บทที่2
เมื่อเริ่มเข้าสู่คิมหันตฤดู ดอกไม้กลางหุบเขาก็แรกแย้มสะพรั่งรับลมหนาว สีเขียวของใบไม้ถูกกลืนไปด้วยสีสันของดอกไม้นานาพันธ์ ดอกชมพูภูพิงค์พร้อมใจกันคลี่กลีบชมพูใสสดเหมือนพวงแก้มหญิงสาวยามมีความรัก ส่วนดอกเสี้ยวไม่น้อยหน้าออกดอกเต็มทุกกิ่งก้านเหมือนปุยนุ่นขาวบริสุทธิ์ปลิวติดต้นไม้ ถัดไปไม่ไกลทุ่งดอกบัวตองก็สีเหลืองอร่ามเหมือนสะท้อนแสงจากรุ่งอรุณยามเช้า ทั่วทั้งดอยถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันสดจากดอกไม้และทะเลหมอกสีขาวเย็น
การได้อยู่ที่นี่ทำให้เวลาเขาหยุดเดิน เขามีความสุขจนไม่อยากรับรู้เรื่องราวข้างนอก เขาเห็นแต่รอยยิ้ม ได้ยินแต่เสียงหัวเราะ แต่เวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“เก็บของเสร็จแล้วก่อ” คำลือเดินเข้ามาถามสีหน้าของเขาดูเป็นมิตรเสมอตั้งแต่วันแรกที่เจอ
“ขอรับ”
“บัวแปงเตรียมเสื้อผ้ามาหื้อเจ้า แล้วนี่แผนที่นำทาง เฮาเขียนขึ้นมา รับไว้เสีย”
“ขอบคุณมากขอรับ” เสือหันไปไหว้ขอบคุณคำลืออย่างซึ้งใจ เกือบสามเดือนที่ผ่านมาเขาได้รับการดูแลจากครอบครัวนี้อย่างดีโดยตลอด เขา
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบแทนครอบครัวนี้ได้อย่างไร
“บ่เป็นหยัง ถือว่าเป๋นบุญวาสนาตี้ได้มาพบกันดีกว่า” คำลือพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วจึงเดินจากไป
เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว
็มองหาคนที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจในหลายวันที่ผ่านมา ตั้งแต่คืนดูดาวคืนนั้น
็รู้สึกว่าบัวแปงพยายามหลบหน้าเขาเกือบทุกครั้งไป นี่จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาได้อยู่ที่นี่ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะมีความทรงจำที่ดีที่สุดก่อนจากไป
เสือออกเดินตามหาสาวบัวแปงจนทั่วหมู่บ้านจนมาเจอหล่อนนั่งเดียวดายอยู่ริมลำธาร ชายหนุ่มจึงไม่รีรอรีบเดินลงไปหาใกล้ๆ
“ข้าขอนั่งด้วยคนจักได้ไหม”
บัวแปงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้า หญิงสาวนั่งเอามือกอดเข่าเหมือนคนมีความในใจ ดวงตาพิสุทธิ์ใสซื่อเหม่อมองออกไปยังที่ใดเขาก็ไม่อาจทราบได้
“เจ้าชอบดูสายน้ำฤา” เสือพยายามชวนคุย
“ลำน้ำไหลไปแล้วบ่ไหลย้อนคืนมา” บัวแปงพูดเสียงเศร้า
“บัวแปงอย่างพูดแบบนั้นสิ”
“เฮาจะทำอะหยังได้ล่ะเจ้า ช่างเต๊อะ อ้ายเสือ เฮาเตรียมข้าวหื้อเป็นเสบียง อย่าลืมเอาติดตัวไปตวยนะเจ้า” สาวบัวแปงตัดบทแล้วเตรียมจะลุกหนีไป
“อย่าเพิ่งไปเลย” เสือคว้าข้อมือเล็กๆไว้ทัน หญิงสาวมีทีท่าตกใจเมื่อโดนสัมผัสของชายหนุ่ม
“อ้ายเสือ ปล่อยเฮาเต๊อะ” บัวแปงพูดเสียงเครียด
“ข้าขอโทษ” เสือรีบปล่อยมือ เขาเองก็ดูเสียใจไม่แพ้หญิงสาว ชายหนุ่มได้แต่มองด้านหลังของบัวแปงด้วยความสะท้อนใจ บัวแปงเดินไปสามสี่ก้าวก็หยุดแล้วเป็นฝ่ายหันหลังกลับมาเสียเอง
“อ้ายเสือ เฮาจักบ่ได้เจอกันแล้วไจ้ก่อ” บัวแปงถามเสียงเบาหวิว
“บัวแปง เราอาจจะได้เจอกันเพียงเท่านี้ แต่เรื่องของเจ้าจะอยู่ในความทรงจำข้าตลอดไป” เสือเดินเข้าไปใกล้เขากุมมือของหญิงสาวเอาไว้ ดวงตาโตหวานปนโศกเปื้อนน้ำตาเหมือนดอกจำปาลาวยามต้องน้ำค้าง
“อ้ายเสือ อู้แต๊ก๊ะ” บัวแปงเงยหน้าขึ้นมามองชายตรงหน้าเหมือนอยากจะได้ยินคำยืนยันอีกครั้ง
“แน่สิ ข้าจะพาเจ้ามาดูอะไร” เสือเดินจูงมือหญิงสาวซึ่งคราวนี้ยินยอมแต่โดยดี เงาเล็กและเงาสูงเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผ่านท้องนาสีทองอร่ามที่ปลูกตามขั้นบันได จนกระทั่งไปถึงหน้าผาสูงชัน
“ที่นี่เป็นที่ข้าชอบมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน” เสือพูดพลางมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะพ้นเส้นขอบฟ้าและเลือนหายไปในเทือกเขาที่ทอดเรียงยาว แสงสีส้มสุดท้ายอาบไล้ไล่แสงและเงางดงามยิ่งกว่าจะหาคำใดมาเปรียบได้
“งามแต๊ แต่เสียดาย บ่เมินก็ลับลาหายไป” บัวแปงสื่อถึงความในใจออกมาเป็นคำพูด
“บัวแปงข้าขอให้เข้าหลับตาสักครู่หนึ่งจักได้ไหม”
บัวแปงมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามที่ชายหนุ่มบอก หญิงสาวหลับตาพริ้มและรอสัญญาณจากชายหนุ่มให้ลืมตา แต่เมื่อเห็นเสือเงียบไปนานหญิงสาวก็เริ่มเอะใจ
“อ้ายเสือ อ้ายอยู่ตี้ใดเจ้า”
“เอาล่ะ ลืมตาได้แล้ว บัวแปง” เสือพูดอย่างแผ่วเบา
เมื่อสาวงามเปิดเปลือกตาก็มองเห็นดอกกล้วยไม้สีขาวศุภรจรูญจรัส ประทินกลิ่นหอมนวลเย้ายวนชวนชมจนยากจะถอนใจไปได้
“ข้ามอบดอกไม้นี่ให้เจ้า แม้ข้าจักไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดอกไม้นี้มีชื่อว่าอะไร แต่เมื่อข้าได้เห็นและได้กลิ่นของมันเพียงครั้งเดียว ข้าก็มิอาจลืมเลือนได้”
“ดอกเอื้องแซะเจ้า” บัวแปงพูดเสียงสั่น
“เอื้องแซะฤา ช่างงามเสียจริง” เสือทิ้งจังหวะพูดแล้วรอให้บัวแปงเงยหน้าประสานสายตา
“เอื้องแซะนั้นงามสูงค่า ตัวเฮานั้นต้อยต่ำ” บัวแปงตัดพ้อ แต่ดวงตานั้นมีแววความสุขอยู่เต็มเปี่ยม
“บัวแปง ข้าจักขอแซมดอกเอื้องแซะนี้จะเจ้าจักได้ไหม”
ดรุณีสาวขวยเขินเอียงหน้าลงต่ำแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธ เสือจึงเขยิบเข้าใกล้ร่างบางนั้น ชายหนุ่มนำดอกเอื้องแซะสีขาวบริสุทธิ์สอดแซมมวยผมสีดำสนิทที่นิ่มยิ่งกว่าเส้นไหม
“ทั้งงามและหอมเหลือเกิน หากข้าจักขอดอมดมใกล้ๆ บัวแปงจักว่าอะไรไหม” เสือรอจังหวะอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวยิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม เขาก็ใช้มือประคองหน้านวลให้เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ และก้มลงจุมพิตหน้าผากของสตรีตรงหน้า กลิ่นกายนางเจือกลิ่นเย้ายวนของดอกเอื้องรัญจวนจนยากจะหักห้ามใจไปได้ ร่างของหญิงสาวสั่นสะเทิ้มระริกจนเสือสัมผัสได้เขาจึงค่อยๆขยับกายออกห่าง
“บัวแปง ขลุ่ยนี้ข้าขอมอบให้เจ้า”
“ขลุ่ยนี้ปู่อ้ายเสือหื้อมาบ่ไจ้ก๋า” บัวแปงที่หน้ายังแดงซ่านอยู่เงยหน้ามาถามด้วยความไม่เชื่อหู
“แต่ตอนนี้ข้าอยากมอบมันให้เจ้า รับไว้เถิด” เสือยืนยัน เขาจับมือเรียวยาวขึ้นมามาและวางขลุ่ยเพียงออลงบนมือนั้นด้วยสัมผัสหนักแน่น
“อ้ายเสืออยู่ตี้นี่เต๊อะ อย่าไปเลย” บัวแปงหมดความอดกลั้นร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยๆ
เสือประคองไหล่ที่สั่นเทาของบัวแปงหวังจะปลอบให้สาวน้อยคลายความโศกลงไปบ้างแต่ก็ทำได้ยากเต็มทีเพราะในใจเขาเองก็มีความทุกข์ใจไม่แพ้กัน “อย่าร้องไห้ไปเลย บัวแปง”
“เรื่องของเฮาเป๋นเพียงแค่ฝันไจ้ก่อ” บัวแปงยังคงสะอึกสะอื้น
“ข้าไม่คิดว่าเรื่องของเราเป็นเพียงแค่นั้น ข้าคิดว่ามันเป็นชะตากรรม เจ้าเคยนึกเสียใจไหมที่ได้เจอข้า” เสือถามเสียงสลด
“เฮาบ่เกยกึ๊ดเสียใจเลยเจ้า เฮาโชคดีหลายตี้ได้เจอกับอ้ายเสือ” บัวแปงยิ้มทั้งน้ำตา
เมื่อได้ยินเช่นนี้
็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่อาบแสงสุดท้ายของวันบนดวงหน้าแฉล้มอย่างเบามือ หากเป็นฝัน ข้าก็มิอยากตื่นเลย
“บัวแปงจะจำอ้ายเสือแบบนี้ตลอดไปนะเจ้า” บัวแปงพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ จากกันหนนี้ เธออาจจะไม่ได้เจอชายผู้นี้อีกเลยก็ได้ ชีวิตบนเส้นทางของหญิงสาวบนไร่บนดอยอย่างเธอไม่ต่างอะไรกับสิ่งของ ชีวิตที่ไม่มีสิทธิได้เลือก ตั้งแต่บัวแปงเริ่มเป็นสาวเธอก็รู้ว่าต้องถูกตบแต่งไปเป็นเมียของแสนภูนายทหารใหญ่แห่งเชียงตุง บัวแปงก้มหน้ายอมรับโชคชะตาแสนกำสรดตลอดมาจนกระทั่งได้มาเจอกับเสือชายแปลกหน้าที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ทำไมหนอเธอถึงได้อาภัพเช่นนี้
แม้บัวแปงจะไม่ได้พูดสิ่งที่หญิงสาวคิดออกมา แต่
็เข้าใจดี ยิ่งเขาทำดีกับเธอมากเท่าไรหญิงสาวก็จะต้องเจ็บปวดมากเป็นสองเท่า เขาควรเป็นคนหันหลังกลับไปและให้หญิงสาวได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นก่อนที่ได้มารู้จักกับเขา
ในตอนเช้าตรู่
ราบลาคำลือก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปยังเส้นทางที่เขาไม่คุ้นเคย เสือมองหาบัวแปงแต่ก็พบกับความว่างเปล่า หญิงสาวที่แสนบอบช้ำนั้นซ่อนตัวอยู่ในห้องนอนพลางแนบหูฟังคำร่ำลาสุดท้ายของชายในดวงใจด้วยใจที่ร้าวราน เมื่อเสียงฝีเท้าลาลับจากเรือนไป สาวงามบัวแปงก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
“บัวแปง” คำลือผู้เป็นบิดาเปิดประตูเข้ามาด้วยความห่วงลูกสาว มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาเจ็บปวดขนาดไหนที่ต้องเห็นชายคนรักจากไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้
บัวแปงเมื่อเห็นพ่อจึงโผเข้าไปกอดทั้งที่น้ำตานองหน้า “ป้อจ๋า ความฮักมันเป็นเช่นนี้ก่อ ยะหยังมันเจ็บปวดเพียงนี้”
“บัวแปง หักห้ามใจเต๊อะ สะลิดสะลักติดต้นบ่าเกว๋น บ่ไจ้ก๋รรมเวรมันตึงบ่ได้”
ลูกสาวนั่งนิ่งตรึกตรองคำพูดของบิดาด้วยหัวใจที่หลุดลอย วาสนาของเธอช่างน้อยเสียจริง บุพเพสันนิวาส เป็นตัวชักนำมาให้ได้เจอกัน แต่เสียดายด้วยบุญกรรมที่ทำมาคงไม่มากพอที่จะได้ร่วมใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
เสือเดินลงเขามาด้วยใจที่หลงทางแม้ในมือจะมีแผนที่ที่คำลือให้มา เขาเดินผ่านทุ่งดอกบัวตองที่เหลืองอร่ามอำไพไปจนสุดลูกลูกตาสาย สายลมหนาวพัดผ่านกลางทุ่งดูคล้ายคลื่นสีทอง บุปผากลีบบางยังคงยืนหยัดท้าสายลมและแสงแดดจวบจนอาทิตย์ตก หมู่บ้านผู้คนเริ่มหายไปเรื่อยๆเมื่อเขาเดินขึ้นที่ราบสูง แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใดเขาก็ยังมีดอกไม้ริมทางสวยงามแปลกตาให้ดูไม่เบื่อ
เมื่อยามราตรีคลาเคลื่อนเข้ามา อากาศกลางหุบเขาก็เย็นยะเยือกจนซึมลึกเข้าไปในกระดูก เขาก่อกองไฟเล็กๆและยังชีพด้วยเสบียงที่บัวแปงเตรียมมาให้ แม้กายจะอบอุ่นขึ้นมาบ้างแต่ในใจเขายังเหน็บหนาวอยู่ไม่คลาย เสือนอนพิงต้นไม้เดียวดายภายใต้แสงดาวที่อยู่เป็นเพื่อนจนถึงรุ่งเช้า
นิยายรักอิงประวัติศาสตร์ รอยระมิงค์ ตอนที่ 2
เมื่อเริ่มเข้าสู่คิมหันตฤดู ดอกไม้กลางหุบเขาก็แรกแย้มสะพรั่งรับลมหนาว สีเขียวของใบไม้ถูกกลืนไปด้วยสีสันของดอกไม้นานาพันธ์ ดอกชมพูภูพิงค์พร้อมใจกันคลี่กลีบชมพูใสสดเหมือนพวงแก้มหญิงสาวยามมีความรัก ส่วนดอกเสี้ยวไม่น้อยหน้าออกดอกเต็มทุกกิ่งก้านเหมือนปุยนุ่นขาวบริสุทธิ์ปลิวติดต้นไม้ ถัดไปไม่ไกลทุ่งดอกบัวตองก็สีเหลืองอร่ามเหมือนสะท้อนแสงจากรุ่งอรุณยามเช้า ทั่วทั้งดอยถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันสดจากดอกไม้และทะเลหมอกสีขาวเย็น
การได้อยู่ที่นี่ทำให้เวลาเขาหยุดเดิน เขามีความสุขจนไม่อยากรับรู้เรื่องราวข้างนอก เขาเห็นแต่รอยยิ้ม ได้ยินแต่เสียงหัวเราะ แต่เวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“เก็บของเสร็จแล้วก่อ” คำลือเดินเข้ามาถามสีหน้าของเขาดูเป็นมิตรเสมอตั้งแต่วันแรกที่เจอ
“ขอรับ”
“บัวแปงเตรียมเสื้อผ้ามาหื้อเจ้า แล้วนี่แผนที่นำทาง เฮาเขียนขึ้นมา รับไว้เสีย”
“ขอบคุณมากขอรับ” เสือหันไปไหว้ขอบคุณคำลืออย่างซึ้งใจ เกือบสามเดือนที่ผ่านมาเขาได้รับการดูแลจากครอบครัวนี้อย่างดีโดยตลอด เขา
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบแทนครอบครัวนี้ได้อย่างไร
“บ่เป็นหยัง ถือว่าเป๋นบุญวาสนาตี้ได้มาพบกันดีกว่า” คำลือพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วจึงเดินจากไป
เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว็มองหาคนที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจในหลายวันที่ผ่านมา ตั้งแต่คืนดูดาวคืนนั้น ็รู้สึกว่าบัวแปงพยายามหลบหน้าเขาเกือบทุกครั้งไป นี่จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาได้อยู่ที่นี่ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะมีความทรงจำที่ดีที่สุดก่อนจากไป
เสือออกเดินตามหาสาวบัวแปงจนทั่วหมู่บ้านจนมาเจอหล่อนนั่งเดียวดายอยู่ริมลำธาร ชายหนุ่มจึงไม่รีรอรีบเดินลงไปหาใกล้ๆ
“ข้าขอนั่งด้วยคนจักได้ไหม”
บัวแปงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้า หญิงสาวนั่งเอามือกอดเข่าเหมือนคนมีความในใจ ดวงตาพิสุทธิ์ใสซื่อเหม่อมองออกไปยังที่ใดเขาก็ไม่อาจทราบได้
“เจ้าชอบดูสายน้ำฤา” เสือพยายามชวนคุย
“ลำน้ำไหลไปแล้วบ่ไหลย้อนคืนมา” บัวแปงพูดเสียงเศร้า
“บัวแปงอย่างพูดแบบนั้นสิ”
“เฮาจะทำอะหยังได้ล่ะเจ้า ช่างเต๊อะ อ้ายเสือ เฮาเตรียมข้าวหื้อเป็นเสบียง อย่าลืมเอาติดตัวไปตวยนะเจ้า” สาวบัวแปงตัดบทแล้วเตรียมจะลุกหนีไป
“อย่าเพิ่งไปเลย” เสือคว้าข้อมือเล็กๆไว้ทัน หญิงสาวมีทีท่าตกใจเมื่อโดนสัมผัสของชายหนุ่ม
“อ้ายเสือ ปล่อยเฮาเต๊อะ” บัวแปงพูดเสียงเครียด
“ข้าขอโทษ” เสือรีบปล่อยมือ เขาเองก็ดูเสียใจไม่แพ้หญิงสาว ชายหนุ่มได้แต่มองด้านหลังของบัวแปงด้วยความสะท้อนใจ บัวแปงเดินไปสามสี่ก้าวก็หยุดแล้วเป็นฝ่ายหันหลังกลับมาเสียเอง
“อ้ายเสือ เฮาจักบ่ได้เจอกันแล้วไจ้ก่อ” บัวแปงถามเสียงเบาหวิว
“บัวแปง เราอาจจะได้เจอกันเพียงเท่านี้ แต่เรื่องของเจ้าจะอยู่ในความทรงจำข้าตลอดไป” เสือเดินเข้าไปใกล้เขากุมมือของหญิงสาวเอาไว้ ดวงตาโตหวานปนโศกเปื้อนน้ำตาเหมือนดอกจำปาลาวยามต้องน้ำค้าง
“อ้ายเสือ อู้แต๊ก๊ะ” บัวแปงเงยหน้าขึ้นมามองชายตรงหน้าเหมือนอยากจะได้ยินคำยืนยันอีกครั้ง
“แน่สิ ข้าจะพาเจ้ามาดูอะไร” เสือเดินจูงมือหญิงสาวซึ่งคราวนี้ยินยอมแต่โดยดี เงาเล็กและเงาสูงเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผ่านท้องนาสีทองอร่ามที่ปลูกตามขั้นบันได จนกระทั่งไปถึงหน้าผาสูงชัน
“ที่นี่เป็นที่ข้าชอบมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน” เสือพูดพลางมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะพ้นเส้นขอบฟ้าและเลือนหายไปในเทือกเขาที่ทอดเรียงยาว แสงสีส้มสุดท้ายอาบไล้ไล่แสงและเงางดงามยิ่งกว่าจะหาคำใดมาเปรียบได้
“งามแต๊ แต่เสียดาย บ่เมินก็ลับลาหายไป” บัวแปงสื่อถึงความในใจออกมาเป็นคำพูด
“บัวแปงข้าขอให้เข้าหลับตาสักครู่หนึ่งจักได้ไหม”
บัวแปงมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามที่ชายหนุ่มบอก หญิงสาวหลับตาพริ้มและรอสัญญาณจากชายหนุ่มให้ลืมตา แต่เมื่อเห็นเสือเงียบไปนานหญิงสาวก็เริ่มเอะใจ
“อ้ายเสือ อ้ายอยู่ตี้ใดเจ้า”
“เอาล่ะ ลืมตาได้แล้ว บัวแปง” เสือพูดอย่างแผ่วเบา
เมื่อสาวงามเปิดเปลือกตาก็มองเห็นดอกกล้วยไม้สีขาวศุภรจรูญจรัส ประทินกลิ่นหอมนวลเย้ายวนชวนชมจนยากจะถอนใจไปได้
“ข้ามอบดอกไม้นี่ให้เจ้า แม้ข้าจักไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดอกไม้นี้มีชื่อว่าอะไร แต่เมื่อข้าได้เห็นและได้กลิ่นของมันเพียงครั้งเดียว ข้าก็มิอาจลืมเลือนได้”
“ดอกเอื้องแซะเจ้า” บัวแปงพูดเสียงสั่น
“เอื้องแซะฤา ช่างงามเสียจริง” เสือทิ้งจังหวะพูดแล้วรอให้บัวแปงเงยหน้าประสานสายตา
“เอื้องแซะนั้นงามสูงค่า ตัวเฮานั้นต้อยต่ำ” บัวแปงตัดพ้อ แต่ดวงตานั้นมีแววความสุขอยู่เต็มเปี่ยม
“บัวแปง ข้าจักขอแซมดอกเอื้องแซะนี้จะเจ้าจักได้ไหม”
ดรุณีสาวขวยเขินเอียงหน้าลงต่ำแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธ เสือจึงเขยิบเข้าใกล้ร่างบางนั้น ชายหนุ่มนำดอกเอื้องแซะสีขาวบริสุทธิ์สอดแซมมวยผมสีดำสนิทที่นิ่มยิ่งกว่าเส้นไหม
“ทั้งงามและหอมเหลือเกิน หากข้าจักขอดอมดมใกล้ๆ บัวแปงจักว่าอะไรไหม” เสือรอจังหวะอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวยิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม เขาก็ใช้มือประคองหน้านวลให้เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ และก้มลงจุมพิตหน้าผากของสตรีตรงหน้า กลิ่นกายนางเจือกลิ่นเย้ายวนของดอกเอื้องรัญจวนจนยากจะหักห้ามใจไปได้ ร่างของหญิงสาวสั่นสะเทิ้มระริกจนเสือสัมผัสได้เขาจึงค่อยๆขยับกายออกห่าง
“บัวแปง ขลุ่ยนี้ข้าขอมอบให้เจ้า”
“ขลุ่ยนี้ปู่อ้ายเสือหื้อมาบ่ไจ้ก๋า” บัวแปงที่หน้ายังแดงซ่านอยู่เงยหน้ามาถามด้วยความไม่เชื่อหู
“แต่ตอนนี้ข้าอยากมอบมันให้เจ้า รับไว้เถิด” เสือยืนยัน เขาจับมือเรียวยาวขึ้นมามาและวางขลุ่ยเพียงออลงบนมือนั้นด้วยสัมผัสหนักแน่น
“อ้ายเสืออยู่ตี้นี่เต๊อะ อย่าไปเลย” บัวแปงหมดความอดกลั้นร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยๆ
เสือประคองไหล่ที่สั่นเทาของบัวแปงหวังจะปลอบให้สาวน้อยคลายความโศกลงไปบ้างแต่ก็ทำได้ยากเต็มทีเพราะในใจเขาเองก็มีความทุกข์ใจไม่แพ้กัน “อย่าร้องไห้ไปเลย บัวแปง”
“เรื่องของเฮาเป๋นเพียงแค่ฝันไจ้ก่อ” บัวแปงยังคงสะอึกสะอื้น
“ข้าไม่คิดว่าเรื่องของเราเป็นเพียงแค่นั้น ข้าคิดว่ามันเป็นชะตากรรม เจ้าเคยนึกเสียใจไหมที่ได้เจอข้า” เสือถามเสียงสลด
“เฮาบ่เกยกึ๊ดเสียใจเลยเจ้า เฮาโชคดีหลายตี้ได้เจอกับอ้ายเสือ” บัวแปงยิ้มทั้งน้ำตา
เมื่อได้ยินเช่นนี้็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่อาบแสงสุดท้ายของวันบนดวงหน้าแฉล้มอย่างเบามือ หากเป็นฝัน ข้าก็มิอยากตื่นเลย
“บัวแปงจะจำอ้ายเสือแบบนี้ตลอดไปนะเจ้า” บัวแปงพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ จากกันหนนี้ เธออาจจะไม่ได้เจอชายผู้นี้อีกเลยก็ได้ ชีวิตบนเส้นทางของหญิงสาวบนไร่บนดอยอย่างเธอไม่ต่างอะไรกับสิ่งของ ชีวิตที่ไม่มีสิทธิได้เลือก ตั้งแต่บัวแปงเริ่มเป็นสาวเธอก็รู้ว่าต้องถูกตบแต่งไปเป็นเมียของแสนภูนายทหารใหญ่แห่งเชียงตุง บัวแปงก้มหน้ายอมรับโชคชะตาแสนกำสรดตลอดมาจนกระทั่งได้มาเจอกับเสือชายแปลกหน้าที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ทำไมหนอเธอถึงได้อาภัพเช่นนี้
แม้บัวแปงจะไม่ได้พูดสิ่งที่หญิงสาวคิดออกมา แต่็เข้าใจดี ยิ่งเขาทำดีกับเธอมากเท่าไรหญิงสาวก็จะต้องเจ็บปวดมากเป็นสองเท่า เขาควรเป็นคนหันหลังกลับไปและให้หญิงสาวได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นก่อนที่ได้มารู้จักกับเขา
ในตอนเช้าตรู่ราบลาคำลือก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปยังเส้นทางที่เขาไม่คุ้นเคย เสือมองหาบัวแปงแต่ก็พบกับความว่างเปล่า หญิงสาวที่แสนบอบช้ำนั้นซ่อนตัวอยู่ในห้องนอนพลางแนบหูฟังคำร่ำลาสุดท้ายของชายในดวงใจด้วยใจที่ร้าวราน เมื่อเสียงฝีเท้าลาลับจากเรือนไป สาวงามบัวแปงก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
“บัวแปง” คำลือผู้เป็นบิดาเปิดประตูเข้ามาด้วยความห่วงลูกสาว มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาเจ็บปวดขนาดไหนที่ต้องเห็นชายคนรักจากไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้
บัวแปงเมื่อเห็นพ่อจึงโผเข้าไปกอดทั้งที่น้ำตานองหน้า “ป้อจ๋า ความฮักมันเป็นเช่นนี้ก่อ ยะหยังมันเจ็บปวดเพียงนี้”
“บัวแปง หักห้ามใจเต๊อะ สะลิดสะลักติดต้นบ่าเกว๋น บ่ไจ้ก๋รรมเวรมันตึงบ่ได้”
ลูกสาวนั่งนิ่งตรึกตรองคำพูดของบิดาด้วยหัวใจที่หลุดลอย วาสนาของเธอช่างน้อยเสียจริง บุพเพสันนิวาส เป็นตัวชักนำมาให้ได้เจอกัน แต่เสียดายด้วยบุญกรรมที่ทำมาคงไม่มากพอที่จะได้ร่วมใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
เสือเดินลงเขามาด้วยใจที่หลงทางแม้ในมือจะมีแผนที่ที่คำลือให้มา เขาเดินผ่านทุ่งดอกบัวตองที่เหลืองอร่ามอำไพไปจนสุดลูกลูกตาสาย สายลมหนาวพัดผ่านกลางทุ่งดูคล้ายคลื่นสีทอง บุปผากลีบบางยังคงยืนหยัดท้าสายลมและแสงแดดจวบจนอาทิตย์ตก หมู่บ้านผู้คนเริ่มหายไปเรื่อยๆเมื่อเขาเดินขึ้นที่ราบสูง แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใดเขาก็ยังมีดอกไม้ริมทางสวยงามแปลกตาให้ดูไม่เบื่อ
เมื่อยามราตรีคลาเคลื่อนเข้ามา อากาศกลางหุบเขาก็เย็นยะเยือกจนซึมลึกเข้าไปในกระดูก เขาก่อกองไฟเล็กๆและยังชีพด้วยเสบียงที่บัวแปงเตรียมมาให้ แม้กายจะอบอุ่นขึ้นมาบ้างแต่ในใจเขายังเหน็บหนาวอยู่ไม่คลาย เสือนอนพิงต้นไม้เดียวดายภายใต้แสงดาวที่อยู่เป็นเพื่อนจนถึงรุ่งเช้า