พอถูกทวงถามว่า นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง มันจะมีได้อย่างไร ?
เพราะคำว่า เนื้อหนัง มันต้องหมายความว่า สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
ซึ่ง พระพุทธเจ้า และท่านปยุตโต ระบุว่า สัตว์ทั้งในนรกและสวรรค์
เป็นพวก โอปปาติกกำเนิด เมื่อตายก็ไม่มีเศษซากเนื้อหนังอะไร
ใครคนนั้นก็ออกอาการ "แถ" ในบัดดลว่า
นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง นี้หมายถึง นรกสวรรค์หลังจากตายไปแล้ว !
แต่ของแบบนี้ มันจะ "แถกแถ" เรื่อยเปื่อยได้อย่างไรเล่าครับ ?
เพราะ มัน พูดเรื่อง นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง ด้วยตัวของมันเอง
พร้อมยกกรณีตัวอย่าง คือ ท่านพระสารีบุตรเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จลง บันได (สวรรค์?)
ในเมื่อหลักฐาน คำพูด ของตนเองมันปรากฏชัดเจนอย่างนี้ แล้วจะมา แถกแถ เล่นลิ้น ให้อายผู้คนว่า
ไม่ได้หมายความไปถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้อย่างไร ?
ใครเป็นคนพูดถึง บันได จากสรวงสวรรค์ กันเล่าครับ หรือว่าจำคำพูดของตนเอง มิได้เสียแล้ว ?
ประเด็นที่ต้องไถ่ถามเพื่อความกระจ่าง ก็คือ
(๑) สรุปแล้ว คนๆ นี้ เข้าใจว่า นรกสวรรค์ มันเป็น ภพภูมิทางเนื้อหนัง หรือมิใช่ กันแน่ ?
เพราะถ้ายืนยันว่า นรกสวรรค์ มันเป็น ภพภูมิทางเนื้อหนัง มันก็ต้องหมายความว่า เราทั้งหลาย สามารถรับรู้
และสัมผัสมันด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้ เหมือนกับที่ สามารถรับรู้และสัมผัสโลกมนุษย์ได้ เป็นต้น
ถ้าเป็น กรณีนี้ ผมขอเพียงข้อพิสูจน์ เท่านั้นเองนะครับ มีหลักฐาน ไหมครับ ?
แต่ทั้งนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงพอที่จะฟัง "ภาษาคน" รู้เรื่องนะครับ
ดังนั้น จึงไม่ต้องไปยก กรณีม้ากัณฑกะ หรืออะไรอื่น ขึ้นมา แล้วมาสรุปอย่างโง่ๆ
ในเรื่องที่ไม่มีใครถามว่า นั่นเป็นหลักฐานว่ามีภพภูมิหลังจากตายไปแล้วจริง
เพราะสิ่งที่จริงยิ่งกว่า ก็คือ ไม่เคยมีใครโต้แย้งเรื่องภพภูมิหลังตายเข้าโลง เลยสักคน
จนแม้แต่ท่านพุทธทาส ก็มิได้ปฏิเสธเรื่องนี้ !
ในกระทู้ต้นเรื่อง ผมก็ถามด้วยคำถามที่ชัดเจนมากอย่างยิ่งถึงเรื่อง ภพภูมิทางเนื้อหนัง
ซึ่งมิได้มีความหมายว่า ภพภูมิหลังตายเข้าโลง อย่างที่พยายามจะแถกแถบิดเบือนกัน
หากแต่มันต้องหมายถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้และสัมผัสมันด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้ต่างหาก
(๒) ส่วนที่อ้างกรณีท่านพระสารีบุตรนั้น ถ้าคนเขาจะไม่เชื่อ มันก็มิได้หมายความว่า ท่านพระสารีบุตร จะกล่าวเท็จ
แต่มันควรหมายความว่า ข้อความดังกล่าว มิได้เป็นคำของท่านพระสารีบุตรจริง เท่านั้นเอง
ทั้งนี้ ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า ท่านพระสารีบุตร มิได้เป็นผู้จดจาร ข้อความดังกล่าว ด้วยตัวของท่านเอง สักหน่อย
หรือมิใช่ ?
(๓) หากนายคนนี้ จะกลับคำพูดของตนเองว่า นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง
มิได้หมายถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
หากแต่ มุ่งจะสื่อความหมายเพียงว่า นรกสวรรค์ หลังจากตายไปแล้ว เท่านั้น
คำถาม ก็คือ แล้วมันยกกรณี ท่านพระสารีบุตร กับ บันไดสวรรค์ ขึ้นมาอ้างทำไม ?
แต่คำถามที่มีความสำคัญยิ่งกว่า ก็คือ
เมื่อไม่มี นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง ที่หมายความถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
ดังนั้น นรกสวรรค์ ย่อมต้องหมายถึง ภพภูมิทางใจล้วนๆ ตามความจาก "เจตนาสูตร" น่ะสิ
และเมื่อเป็นดังนี้ การที่ท่านพุทธทาสสอนเรื่องภพภูมิทางใจ มันก็ถูกต้องดีอยู่แล้วนี่ครับ
ในเมื่อนรกสวรรค์ มันเป็นภพภูมิทางใจ ไม่ว่าจะก่อนตาย หรือ หลังตาย มันก็เป็นภพภูมิทางใจ อยู่วันยังค่ำ
ที่สำคัญไปกว่านั้น ก็คือ ท่านพุทธทาส ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า
นรกสวรรค์หลังตาย(เข้าโลง) ท่านมิได้ยกเลิก เพราะท่านมิได้ โง่ ปานนั้น
แต่ที่ท่านไม่เน้น(สอน) เพราะมันเป็นเรื่องไกลตัว และไม่เกิดประโยชน์ในปัจจุบันที่จะพูดถึง
นรกสวรรค์หลังตาย(เข้าโลง) มันจะเป็นอย่างไร ก็ช่างมันเถิด
เพราะที่ทุกข์ร้อนอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเกิดมาจาก นรกสวรรค์ทางอายตนะ
จึงต้องจัดการกับนรกสวรรค์เฉพาะหน้านี้ให้ได้เสียก่อน !
แล้วมันจะมาโวยวาย แต๋วแตก กล่าวตู่ใส่ร้าย พระสงฆ์องค์เจ้า หาบันไดนรก ทำไม มิทราบครับ ?
ถ้าอย่างนั้น นรกสวรรค์ เป็นภพภูมิทางจิต(ล้วนๆ) น่ะสิ
เพราะคำว่า เนื้อหนัง มันต้องหมายความว่า สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
ซึ่ง พระพุทธเจ้า และท่านปยุตโต ระบุว่า สัตว์ทั้งในนรกและสวรรค์
เป็นพวก โอปปาติกกำเนิด เมื่อตายก็ไม่มีเศษซากเนื้อหนังอะไร
ใครคนนั้นก็ออกอาการ "แถ" ในบัดดลว่า
นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง นี้หมายถึง นรกสวรรค์หลังจากตายไปแล้ว !
แต่ของแบบนี้ มันจะ "แถกแถ" เรื่อยเปื่อยได้อย่างไรเล่าครับ ?
เพราะ มัน พูดเรื่อง นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง ด้วยตัวของมันเอง
พร้อมยกกรณีตัวอย่าง คือ ท่านพระสารีบุตรเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จลง บันได (สวรรค์?)
ในเมื่อหลักฐาน คำพูด ของตนเองมันปรากฏชัดเจนอย่างนี้ แล้วจะมา แถกแถ เล่นลิ้น ให้อายผู้คนว่า
ไม่ได้หมายความไปถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้อย่างไร ?
ใครเป็นคนพูดถึง บันได จากสรวงสวรรค์ กันเล่าครับ หรือว่าจำคำพูดของตนเอง มิได้เสียแล้ว ?
ประเด็นที่ต้องไถ่ถามเพื่อความกระจ่าง ก็คือ
(๑) สรุปแล้ว คนๆ นี้ เข้าใจว่า นรกสวรรค์ มันเป็น ภพภูมิทางเนื้อหนัง หรือมิใช่ กันแน่ ?
เพราะถ้ายืนยันว่า นรกสวรรค์ มันเป็น ภพภูมิทางเนื้อหนัง มันก็ต้องหมายความว่า เราทั้งหลาย สามารถรับรู้
และสัมผัสมันด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้ เหมือนกับที่ สามารถรับรู้และสัมผัสโลกมนุษย์ได้ เป็นต้น
ถ้าเป็น กรณีนี้ ผมขอเพียงข้อพิสูจน์ เท่านั้นเองนะครับ มีหลักฐาน ไหมครับ ?
แต่ทั้งนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงพอที่จะฟัง "ภาษาคน" รู้เรื่องนะครับ
ดังนั้น จึงไม่ต้องไปยก กรณีม้ากัณฑกะ หรืออะไรอื่น ขึ้นมา แล้วมาสรุปอย่างโง่ๆ
ในเรื่องที่ไม่มีใครถามว่า นั่นเป็นหลักฐานว่ามีภพภูมิหลังจากตายไปแล้วจริง
เพราะสิ่งที่จริงยิ่งกว่า ก็คือ ไม่เคยมีใครโต้แย้งเรื่องภพภูมิหลังตายเข้าโลง เลยสักคน
จนแม้แต่ท่านพุทธทาส ก็มิได้ปฏิเสธเรื่องนี้ !
ในกระทู้ต้นเรื่อง ผมก็ถามด้วยคำถามที่ชัดเจนมากอย่างยิ่งถึงเรื่อง ภพภูมิทางเนื้อหนัง
ซึ่งมิได้มีความหมายว่า ภพภูมิหลังตายเข้าโลง อย่างที่พยายามจะแถกแถบิดเบือนกัน
หากแต่มันต้องหมายถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้และสัมผัสมันด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้ต่างหาก
(๒) ส่วนที่อ้างกรณีท่านพระสารีบุตรนั้น ถ้าคนเขาจะไม่เชื่อ มันก็มิได้หมายความว่า ท่านพระสารีบุตร จะกล่าวเท็จ
แต่มันควรหมายความว่า ข้อความดังกล่าว มิได้เป็นคำของท่านพระสารีบุตรจริง เท่านั้นเอง
ทั้งนี้ ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า ท่านพระสารีบุตร มิได้เป็นผู้จดจาร ข้อความดังกล่าว ด้วยตัวของท่านเอง สักหน่อย
หรือมิใช่ ?
(๓) หากนายคนนี้ จะกลับคำพูดของตนเองว่า นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง
มิได้หมายถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
หากแต่ มุ่งจะสื่อความหมายเพียงว่า นรกสวรรค์ หลังจากตายไปแล้ว เท่านั้น
คำถาม ก็คือ แล้วมันยกกรณี ท่านพระสารีบุตร กับ บันไดสวรรค์ ขึ้นมาอ้างทำไม ?
แต่คำถามที่มีความสำคัญยิ่งกว่า ก็คือ
เมื่อไม่มี นรกสวรรค์ทางเนื้อหนัง ที่หมายความถึง ภพภูมิ ที่สามารถรับรู้ หรือสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
ดังนั้น นรกสวรรค์ ย่อมต้องหมายถึง ภพภูมิทางใจล้วนๆ ตามความจาก "เจตนาสูตร" น่ะสิ
และเมื่อเป็นดังนี้ การที่ท่านพุทธทาสสอนเรื่องภพภูมิทางใจ มันก็ถูกต้องดีอยู่แล้วนี่ครับ
ในเมื่อนรกสวรรค์ มันเป็นภพภูมิทางใจ ไม่ว่าจะก่อนตาย หรือ หลังตาย มันก็เป็นภพภูมิทางใจ อยู่วันยังค่ำ
ที่สำคัญไปกว่านั้น ก็คือ ท่านพุทธทาส ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า
นรกสวรรค์หลังตาย(เข้าโลง) ท่านมิได้ยกเลิก เพราะท่านมิได้ โง่ ปานนั้น
แต่ที่ท่านไม่เน้น(สอน) เพราะมันเป็นเรื่องไกลตัว และไม่เกิดประโยชน์ในปัจจุบันที่จะพูดถึง
นรกสวรรค์หลังตาย(เข้าโลง) มันจะเป็นอย่างไร ก็ช่างมันเถิด
เพราะที่ทุกข์ร้อนอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเกิดมาจาก นรกสวรรค์ทางอายตนะ
จึงต้องจัดการกับนรกสวรรค์เฉพาะหน้านี้ให้ได้เสียก่อน !
แล้วมันจะมาโวยวาย แต๋วแตก กล่าวตู่ใส่ร้าย พระสงฆ์องค์เจ้า หาบันไดนรก ทำไม มิทราบครับ ?