บทนำ
บทที่
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
วันนี้จะลงให้จบเลยครับ เอาบท 11 ไปก่อน (พึ่งแปลเสร็จอาทิตย์ก่อนเอง
)
แล้วเย็นๆ ค่ำๆ ค่อยบท 12 จนจบครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 11 Last Day
สองวันหลังจากที่นานะจังติวให้ตัวต่อตัววันที่สอง วันนี้เป็นวันศุกร์
นับจากวันนี้ถึงวันสอบซ่อมก็เหลือแค่ 1 วัน หรือก็คือเป็นวันสุดท้ายก่อนสอบซ่อมแล้ว
กริ่งครั้งที่ 4 ของวันดังขึ้น เข้าสู่ช่วงพักเที่ยง
ปกติแล้วผมจะต้องไปที่โรงอาหารกับอิชชิกิแล้วก็สั่งโมริโซบะมากิน แต่วันนี้ผมคิดที่จะทำอย่างอื่นที่ต่างออกไป
ผมคิดที่จะชวนริกกะกินข้าวด้วยกัน แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกตื่นๆแบบนี้นะ ไม่สิ มันก็ต้องอย่างนี้อยู่แล้วล่ะ เพราะการที่จู่ๆไปพูดกับเด็กผู้หญิงว่า ‘กินข้าวกันมั้ย?’ น่ะมันให้ความรู้สึกไม่ต่างกับการชวนไปเดทซักเท่าไรเลยนะ
แล้วมันยิ่งรู้สึกอายเข้าไปใหญ่เลยหลังจากรู้ความรู้สึกของตัวเองเมื่อเร็วๆนี้ แต่ว่านะ มัวแต่ยึกยักแบบนี้มันเปล่าประโยชน์ ต้องพยายามเต็มที่เดินหน้าลูกเดียว
ก่อนอื่นก็หายใจลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วผมก็พูดกับริกกะที่อยู่ข้างหน้า
“ริกกะ กินข้าวด้วยกันมั้ย?”
เสียงของผมดูประหม่าสุดๆ ริกกะหันมาตามเสียงของผม
“ได้”
เธอตอบกลับมาแค่นั้น อืม? ผมหน้านิ่วคิ้วขมวด จะตีความคำตอบนั่นว่ายังไงดีล่ะ ถึงเธอจะผงกหัวให้ แต่วิธีการพูดของเธอมันอาจจะแปลว่าเธอไม่อยากก็ได้รึเปล่านะ
“เอ่อ คือ อะ อิชชิกิด้วย คงไม่เป็นไรนะ?”
ใช้คำตอบคราวนี้เป็นตัวตัดสินล่ะ
“ได้”
คำตอบยังเหมือนเดิม ไม่น่าถามเพิ่มออกไปเลยแฮะ
“อ๊ะ ถ้างั้นจะกินที่ไหนกันดีล่ะ? วันนี้ชั้นเอาข้าวกล่องมาน่ะ”
“อืม นี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะงั้นไปข้างนอกกันดีกว่า ที่ไหนก็ได้ที่ปกคลุมไปด้วยเงาความมืดมิดน่ะ”
ไม่ต้องพูดอย่างกับว่าเราเป็นแวมไพร์จะได้มั้ยเนี่ย ถ้าเป็นแบบนั้นชั้นเองก็ไม่อยากออกไปอยู่ข้างนอกนั่นหรอกนะ เอาเถอะ นี่ก็เป็นวิธีพูดแบบริกกะล่ะนะ คงจะหมายความว่าที่ที่เราจะไปกินกันขอเป็นที่ที่มีร่มเงาแบบนั้นสินะ และเพราะผมยืนยันได้แล้วว่าริกกะเต็มใจรับคำชวน ผมจึงเดินไปหาอิชชิกิโดยมีริกกะตามมาข้างหลัง
“อิชชิกิ! ไปกินข้าวกัน วันนี้มีริกกะมากินด้วยนะ สนรึเปล่า?”
อิชชิกิทำตาโตจนแทบถลนออกมาจากเบ้าจ้องมาที่ผม ทำสีหน้าแบบที่ไม่รู้ว่ากำลังดีใจหรือรู้สึกหนักใจอยู่กันแน่ อะไรล่ะนั่น ยังจะอยู่ในโหมดขี้อายอีกรึไงเนี่ย? ทำปากพะงาบพะงาบเหมือนปลาคาร์ปไล่กินอาหารอย่างบ้าคลั่งเลย ตลกดีแฮะ
“อะ อะไรนะ? จริงรึเปล่านั่น?” [それは誠か? = sore wa makoto ka?]
“นายก็มาโคโตะไง” [อิชชิกิ มาโคโตะ : 一色 誠]
“เฮ้ เฮ้ อย่ามาล้อเล่นกันนะ ทำไมถึงต้องวันนี้……..”
เอ๋? อุตส่าห์พูดติดตลกนะ ดันโดนเมินซะงั้นแฮะ การยิงมุกที่ผ่านมาของผมเหมือนจะโดนทุกคนเมินมาตลอดเลย ท่าทางคงต้องเลิกเป็นฝ่ายยิงมุกเองซะละมั้งเนี่ย…..
แต่ว่านะ ที่ผมพูดคราวนี้โดนตีความไปแบบไหนเนี่ย จะบอกว่าผมกำลังพูดกวนใส่ หรือจะบอกว่าเฉพาะวันนี้ที่ไม่อยากพูดเล่นด้วยน่ะ แบบไหนกันแน่หว่า
“อือ ขอโทษทีที่ดูเหมือนจะพูดกวนนะ…..”
“เปล่าๆ แค่จะบอกว่าวันนี้ไม่ได้น่ะ…..พอดีว่าโดนเรียกตัวจากคณะกรรมการรักษาระเบียบตอนเที่ยงนี่ด้วยน่ะสิ อ๊า….ช่างเป็น 2 ตัวเลือกที่ลำบากสุดๆ กับทาคานาชิซัง…..งั้นเหรอ? ที่ผ่านมานี่ชั้นไม่ได้คุยกับเธอเลยตั้งแต่ตอนนั้น นี่เป็นโอกาสแล้วสินะ? เพราะงั้นด้วยความสัตย์จริง ชั้นคงไม่มีทางเลือกนอกจากเลือกตัวเลือกหลังนี่ล่ะ….”
นั่งก้มหน้าพูดอย่างซีเรียสเชียวนะ ไม่เอาน่า แบบนั้นมันจะทำให้พวกตัวละครผู้จริงจังดูเสื่อมเสียไปด้วยนะ แล้วที่จริงนายควรจะเลือกตัวเลือกแรกไม่ใช่เรอะ!
“ไม่สิ ถึงจะยังงั้นก็เถอะ แต่คนเราถ้าไม่อาจทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมันก็เหมือนกับไม่รับผิดชอบต่อกฎระเบียบสินะ แบบนั้นมันจะทำให้ระเบียบในสังคมดูยุ่งเหยิงไม่ใช่รึไง แบบนั้นได้โดนล้อว่า ‘อิชชิกิคุง โดดประชุมคณะกรรมการรักษาระเบียบสินะ’ แน่ๆ ใช่แล้ว คำตอบมันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้วสินะ ถึงจะโดนชักนำด้วยสิ่งเย้ายวนหอมหวานยังไง แต่ชั้นก็เป็นคณะกรรมการรักษาระเบียบนี่นะ เพราะงั้น ชั้นต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยที่สุด ล่ะนะ”
หลังจากที่ถกเถียงกับตัวเองได้พักนึง ก็ตัดสินใจเลือกตัวเลือกอันแสนเจ็บปวดนั่นสินะ ถึงผมจะคิดว่าการถกเถียงกับตัวเองแบบนั้นมันดูงี่เง่าก็จริง แต่คำตอบที่ออกมาก็สมกับเป็นอิชชิกิดีน่ะนะ จากนั้นอิชชิกิก็พูดกับผมด้วยสีหน้าเหมือนกับได้บรรลุธรรมแล้ว
“ชั้นรู้ตัวแล้ว เพราะงั้นชั้นจะไปประชุมคณะกรรมการรักษาระเบียบล่ะ เพราะงั้นนะ ชั้นขอนายอย่างนึง ขอให้เดทกันอย่างบริสุทธิ์ใจนะ แล้วชั้นจะไม่รบกวนอะไรนายเลย สาบานได้ เพราะชั้นก็ไม่อยากจะมาไต่สวนเรื่องระเบียบวินัยกับนายนักหรอกนะ เอาล่ะ ต้องไปแล้ว เอ้อ แล้วก็ ค่อยๆใช้เวลาให้คุ้มค่าซะนะ ไม่ต้องรีบร้อนไปล่ะ”
เหมือนเห็นวงแหวนอยู่บนหัวไม่มีผิดเลย รู้สึกได้ถึงความเจิดจ้าจากตัวหมอนี่จริงๆ
“อะ เอ้อ โชคดีนะ”
แล้วอิชชิกิก็ลุกขึ้นอย่างแข็งขันอย่างกับพวกทหาร แล้วก็ออกจากห้องไป และเพื่อรักษาระเบียบที่ว่าไม่ให้วิ่งที่ระเบียง หมอนั่นเลยใช้วิธีเดินเร็วแทน การที่เป็นคนจริงจังนี่ก็ลำบากนะ ขณะที่ผมคิดแบบนั้นได้ไม่ทันไร อิชชิกิก็กลับมาที่ห้องเรียน
ลืมของงั้นเหรอ? อ๊ะ คงจะเป็นข้าวกล่องสินะ
แต่ดูจะไม่ใช่แฮะ กลายเป็นเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับจับไหล่ผมซะแน่น
“….ครั้งหน้า ช่วยชวนชั้นอีกนะ ไม่พลาดแน่”
แล้วก็ออกจากห้องไปอีกรอบ ตอนนี้ผมไม่เห็นวงแหวนบนหัวหมอนั่นแล้ว เพราะโดนกิเลสครอบงำเต็มที่เลย สงสัยคราวหน้าได้ปลดปล่อยความชั่วร้ายระดับจอมมารออกมาแน่ เอาเถอะ นั่นก็เป็นอิชชิกิตามปกติล่ะนะ จริงจังเรื่องสาวๆเสมอ
“ยูตะ อันดับหนึ่งแห่งจตุราชาว่าไงบ้าง?”
ริกกะที่ซ่อนอยู่ข้างหลังผมตลอดดึงเสื้อถาม
“อืม ท่าทางวันนี้จะไม่ได้น่ะ หมอนั่นมีประชุมคณะกรรมการรักษาระเบียบพอดีน่ะ”
พูดเสร็จ ผมก็ถอนหายออกมาเหมือนกับรู้สึกโล่งอกไปเลย
“เอาล่ะ ดูเหมือนจะเหลือแค่เราสองคนนี่ล่ะ ไปกันเถอะ”
“รับทราบ”
แล้วเราก็ออกจากอาคารไปหาที่ที่มีร่มเงากัน ริกกะพยายามเดินอยู่ในเงาตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องที่เธอพูดไว้ที่ห้อง ถ้าหลุดออกจากเงาเมื่อไรคือเกมโอเวอร์เลยสินะ ขณะที่ผมกำลังคิดแบบนั้น ก็มาเจอกับม้านั่งใต้ร่มเงาจนได้ เป็นที่ที่ดีเลยนะเนี่ย
“ตรงนั้นเป็นไง?”
“มีร่มเงา ชั้นก็มีชีวิตอยู่ได้”
แล้วเรา 2 คนก็ไปนั่งที่ม้านั่งนั่นกัน มองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีใคร สงสัยจะเป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักกันเท่าไรล่ะมั้ง บรรยากาศดูจะเป็นใจให้หน่อยๆ ทำเอาในหัวผมฟุ้งซ่านไปหมด ต้องตั้งสติคิดถึงเป้าหมายของวันนี้ไว้ให้ดีหน่อยล่ะ
“งั้นก็ มากินกันเลยละกันนะ”
ริกกะเอาข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อมาวางไว้บนตักอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ทำแบบเดียวกัน วางข้าวก่องไว้บนตักจากนั้นก็ประกบมือเข้าหากัน แล้วเราทั้งคู่ก็พูดออกมาพร้อมๆกันว่า ทานล่ะนะครับ/ค่ะ (いただきます = Itadakimasu)
“นี่ ขอถามอะไรแปลกๆหน่อยได้รึเปล่า?”
เพราะผมถามคำถามแปลกๆนี่ขณะที่เธอกำลังจะกิน ริกกะเลยหันมาทางนี้ขณะที่ปากยังอ้าอยู่พร้อมเอียงคอมองผมอย่างสงสัย
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก คือชั้นกับริกกะอยู่ในพันธะสัญญากันใช่มั้ยล่ะ แต่ว่านะ ตัวชั้นที่เป็นคู่ทำสัญญาด้วยเนี่ย คิดว่าตัวเองไม่ค่อยจะรู้เรื่องของริกกะซ้าก~เท่าไรเลยน่ะ”
ผมลากเสียงเล็กน้อย แต่ที่พูดไปนั่นก็เป็นภาษาญี่ปุ่น[ไทย]นะ
“เข้าใจล่ะ”
ริกกะผงกหัวหงึก หงึก แล้วก็หยุดคีบตะเกียบ
“เพราะงั้นน่ะนะ ชั้นเลยชวนเธอมากินข้าวเที่ยงนี่ไงล่ะ คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย?”
“ไม่มีปัญหา”
“งั้นเหรอ โล่งอกไปทีแฮะ แต่ก็นะ ไม่ใช่ว่าอยากจะถามในฐานะผู้ทำสัญญาคนพิเศษอะไรแบบนั้นหรอกนะ”
ผมหัวเราะ ฮะฮะ ออกไป ริกกะเองก็ยิ้มตอบกลับมา
“ชั้นเองก็มีเรื่องอยากจะถามยูตะอยู่เยอะนะ อย่างวันเกิดของยูตะน่ะ”
จะคำถามอะไรก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ
หลังจากนั้นเราก็คุยกันหลายๆเรื่อง อย่างเรื่องริกกะมีเลือดกรุ๊ป AB เอย เรื่องที่เธอมีสองบุคลิกเอย แถมมีถามด้วยว่าอิจฉารึเปล่า? หรือจะเรื่องของกินที่เธอชอบอย่างหมากฝรั่งที่ผมพึ่งให้ไปวันก่อนนี่เธอก็ชอบ อะไรแบบนั้น ดูยังไงก็เป็นบทสนทนาแบบจับฉ่ายไปเรื่อยที่พบเห็นได้เป็นประจำ นี่ถ้าถามกันเรื่องงานอดิเรกของอีกฝ่ายด้วยนี่ได้ดูเหมือนคำถามที่ถามกันเวลาไปดูตัวกันแน่ๆ
และคงเป็นเพราะความรู้สึกที่ชอบเธอ ผมคิดว่าตอนนี้หน้าผมคงหน้าแดงอยู่แน่ๆ ยิ่งมีความอยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายด้วยแล้ว ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนั่นเข้าไปอีก
แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องธรรมดาทั่วไปแบบนี้เลยล่ะมั้งเนี่ย
ถึงจะมีเรื่องเพ้อเจ้อของเธอปนมาบ้าง แต่ก็รู้สึกเหมือนกับแค่กำลังฟังเธอพูดหลายๆอย่างปนกันไปแค่นั้นเอง
(Chuunibyou LN) บทที่ 11.....Last Day
บทที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
วันนี้จะลงให้จบเลยครับ เอาบท 11 ไปก่อน (พึ่งแปลเสร็จอาทิตย์ก่อนเอง )
แล้วเย็นๆ ค่ำๆ ค่อยบท 12 จนจบครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้