คือง่าย ๆ แบบว่า ผิดมาตรา 157 นั่นแหละครับ
(หาก ป.ป.ช. เห็นว่าผิด ก็ผิด แต่หาก ป.ป.ช. เห็นว่าไม่ผิดก็ไม่ผิด
โดยไม่ต้องอิงกฎหมายข้ออื่นใดให้เมื่อยเลยยังงั้นหรือ ? )
กรณีนี้ ป.ป.ช. เห็นว่า หมอเลี้ยบเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป ผิดมาตรา 157
ถามว่า การที่ รมว.ไอซีที อนุมัติให้ชินคอร์ปลดสัดส่วนการถือหุ้น ผิดกฏหมายข้อไหน ผิดระเบียบข้อใด
คำตอบคือ ไม่มีข้อผิด รัฐไม่เสียประโยชน์ใด ๆ
แต่ที่ผิดคือ ชินคอร์ปได้ประโยชน์
(เหมือนการยึดเงิน 4.6 หมื่นล้านทักษิณนั่นแหละครับ ถามว่าผิดกฎหมายข้อไหน ไม่ผิด
แต่ถือว่าเป็นลาภไม่ควรได้เพราะทักษิณเป็นนายกฯ ทำให้หุ้นขึ้น จึงยึดดื้อๆ มีไรป่ะ )
ตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ลงวันที่ 11 กันยายน 2534
ระหว่างกระทรวงคมนาคม และบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
หรือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ในปัจจุบัน ข้อ 4
กำหนดให้บริษัทจะต้องจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ เพื่อดำเนินงานตามสัญญาสัมปทาน
โดยมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และบริษัทจะต้อง เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51
และต้องดำเนินการให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่รับผิดชอบตามสัญญาสัมปทานต่อกระทรวงร่วมกันและแทนกันกับบริษัท
ซึ่งต่อมาได้มีการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ ตามสัญญาสัมปทานฯ ดังกล่าว คือ บริษัท ชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)
ต่อมา ชินแซทเทิลไลท์ ทำหนังสือว่าชินคอร์ปขอลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 51% เป็น 40%
รมว.ไอซีที (หมอเลี้ยบ) ได้ถามไปยังอัยการสูงสุดว่าทำได้หรือไม่
อัยการสูงสุดตอบว่าได้ เพราะไม่ทำให้ืรัฐเสียประโยชน์ แต่ต้องให้ ครม.อนุมัิติ
หมอเลี้ยบทำเรื่องเสนอ ครม.
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขา ครม. ส่งเรื่องคืน บอกว่า เรื่องไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
หมอเลี้่ยบถามไปยังอัยการสูงสุดอีกครั้ง ว่าทำได้หรือไม่
อัยกายสูงสุดตอบกลับมาว่า เมื่อสำนักเลขา ครม. ว่าไม่ต้องนำเข้า ครม. กระทรวงไอซีทีก็ทำได้
หมอเลี้ยบก็อนุมัติให้ชินคอร์ปลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 51 เหลือ 40 % ได้
...
จากรายละเอียดคร่าว ๆ นี้ หมอเลี้ยบผิดตรงไหน ?
ทีนี้ มาดูเหตุผลของ ป.ป.ช. ครับ ว่าทำไมบอกว่าหมอเลี้ยบผิด (อ่านแล้วห้ามขำนะครับ)
ป.ป.ช. บอกว่า
"
การอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานลดสัดส่วนข้างต้นโดยไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
จึงเป็นการอนุมัติโดยมิชอบ
และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ ผู้รับสัมปทาน
เนื่องจากในกรณีที่บริษัท ไทยคมฯ ทำการเพิ่มทุนเพื่อดำเนินโครงการใด ๆ โดยเฉพาะโครงการดาวเทียม
ไอพีสตาร์ บริษัท ชินคอร์ปฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ไทยคมฯ
จึงไม่ต้องระดมทุนหรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นเพื่อรักษาสัดส่วนร้อยละ 51 ของตนเอง
แต่กลับกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และการลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงประมาณร้อยละ 11 ดังกล่าวย่อมเป็นผลให้บริษัท ชินคอร์ปฯ
ได้รับเงินทุนคืนจากการโอนขายหุ้นจำนวนดังกล่าวออกไปด้วย
ทั้งการลดสัดส่วนดังกล่าวมีผลเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของบริษัท ชินคอร์ปฯ
ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานโดยตรงที่ต้องมีอำนาจควบคุมบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้
และต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ในบริษัท ไทยคมฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน
แม้ว่าบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ไทยคมฯ จะยังต้องร่วมกันรับผิดตามสัญญาสัมปทานอยู่
แต่การลดสัดส่วนการถือครองหุ้นดังกล่าวก็ย่อมที่จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและ
ความมั่นคงในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมของรัฐ"
เห็นเหตุผล ป.ป.ช. แล้ว ผมก็ได้แต่รำพึงแบบหล่อ ๆ ว่า กรรมเวรจริง ๆ
1. บอกว่า หมอเลี้ยบอนุมัติโดยไม่ผ่าน ครม.
- อุบ๊ะ ก็ ป.ป.ช. ก็รู้อยู่นี่ ว่าเลขา ครม. ส่งเรื่องคืน ไม่นำเข้า ครม. และอัยการสูงสุดก็ยืนยันว่าทำได้
แล้ามันผิดตรงไหน ?
ห๊าาาา...
2. บอกว่าชินคอร์ปไม่ต้องหาเงินมาถือหุ้น 51%
- อันนี้ก็งง ๆ ครับ ก็เขาถือหุ้นอยู่แล้ว มีหุ้น 51 อยู่แล้ว ต้องหาเงินต้องระดมทุนมาทำหอยไรอีก
3. บอกว่าชินคอร์ปเมื่อได้รับอนุมัติสัดส่วนถือหุ้นจาก 51 เหลือ 40 ชินคอร์ปก็ขายหุ้นออกไป 11%
ทำให้ชินคอร์ปได้ประโยชน์
งงไหมครับ เหตุผลข้อ 2 กับ ข้อ 3 มันขัดกันทะม่อง ๆ
4. ป.ป.ช. บอกว่า กระทบต่อความเชื่อมั่นและความมั่นคงในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของรัฐ
- เฮ้อออ.... คิดถึงตอนรัฐประหาร 2549 ที่เล่นเรื่องดาวเทียมไทยคม ถึงขั้นจะซื้อคืนจากเทมาเส็ก
แต่วันนี้ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
อะไรวะ ป.ป.ช. เกิดความรู้สึกไม่เชื่อมั่น ไม่มั่นคงในปี 2556 ทั้งที่เรื่องมันเกิดตั้งแต่ปี 2547
ปวดตับบ่ะ
อย่างว่า คดีนี้ คตส.ชี้มูลมาให้ ป.ป.ช. ก่อนจะยุบไป
ป.ป.ช. ก็ต้องเล่นต่อ ไม่งั้นมันจะไม่สัมพันธ์กับคดียึดเงิน 4.6 หมื่นล้าน
หมอเลี้ยบก็เลยต้องซวย
เล่นการเมืองกันเลยเถิด
ไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันบ้่างหรือไงหนอ
แก่จะเข้าโลงกันแล้วทั้งนั้น
ผมงงครับ งงว่า ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.ไอซีทีได้อย่างไร หาเรื่องกันเกินไปไหม
(หาก ป.ป.ช. เห็นว่าผิด ก็ผิด แต่หาก ป.ป.ช. เห็นว่าไม่ผิดก็ไม่ผิด
โดยไม่ต้องอิงกฎหมายข้ออื่นใดให้เมื่อยเลยยังงั้นหรือ ? )
กรณีนี้ ป.ป.ช. เห็นว่า หมอเลี้ยบเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป ผิดมาตรา 157
ถามว่า การที่ รมว.ไอซีที อนุมัติให้ชินคอร์ปลดสัดส่วนการถือหุ้น ผิดกฏหมายข้อไหน ผิดระเบียบข้อใด
คำตอบคือ ไม่มีข้อผิด รัฐไม่เสียประโยชน์ใด ๆ
แต่ที่ผิดคือ ชินคอร์ปได้ประโยชน์
(เหมือนการยึดเงิน 4.6 หมื่นล้านทักษิณนั่นแหละครับ ถามว่าผิดกฎหมายข้อไหน ไม่ผิด
แต่ถือว่าเป็นลาภไม่ควรได้เพราะทักษิณเป็นนายกฯ ทำให้หุ้นขึ้น จึงยึดดื้อๆ มีไรป่ะ )
ตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ลงวันที่ 11 กันยายน 2534
ระหว่างกระทรวงคมนาคม และบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
หรือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ในปัจจุบัน ข้อ 4
กำหนดให้บริษัทจะต้องจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ เพื่อดำเนินงานตามสัญญาสัมปทาน
โดยมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และบริษัทจะต้อง เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51
และต้องดำเนินการให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่รับผิดชอบตามสัญญาสัมปทานต่อกระทรวงร่วมกันและแทนกันกับบริษัท
ซึ่งต่อมาได้มีการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ ตามสัญญาสัมปทานฯ ดังกล่าว คือ บริษัท ชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)
ต่อมา ชินแซทเทิลไลท์ ทำหนังสือว่าชินคอร์ปขอลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 51% เป็น 40%
รมว.ไอซีที (หมอเลี้ยบ) ได้ถามไปยังอัยการสูงสุดว่าทำได้หรือไม่
อัยการสูงสุดตอบว่าได้ เพราะไม่ทำให้ืรัฐเสียประโยชน์ แต่ต้องให้ ครม.อนุมัิติ
หมอเลี้ยบทำเรื่องเสนอ ครม.
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขา ครม. ส่งเรื่องคืน บอกว่า เรื่องไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
หมอเลี้่ยบถามไปยังอัยการสูงสุดอีกครั้ง ว่าทำได้หรือไม่
อัยกายสูงสุดตอบกลับมาว่า เมื่อสำนักเลขา ครม. ว่าไม่ต้องนำเข้า ครม. กระทรวงไอซีทีก็ทำได้
หมอเลี้ยบก็อนุมัติให้ชินคอร์ปลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 51 เหลือ 40 % ได้
...
จากรายละเอียดคร่าว ๆ นี้ หมอเลี้ยบผิดตรงไหน ?
ทีนี้ มาดูเหตุผลของ ป.ป.ช. ครับ ว่าทำไมบอกว่าหมอเลี้ยบผิด (อ่านแล้วห้ามขำนะครับ)
ป.ป.ช. บอกว่า
"การอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานลดสัดส่วนข้างต้นโดยไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
จึงเป็นการอนุมัติโดยมิชอบ
และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ ผู้รับสัมปทาน
เนื่องจากในกรณีที่บริษัท ไทยคมฯ ทำการเพิ่มทุนเพื่อดำเนินโครงการใด ๆ โดยเฉพาะโครงการดาวเทียม
ไอพีสตาร์ บริษัท ชินคอร์ปฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ไทยคมฯ
จึงไม่ต้องระดมทุนหรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นเพื่อรักษาสัดส่วนร้อยละ 51 ของตนเอง
แต่กลับกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และการลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงประมาณร้อยละ 11 ดังกล่าวย่อมเป็นผลให้บริษัท ชินคอร์ปฯ
ได้รับเงินทุนคืนจากการโอนขายหุ้นจำนวนดังกล่าวออกไปด้วย
ทั้งการลดสัดส่วนดังกล่าวมีผลเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของบริษัท ชินคอร์ปฯ
ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานโดยตรงที่ต้องมีอำนาจควบคุมบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้
และต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ในบริษัท ไทยคมฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน
แม้ว่าบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ไทยคมฯ จะยังต้องร่วมกันรับผิดตามสัญญาสัมปทานอยู่
แต่การลดสัดส่วนการถือครองหุ้นดังกล่าวก็ย่อมที่จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและ
ความมั่นคงในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมของรัฐ"
เห็นเหตุผล ป.ป.ช. แล้ว ผมก็ได้แต่รำพึงแบบหล่อ ๆ ว่า กรรมเวรจริง ๆ
1. บอกว่า หมอเลี้ยบอนุมัติโดยไม่ผ่าน ครม.
- อุบ๊ะ ก็ ป.ป.ช. ก็รู้อยู่นี่ ว่าเลขา ครม. ส่งเรื่องคืน ไม่นำเข้า ครม. และอัยการสูงสุดก็ยืนยันว่าทำได้
แล้ามันผิดตรงไหน ?
ห๊าาาา...
2. บอกว่าชินคอร์ปไม่ต้องหาเงินมาถือหุ้น 51%
- อันนี้ก็งง ๆ ครับ ก็เขาถือหุ้นอยู่แล้ว มีหุ้น 51 อยู่แล้ว ต้องหาเงินต้องระดมทุนมาทำหอยไรอีก
3. บอกว่าชินคอร์ปเมื่อได้รับอนุมัติสัดส่วนถือหุ้นจาก 51 เหลือ 40 ชินคอร์ปก็ขายหุ้นออกไป 11%
ทำให้ชินคอร์ปได้ประโยชน์
งงไหมครับ เหตุผลข้อ 2 กับ ข้อ 3 มันขัดกันทะม่อง ๆ
4. ป.ป.ช. บอกว่า กระทบต่อความเชื่อมั่นและความมั่นคงในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของรัฐ
- เฮ้อออ.... คิดถึงตอนรัฐประหาร 2549 ที่เล่นเรื่องดาวเทียมไทยคม ถึงขั้นจะซื้อคืนจากเทมาเส็ก
แต่วันนี้ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
อะไรวะ ป.ป.ช. เกิดความรู้สึกไม่เชื่อมั่น ไม่มั่นคงในปี 2556 ทั้งที่เรื่องมันเกิดตั้งแต่ปี 2547
ปวดตับบ่ะ
อย่างว่า คดีนี้ คตส.ชี้มูลมาให้ ป.ป.ช. ก่อนจะยุบไป
ป.ป.ช. ก็ต้องเล่นต่อ ไม่งั้นมันจะไม่สัมพันธ์กับคดียึดเงิน 4.6 หมื่นล้าน
หมอเลี้ยบก็เลยต้องซวย
เล่นการเมืองกันเลยเถิด
ไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันบ้่างหรือไงหนอ
แก่จะเข้าโลงกันแล้วทั้งนั้น