อหนัง
ถ้าทำกรรมมาดี ได้เกิดเป็นพรหม มันก็ภพภูมิทางใจ
แต่ไอ้หมอนี่กลับพูดในทำนองว่า อย่างนี้ๆ เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จ
ซึ่งมิได้เป็นท่าทีที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามความจาก อปัณณกสูตร ที่ตรัสสอนว่า
เมื่อต้องพิจารณาในเรื่องที่ตนไม่รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรแน่
"จะกล่าวยึดเด็ดขาดลงไปว่า อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเท็จ ย่อมไม่เป็นการสมควรแก่เรา"
คันโตนาซี และพวก ได้ทำในสิ่งที่สมควรแก่ "สภาพ" ภูมิรู้ภูมิธรรมของตน แล้วหรือยังครับ ?
ถ้ายังดื้อด้านกล่าวว่า "ใช่" นั่นต้องหมายความว่า พวกแก รู้แจ้งเห็นจริงในภพภูมิต่างๆ มาแล้วเป็นอย่างดี
ซึ่งย่อมต้องหมายความว่า พวกแก เป็นผู้ทรงฌานอภิญญา อย่างน้อยต้องมี ตาทิพย์ จึงจะสามารถกล่าวอ้าง
ยืนยัน "ข้อเท็จจริง" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นรกสวรรค์ของจริงเป็นอย่างนี้ๆ เท่านั้น อย่างอื่นเป็นเท็จ
ดังนั้น จงชูมือขึ้น(แสดงตัว)สิครับว่า ไอ้ที่พูดพล่ามกันอยู่นั่น ใครกันครับ คือผู้ทรงฌานอภิญญา
จึงได้กล้า กล่าวยืนยัน เสมือนหนึ่งว่า รู้แจ้งเห็นจริง(อย่างถูกต้อง) ในนรกสวรรค์นั้นๆ แล้ว
มี หรือ ไม่มี ครับ ?
๔) ล่าสุด นายคันโตนาซี ก็ออกอาการ "ส่าย" อีกครั้งจนได้
เพราะเขาอุตส่าห์อวดฉลาดว่า นรกสวรรค์ ไม่ได้เป็นภพภูมิที่มีแต่จิตล้วนๆ
แต่เป็นปัญจโวการภพ ที่ประกอบด้วยขันธ์ ๕ (แบบเดียวเดียวกับภพภูมิของมนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉาน ?)
เมื่อเป็นดังนี้ การอวดฉลาดครั้งล่าสุดของนายคันโตนาซี ก็เท่ากับการออกมายืนยันว่า
การกล่าวอ้างถึง "บันไดสวรรค์" ในครั้งแรกของมัน ก็คือการกล่าวถึง ภพภูมิทางเนื้อหนัง จริงๆ นั่นแหละ
หรือมิใช่ ?
๕) แต่ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตด้วยว่า หลักฐานเรื่องท่านพระสารีบุตรเห็น บันไดสวรรค์ นั้น
เอาเข้าจริง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน กลับปรากฏว่า มิได้เป็นคำของท่านพระสารีบุตรจริง
แต่ข้อความดังกล่าว เป็นการอธิบายถ้อยคำ(อุเทศ)ของท่านพระสารีบุตรอีกทีหนึ่ง
ดังนั้น บันไดสวรรค์ จึงมีค่าเป็นแค่เพียงมติชั้นรอง แม้ว่าจะปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ก็ตาม
ซึ่งที่จริงแล้ว ชาวพุทธทั้งหลาย ย่อมทราบดีว่า ขุททกนิกายนี้ มิได้เป็นของเก่าครั้งปฐมสังคายนาทั้งหมด
หากแต่ได้มีการ "เพิ่มเติม" ของใหม่เข้าไปอยู่ตลอดเวลา หรือใครจะเถียง ?
๖) ที่ทราบได้ว่า ข้อความดังกล่าวมิใช่คำของท่านพระสารีบุตร นอกจากการสังเกตจากรูปประโยคแล้ว
เรายังสามารถวิเคราะห์ ได้จากการเคียบเคียง "ข้อเท็จจริง" นั้นๆ จากพระสูตรได้อีกด้วย กล่าวคือ
หากพิจารณาให้รอบคอบ เราจะพบว่า ทุกๆ ครั้งที่พระพุทธเจ้า(หรือผู้อื่น)เสด็จไป ณ ที่แห่งใดก็ตามด้วยฤทธิ์ทางใจ
พระบาลีในที่ต่างๆ จะพรรณนาความว่า ครั้นแล้ว .......... หายจาก ....(ที่หนึ่ง).... มาปรากฏ ......(อีกที่หนึ่ง).....
เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ออก หรือพึงคู้แขนที่เหยียดเข้าฉะนั้น
เช่น
ทั้งนี้ สามารถยืนยันได้ว่า ข้อความจากพระสูตรที่เชื่อถือได้ว่าเป็นของเก่าสืบต่อมาจากเมื่อครั้งปฐมสังคายนา
ไม่เคยปรากฏว่า พระพุทธเจ้า เสด็จ นรกสวรรค์ โดยการขึ้นหรือลงบันได เลยแม้สักครั้ง จะมีก็แต่
ข้อความจาก ขุททกนิกาย ที่มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างน้อย นั่นแหละ ที่ได้ ระบุ ข้อความอันแปลกประหลาดดังกล่าวไว้
ด้วยเหตุดังนี้ นอกจาก บันไดสวรรค์ ไม่ใช่คำของท่านพระสารีบุตร หรือพระอรหันตเถระองค์ใดทั้งสิ้นแล้ว
ผมจึงเห็นว่า บันไดสวรรค์ เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เนื่องจาก ไม่มีความสอดคล้อง กับพุทธพจน์พระบาลีจากพระสูตรใดเลย
การยกข้อความ ที่มีความน่าเชื่อถือน้อย ดังกล่าว ขึ้นมาอ้างอย่างกึ่งดิบกึ่งดี โดยนายคันโตนาซี
จึงเป็นเพียงแค่การ "ส่าย" ไปมา ตามแบบอย่างของ นักตีฝีปากชั้นเลว เท่านั้นเอง
หรือมิใช่ ?
สรุป
ตกลงแล้ว นรกสวรรค์ ของ คันโตนาซี มันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ ?
อีกทั้ง การบัญญัติความหมายของถ้อยคำต่างๆ โดยนายคันโตนาซี ก็ดูแปลกๆ พิกล
อย่างเช่น คำว่า เนื้อหนัง เขาแปลไปได้อย่างไรว่า หมายถึง ภพภูมิหลังตาย
เพราะ ภพภูมิหลังตาย มันอาจหมายถึง ภพภูมิทางเนื้อหนัง หรือภพภูมิทางใจ ก็ได้นี่ครับ !
แต่ที่แน่ๆ (แต่ก็เหมือนไม่แน่) ก็คือ นรกสวรรค์ของนายคันโตนาซีผู้นี้
เดี่ยวก็เป็นภพภูมิทางเนื้อหนัง
เดี๋ยวก็เป็นภพภูมิหลังตายไปแล้ว
เดี๋ยวก็ว่า ไม่ใช่ภพภูมิทางใจ
และสุดท้ายก็อ้างว่าเป็นภพภูมิที่มี "ขันธ์ ๕" แบบเดียวกันกับ ภพภูมิทางเนื้อหนังของมนุษย์และดิรัจฉาน นี่แหละ
คันโตนาซี "ส่าย" ได้ "มัน" ถึงใจจริงๆ เลยนะครับ
หากนายคนนี้ หันไปยึดอาชีพ "โคโยตี้"
สงสัย สาวๆ คงตกงานกันหมดแน่ๆ
คริคริ