ยายปิ่น อนัตดา พุทธิกุล

กระทู้สนทนา
ยายปิ่น                              อนัตดา  พุทธิกุล

ที่บ้านฉัน  เราอยู่กันสองคน  คือฉันกับแฟน   แต่น่าปลกใจเสียเหลือหลาย    ว่าเออหนอ  แค่เพียงสองเรา   แต่ทำไม๊  ห้องเก็บเสื้อผ้า     ( Closet )   กลับล้น ไม่มีที่ไว้
ทั้งที่บ้านหลังนี้  ไม่ใช่มีห้องเก็บแค่ห้องเดียว    แบบบ้านหลังเดิม   แต่มีสองห้อง

His  &    Her
เขา และ  ฉัน
แต่ขนาดสองห้อง    ก็ยังล้นอีกจนได้
ทำไม?

ที่พูดนี่  ไม่ได้หมายถึงตู้ของเขา   แต่ฉันหมายถึงตู้เก็บเสื้อผ้าของฉัน   ที่ข้าวของล้น ไม่มีที่จะใส่   ไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้า  หากยังมีรองเท้า   กระเป๋า   อีกเพียบ
เพราะไม่เข้าใจ ตัวเอง   ว่าทำไม ของข้าวตัวเองถึงได้มากนัก    ก็เลยนั่งค้นหาคำตอบ   ให้กับตัวเอง

ไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์  ผู้ปราดเปรื่อง   ก็หาคำตอบให้กับตัวได้ไม่ยาก     ที่ข้าวของมันล้น   จนไม่มีที่เก็บ    ก็เพราะฉันตะบี้ตะบันขนซื้อมันเข้าไป  
ก็แล้วคุณจะให้ฉันทำอย่างไร  ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างฉัน   เสื้อผ้า  กระเป๋า  รองเท้า    ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้ทั้งนั้น  ถ้าคุณอยากดูดี
ลองซิ   ขืนฉันใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ  รองเท้าคู่เก่า    กระเป๋าใบเดิม   คนจะได้หัวเราะตาย ประไร  

คนหัวเราะแล้วไง  
ฉันก็พยายามจะคิดอย่างนั้น  เอาหูไปนา เอาตาไปไร่   บอกตัวเอง  จำเป็นอะไร  ที่เราจะต้องไปสนใจ  คนรอบข้าง
ใครจะดูถูกก็ช่าง   ตัวของเรา  เงินก็ของเรา      จะสวยหรือไม่ ก็เรื่องของเรา  
คิดนะง่าย  แต่ทำยาก  ตราบใด ที่ยังต้องอยู่ในสังคม

ถ้าคุณไม่เชื่อ  จะลองพิสุจน์  ดูก็ได้   ไม่ต้องทำอะไรมาก   แค่คุณลองใส่ชุดเดียว  ไปทำงานที่บริษัทสักอาทิตย์    ถ้าไม่มีใครกระแนะกระแหน  หรือ  วิจารณ์ละก้อ     ฉันเลี้ยงโต๊ะจีนคุณ   โต๊ะใหญ่  

ทำไมฉันจึงมั่นใจ นักนะเหรอ  
ก็เพราะว่าฉัน    ก็เหมือนกับทุกๆคน    ที่ถูกสังคม ตีกรอบ   แต่ก้าวแรก ที่ย่างก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งของมัน  
สังคม   บอกให้เราเดินแบบนี้  ไปทางนั้น  อันนี้ดี  อันนั้นไมใช่
ลองเราขัดขืน ไม่ทำตาม  ถึงกฏหมายจะเอาผิดกับเราไม่ได้     แต่กฏสังคม  จะลงโทษคุณ  

ฉันว่าคงจะดีไม่น้อย    ถ้าเราไม่ต้องเดินวนอยู่ในกรอบ   นึกอยากทำอะไร  ก็ทำตามใจชอบ   จะได้ไม่ต้องมาคอยนั่ง หาคำตอบให้ตัวเอง
เพราะเราดันทะลึ่ง  คอยจะถามตัวเองเรื่อยๆว่า    
ทำไม?

อย่างฉันนี่ไง    มักจะถามตัวเอง  บ่อยๆ   คนเรามีแค่สองเท้า    แต่ดันผ่า  มีรองเท้าเป็นสิบ   เป็นร้อย     แล้วไอ้  ทั้งร้อย ทั้งสิบ   ใส่ได้ก็แค่ทีละคู่  
ทำไม?

มาดาม  มาก๊อส    (   Imelda    Macos   )  เองก็มีสองเท้าเท่ากับฉัน    และทุกคน    แต่ดัน  มีรองเท้าเป็นพันคู่  
แต่ตอนตาย   เอาไปไม่ได้สักคู่  ฉันว่า หล่อนเองก็รู้  แต่ยัง  ตะบี้ตะบัน  ซื้อรองเท้าอยู่ได้  
ทำไม?

โทษที  …ออกนอกเรื่อง   จนได้ซิน่า
ฉันมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ   คิดเรื่องหนึ่งอยู่ดี ๆ   ทะลุไปอีก… หลายๆเรื่อง  
คงจะดีไม่น้อย   หากคนเราสามารถเก็บ    ความคิด  ให้เข้าที่เข้าทาง   มันจะได้ไม่กระจัดกระจาย อย่างที่เป็นอยู่
เอกสารยังมีตู้เก็บ
เสื้อผ้ามีตู้ใส่
ความคิดคนเรา  น่าจะมีที่ไว้
กล่อง   หรือว่า    หีบ ดี  

วกเข้าเรื่อง   เสื้อผ้า  รองเท้า กระเป๋า  ของฉัน ที่มากมาย   จนเป็นปัญหาเรื้อรังดีกว่า
เสื้อผ้าบางตัว  เล็กลง  เพราะฉัน ตัวใหญ่ขึ้น   หรือไม่อย่างนั้น    ก็ทั้งเก่าและย้วยไปทั้งตัว    ใส่ไปก็รังแต่จะทำให้คนใส่หม่นหมอง ไม่มีราศรี    น่าจะทิ้งไป     แต่ฉันก็ทิ้งไม่ได้  เพราะติดที่คำๆนั้น คำเดียว  
เสียดาย!

ไม่ได้การ   บอกกับตัวเอง    ขืนเสียดายอยู่อย่างนี้   ตู้เสื้อผ้ารังแต่จะรก  ดีไม่ดี   แขกไปใครมา   จะพาเขาไปโชว์ตู้เสื้อผ้า ก็ไม่ได้   เดี๋ยวเขาจะค่อนเอาได้     ดูทีรึ     บ้านช่องก็งามงด  แต่ทำไม๊   ปล่อยให้เสื้อผ้ารก  ตู้เก็บเสื้อผ้า ดูไม่ได้
อย่ากระนั้นเลย    เห็นทีฉันจะต้องทำอะไรสักอย่าง  

ด้วยหัวใจอันเด็ดเดี่ยว   ฉันมายืนในห้องเก็บของ  ตรงหน้าราวแขวน   และชั้นเก็บ   ในวันนั้น ที่ตัดสินใจอย่างแน่แน่ว  อย่างไรเสีย วันนี้  จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ เด็ดขาดลงไป
เมื่อตั่งสติเสร็จสรรพ    หลังจากนับหนึ่งถึงสาม     ฉันก็เอาสองมือแหวกเสื้อผ้าที่แขวนแน่นอยู่บนราว    พร้อมกับชั่งใจ
จะเก็บตัวไหนไว้    จะทิ้งตัวไหนดี
ฉันมองเสื้อเก่าที่อยู่ในมือ    มองแล้วมองอีก  ขยับจะทิ้งก็ไม่กล้า  เพราะเสื้อ ตัวนี้ น้องสาวให้มา     มันเป็นของฝากจากหัวใจ    ทิ้งไม่ได้   ก็เลยแขวนมันอย่างเก่า    แล้วหันไปที่กระโปรงสีฟ้าติดกันสั้นเพียงน่อง   ค่อยๆปลดออกจากไม้แขวน   ทำท่าจะโยนลงพื้น แต่ชะงัก เมื่อได้ยินเสียงแฟนลอยมาตามลม

คุณใส่กระโปรงชุดนี้แล้ว     คุณดูสวยที่สุดเลย    เขาชม ตอนที่ฉันใส่ชุดนี้ไปงานเลี้ยงที่บริษัทเขา  หลายปีผ่านมา

ปลดจากไม้แขวนได้   ก็ใส่กลับไม้แขวนได้    ถึงตอนนี้  มันจะคับ  เพราะร่างกายฉันยืดขยาย  แต่วันหนึ่ง   ร่างกายฉันหดตัวกลับคืนสภาพเดิม    ฉันก็คงใส่มันได้  

ไหนว่าวันนี้ จะจัดการเรื่องนี้ให้ได้  ถามตัวเองอย่างหงุดหงิด  และไม่เข้าใจ   เรื่องง่ายๆแค่นี้  ทำไม ถึงทำไม่ได้  
อาการอย่างฉันนี่    มันบ้าสมบัติ      เหมือนกับยายปิ่นเลยแฮะ
ยายปิ่น !


ทันทีที่ชื่อนั้นผ่านเข้ามา   ฉันก็สะดุ้งเฮือก    ใจหล่นวูบลงไปกองที่ปลายเท้า  ความเสียดมเสียดาย    ก่อนหน้า   หายไปเป็นปลิดทิ้ง     ความเด็ดเดี่ยว  มั่นใจเคลื่อนเข้ามาแทนที่  
อย่างรวดเร็ว   ฉันยื่นมือไปรวบเสื้อ   กระโปรงที่ใส่ไม่ได้   ที่ก่อนหน้า   ยึกยัก   ไม่กล้าทิ้ง มาจากราวแขวน   โยนมันลงไปกองสุมๆกันที่พื้น  อย่างว่องไว
ฉันจะไม่เก็บ   มันอีกต่อไป  เปล่า  ไม่ได้ทิ้ง  
แต่จะเอาไปบริจาค    กาชาด   ( Red Cross  ) ไม่ก็     มูลนิธิ กลุ่มปรารถนาดี      Good will    


แล้วฉันก็ขับรถ   เอาเสื้อผ้าที่ใช้ ไม่ได้  ถึงสองถุงใหญ่ๆ   ไปใส่ตู้บริจาคใกล้ๆบ้าน  
พอกลับมาบ้าน ก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ
ตู้ใส่เสื้อผ้าไม่รก   คนยากไร้มีเสื้อผ้าใส่
แต่แหนือสิ่งอื่นใด  ฉันยินดีปรีดาที่สุด   ที่รอดพ้นจากการเป็น    “ ยายปิ่น  “     อย่างเฉียดฉิว

พูดมาตอนนี้   คุณๆ  คงอยากรู้แล้วซินะ   ยายปิ่นคือใคร
งั้นตามฉันมาซิคะ      ฉันจะพาคุณไปรู้จัก  ยายปิ่น     แกเป็น   เสี้ยวเล็กๆ  เสี้ยวหนึ่ง แห่งความทรงจำ  ครั้งที่ฉันยังเด็ก  

ถ้าคุณอ่านจนจบ     คุณจะได้คำตอบ    ทำไม ฉันจึง  ไม่อยากเป็นยายปิ่น

ยายปิ่น  เป็นหญิงวัยกลางคน  ไม่เต็มบาท    อาศัยอยู่ที่ต้นโพธิ์ใกล้คลอง หลังวัด  
เราเรียกแก   ยายปิ่น     สั้นๆ   ไม่มีคำนำหน้า    และไม่มีคำตามหลัง  เพราะเรารู้จักแก  แค่นั้น

ภาพที่ฉัน และทุกคนในซอยเห็นจนชินตา    ยายปิ่นจะเดินจากต้นโพธิ์ที่แกพักพิง   มายังปากซอย   กับชุดเก่ง
ผ้าถุงเก่าคร่ำ  พอกับเสื้อที่ขาดรุ่งริ่ง     ผมเผ้ากระเซิง ผูกด้วยผ้าสามสี  ที่คนเอามามัดรอบต้นโพธิ์  เพื่อขอหวย  หรือแก้บน   ส่วนมือทั้งสองของแกนั้น   ก็จะหอบหิ้วถุงสมบัติ  พะรุงพะรัง
เด็กๆในซอย    เห็นแกเดินมาเท่านั้น    ก็ตามเป็นพรวน  เด็กชายแก่นๆ   ปากเสีย    แหกปากล้อเลียน
“ยายปิ่นบ้า   ยายบ้าหอบฟาง”  
ยายปิ่นไม่ต่อปากต่อคำ  แกเดินไปเรื่อยๆ  เพื่อไปยังร้านข้าวแกง ต้นซอย ของป้าแดง    เจ้าของร้านใจดี  ที่ให้ข้าว และกับ ทุกวัน  พอได้าข้าวกับแกงจากป้าแดง  แกก็จะเดินกลับไปยังต้นโพธิ์หลังวัด    

ที่นั่น … ป้าแจ๋วแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว  ตั่งร้านริมถนน  ใกล้ๆต้นโพธิ์    จะให้น้ำ  ให้ขนม   และก๋วยเตี๋ยว   ถ้ายายปิ่นไปเมี่ยงๆมองๆ  ทำท่าว่าอยากกิน  

ทุกครั้ง   ที่ฉันเดินผ่านไปหลังวัด  เพื่อไปหาเพื่อน  ยามที่ผ่านต้นโพธิ์   ฉันก็จะเห็นนั่งพูดอะไรของแกคนเดียว อยู่ใต้ต้นโพธิ์   เดี๋ยวยิ้ม  เดี๋ยวมองท้องฟ้า   ไม่ก็ค้นหาของถุง    ก็ไอ้ถุงที่แกหอบหิ้วไปทุกที่นั่นแหละ  
ทำให้บางครั้ง   ฉันเกิดอยากรู้ขึ้นมาตะหงิดๆ   อะไรอยู่ในถุงยายปิ่น   ฉันคิดว่า   มันต้องสำคัญกับแกมากๆ   ไม่งั้น แกคงไม่หอบติดตัวตลอด เวลา

ไม่ใช่แต่ฉันคนเดียวหรอกนะ ที่อยากรู้   ว่าไอ้ถุงที่แกหิ้วตะเวนไปด้วยทุกหนแห่ง   คืออะไร   หลายคน   ก็อยากรู้เหมือนกับฉัน  
โดยเฉพาะ ไอ้หนุ่ย  เด็กผู้ชายเหลือขอ ที่อยู่บ้านริมคลอง ใกล้ต้นโพธิ์  และมันนี่แหละ  เป็นหัวโจก พาเพื่อน ๆ เลียนล้อ ยายปิ่นประจำๆ  
ในขณะที่ฉัน  แค่ มองอยู่ห่างๆ   เพราะแม่เปรยกับฉันเรื่อยๆ   เสมอมา    ยามที่เห็นเด็กพวกนั้น  ล้อเลียนยายปิ่น  แม่ว่า
  เขาเป็นอย่างนั้น  น่าสงสารพอแล้ว   ยังจะไปล้อเลียนเขาอีกทำไม     บ้าจริงๆ   พูดเสร็จ ก็หันมากำชับฉัน  อย่าได้ไปรวมกลุ่มกับไอ้เด็กพวกนั้น     ถ้าเห็น   จะตีให้ขาลาก

แม่พูด คล้ายๆกับาป้าแจ๋ว แม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยว    ที่บอกกับฉัน ทั้งที่ฉันไม่ได้ถาม ทุกครั้งที่ฉันไปซื้อก๋วยเตี๋ยว  
ป้าละสงสาร ยายปิ่นจริงๆ ป้ำๆเป๋อๆ     มาจากไหนก็ไม่รู้  
แต่ฉันรู้  ลูกค้าที่มาซื้อก๋วยเตี๋ยว ร้องบอก  ว่าแล้วผู้รู้  ก็สาธยาย  
“ตอนแรกที่ยายปิ่นมาอยู่นี่   ผัวแกพามา  ขานั้นก็บ้าเหมือนกัน    แต่ตอนหลังผัวยายปิ่น โดนรถชนตายที่หน้าโรงพัก    แต่จนป่านนี้ ยายปิ่นแกรู้ซะที่ไหน ว่าผัวตาย”  ลูกค้าผู้รู้เรื่อง เล่าเรื่องไป  โดยมีป้าแจ๋ว  กับฉันฟังอย่างสนใจ

ไอ้หนุ่ย จะไปแหย่  ยายปิ่นทำไม   ป้าแจ๋วร้องถามเจ้าหนุ่ย  ที่แหย่เหย้า  ยายปิ่นอยู่ใกล้ๆ  ในวันนั้น  วันที่เกิดเหตุ
“ก็ชอบมีอะไรเปล่า”    ไอ้หนุ่ยว่า
“เดี๋ยวข้าจะไปฟ้องแม่  กับพ่อเอ็ง “
“เชิญ   “   ไอ้หนุ่ย  ท้าทาย  อายุมันแค่  สิบกว่าๆ  แต่กร่างยังกับ  หนุ่มใหญ่ๆ
“ยายปิ่น  บ้าบอ”    มันร้องแหย่ ดังๆ  กรากเข้าไปหา   ยายปิ่นคว้าถุงของแก  ซุกไว้ที่อก  ถอยร่นไปแอบกับต้นโพธิ์  ไอ้หนุ่ยยิ่งได้ใจ    หันไปถามเพื่อนๆ  เด็กชายในกลุ่ม
“อยากรู้ไหม  ว่าในถุงมีอะไร”
“อยากรู้ๆ  “ เพื่อนร้องกันเซ็งแซ่  ปรบมือปรบไม้   หัวเราะชอบใจ
ฉันที่ยืนรอก๋วยเตี๋ยว  ใจคอเริ่มไม่ดี   สงสาร  ยายปิ่นจับใจ  หน้าตาแกตื่นๆ  ขณะเด็กชายกลุ่มนั้น ย่างเข้าไปหา   ไปยืนห้อมล้อม  

“ไอ้หนุ่ย ไปยุ่งกับ  ยายปิ่นทำไม”   ป้าแจ๋วตวาด  กำลังลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว  หยุดมือกึก     แต่ไอ้หนุ่ย ไม่สนใจ กรากไปหายายปิ่น พอถึงตัว   ก็พยายามกระชากถุงในมือยายปิ่น     ยายปิ่นกระชากกลับ   ร้องแรก  
“อย่านะ อย่าเอาของข้าไป “    ยายปิ่นวิงวอน  กอดถุงตัวเองไว้กับอกแน่น    
“ปล่อยนะ  นังบ้า  บอกให้ปล่อย”  ไอ้หนุ่ยร้องดังๆ  ออกแรงยื้อแย่ง

ก่อนที่ป้าแจ๋วจะไปถึงตัว  ยายปิ่นก็กรีดเสียงร้องออกมาดังๆ  กระชากถุงของตนมาจากไอ้หนุ่ยได้   ก็เหวี่ยงซ้าย ป่ายขวา  ระดมทุบไอ้หนุ่ย  ด่าทอไม่ได้ศัพย์
ไอ้หนุ่ยร้องจ๊าก    เพื่อนในกลุ่มกระจาย ไปคนละทาง   เมื่อกี้   ไอ้หนุ่ย  ยังกร่าง  แต่พอโดนยาย ปิ่นทำร้าย  ก็วิ่งแหกปาก   ร้องให้  กลับไปบ้านใกล้ๆ  
“เป็นไรหรือเปล่า  ยายปิ่น  “  ป้าแจ๋ว ไปนั่งยองๆตรงหน้า ถามยายปิ่น   ที่ เนื้อตัวสั่น  ท่าทางหวาดกลัว  ป้าแจ๋วถอนใจยาว   ยื่นมือไป หมายจะเก็บถุงของแก  ที่ตกกับพื้นให้   แต่ยายปิ่นรีบยื่นมือมากระชากไปเร็ว ๆ   เอามันซุกไว้กับอกแน่นๆ

“ไหน นังบ้า อยู่ ไหน“  พ่อไอ้หนุ่ยปรากฏตัว  ไอ้หนุ่ยตามมาติดๆ  มันฟ้องพ่อเป็นชุด ยายปิ่นทำร้ายมัน  แต่เรื่องที่มันเป็นฝ่ายเริ่มต้น  ก่อกวนยายปิ่น  มันพูดเสียที่ไหน
ก่อนที่คนที่อยู่ในเกตุการณ์  จะรู้อะไร    พ่อไอ้หนุ่ย ที่ร่างกายใหญ่โต ไม่พูดพล่ามทำเพลง   ตรงเข้าไปตบยายปิ่น ซะล้มคว่ำ    โดยไม่ฟังเสียงร้องห้ามของป้าแจ๋ว  
“หยุดนะ  หยุด ทำร้ายยายปิ่น  ไม่งั้น ฉันเรียกตำรวจริงๆด้วย”
“อยากเรียก   เรียกมาเลย    “ พ่อไอ้หนุ่ยท้าทาย   ยังคงสนุกมือกับการทำร้าย ผู้หญิง   ไม่มีทางสู้   ที่คลานหนีไปโอบต้นโพธ์แน่นๆ  ร้องให้กระซิกๆ  เป็นที่น่าเวทนา
ป้าแจ๋ว   ไม่รอช้า   วิ่งแจ้น ไปโทรฯเรียกตำรวจที่ร้านชำข้างๆ  
แต่กว่าตำรวจจะมา   ยายปิ่น หน้าตาก็แตกยับ   ท่ามกลางความสังเวช ใจ   ของคนที่เห็นเหตุการณ์   นอกจากป้าแจ๋ว  ก็ไม่มีใครคิดจะช่วย   คงจะกลัวว่าถ้าเข้าไปช่วย    อาจจะเป็นอย่างยายปิ่นอีกคน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่