บทนำ
บทที่
1 2
หวังว่าสงครามน้องสาวน่าจะสงบแล้วนะ....
ตอนนี้เป็นตอนที่อยู่ในอนิเมตอนที่ 5 ครึ่งหลังครับ เปลี่ยนสถานที่นิดหน่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 3 เริ่มการติวหลังเลิกเรียน
(Houkago Benkyou Time Kaishi : 放課後勉強タイム開始) >> ล้อ K-ON! เห็นๆ
เสียงกริ่งหมดคาบแรกดังขึ้นขณะผมกับนานะจังออกจากห้องพยาบาลมา เราแยกกันแล้วผมก็กลับไปที่ห้องเรียนที่ชั้น 4
มีบางคนที่ออกมาที่ระเบียงช่วงเบรกระหว่างคาบด้วย ต่างจากตอนที่ผมเรียนม.ต้นเลย พอผมเดินผ่านจุดที่ริกกะล้มลง ก็เริ่มสงสัยว่าคนในห้องจะมีปฏิกิริยายังไงกับเรื่องที่เกิดก่อนหน้านั้น
พอมาถึงที่ห้องเรียน ผมพบว่าเสียงในห้องดูวุ่นวายมาก คงเป็นเพราะส่วนใหญ่ยังอยู่ในห้องกัน ถ้าเป็นปกติช่วงนี้คนในห้องมักจะออกมากันเกือบหมดจนห้องแทบเงียบสนิท แต่วันนี้กลับอยู่กันในห้อง
ผมสงสัยเรื่องนี้เลยเดินไปหาอิชชิกิ
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงเจี๊ยวจ๊าวกันขนาดนี้ล่ะ?”
อิชชิกิดูเหมือนกำลังนั่งทวนหนังสือที่โต๊ะอยู่คนเดียว ดูเหมือนกำลังเขียนอะไรในสมุดบันทึกอยู่ แต่พอผมเรียก สมุดนั่นก็โดนเก็บเข้าโต๊ะแทบจะทันที
“โอ้ ยินดีต้อนรับกลับมานะ ท่าทางนายจะทำการปักธงครั้งแรกแล้วสินะ เพราะการกระทำของนายมันเหมือนการปักธงชัดๆเลย”
“อะ ไม่ใช่ซะหน่อย ก็ถ้ามีใครดูท่าทางบาดเจ็บอย่างที่เธอเป็นต่อหน้า จะให้ทำตัวเฉยๆไม่สนใจมันก็ไม่ได้น่ะ อย่ามาเข้าใจอะไรผิดเลยน่า…..”
ผมเกือบจะตะโกนเรื่องที่ว่าเธอเป็นจูนิเบียวจริงๆ ออกมาซะแล้ว และเพราะผมบอกอะไรออกไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอกำลังฟื้นตัว(หรือโดดเรียน)อยู่ในห้องพยาบาลเลย
“เข้าใจผิด? จะเข้าใจผิดหรืออะไรก็ช่าง แต่นายได้ทำการปักธงไปแล้วแน่ๆล่ะ ชั้นกล้าพนันเลย แต่ก็นะ ชั้นหวังว่าเธอคงจะไม่ได้เป็นจูนิเบียวอย่างที่เราเคยคุยกันจริงๆนะ”
“หา!?”
ผมขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัวหลังจากได้ยินที่อิชชิกิพูด ริกกะเป็นจูนิเบียวนั้นเป็นเรื่องจริง และถึงผมจะรู้ว่าเธอเป็นจริงๆ มันก็คงจะไม่ดีถ้าผมจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่นๆ เพราะถ้าบอกออกไปแล้วก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเธอ
“นายไม่ได้ยินเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นร้อนกันอยู่ตอนนี้รึไง? ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันทั้งนั้น เกี่ยวกับข่าวลือเรื่องที่ว่าสาวคนนั้นคือทาคานาชิซังรึเปล่านั่นไง”
“ข่าวลือ? เรื่องที่ว่าเธอเปลี่ยนไปตอนม. 2 นั่นน่ะนะ?”
“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่เรื่องนั้น ชั้นไม่ได้บอกนายเมื่อวานแล้วเหรอ? ว่าพวกเรากำลังสงสัยว่า หรือจะเป็นเธอที่เป็นคนที่สวมหน้ากากแล้วพูดกับพวกครูไปทั่วว่า ‘ที่นี่คือโลกหลังความตาย!’ น่ะ”
“ชั้นไม่เห็นรู้เรื่องนั้นเลย แล้วก็ไม่คิดว่าอยากจะรู้ด้วย!”
อีกครั้งที่ผมขึ้นเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อผมรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้จะพาอันตรายมาใกล้ตัวผมเองแน่ๆ มันอะไรกันนักหนาล่ะนั่น โลกหลังความตาย แบบนั้นแปลว่าพวกเราตายไปแล้ว? แล้วยังพูดใส่พวกครูด้วยเนี่ยนะ!
“อืม ใช่ริก…ทาคานาชิจริงๆเหรอที่สวมหน้ากากพูดกับครูแบบนั้นน่ะ?”
พันธะสัญญากับริกกะ (ล้างสมอง) เกือบทำผมซวยแล้วมั้ยล่ะ ผมเริ่มจะชินกับการเรียกเธอว่าริกกะซะแล้ว โชคดีที่รู้สึกตัวทันนะ ถ้าหมอนี่รู้ตัวว่าผมเปลี่ยนวิธีเรียกชื่อเธอละก็ ผมคงได้ฟังแต่เรื่อง ‘ปักธง’ กับ ‘ขั้นตอนสู่ความรัก’ อย่างไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ
“โอ๊ะ จริงสิ ช่วงที่พวกนายไปที่ห้องพยาบาลกัน มีจดหมายข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกส่งไปรอบห้องเลยล่ะ เพราะงั้นพวกเราเลยเริ่มคุยกันเรื่องนั้นไง”
ข้อความ? แปลว่าเพราะสิ่งนั้นเลยดูเจี๊ยวจ๊าวกันงั้นสิ มิน่าล่ะ เข้าใจเลยว่าคงอยากรู้ว่าสาวในหน้ากากนั่นคือคนในห้องเรารึเปล่าสินะ
แต่ว่าทำไมถึงได้มาเริ่มคุยเรื่องนี้กันล่ะ? แล้วยิ่งกว่านั้น ตอนที่เธอร้องโอดครวญเสียงดังออกมาเมื่อกี้ก็ไม่เห็นมันจะดูเกี่ยวกับสาวใส่หน้ากากอะไรตรงไหนนี่
มันน่าจะเป็นเรื่องของทาคานาชิตอนม.ต้นนั่นแหละ เรื่องที่ว่าตอนม.ต้นเธอใส่หน้ากากอะไรนั่นรึเปล่า? แต่ถึงจะยังงั้น สวมหน้ากากนี่…..
“อา ชั้นพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไม่ในห้องถึงคุยกันเรื่องนี้ แต่ทำไมถึงคิดกันว่าทาคานาชิเป็นคนที่สวมหน้ากากล่ะ? ทุกคนก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าตาของเธอเจ็บอยู่น่ะ?”
“รู้กันอยู่แล้วน่า ว่าแล้วว่านายต้องถาม ตอนแรกชั้นก็คิดอยู่ว่ามันแปลกๆ จนเมื่อชั้นได้ยินเรื่องน่าตกใจขณะที่กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่นี่แหละ รู้สึกว่าบนหน้ากากนั่นจะมีชื่อว่า‘ทาคานาชิ’ เขียนอยู่ล่ะ”
“อืม เข้าใจล่ะว่าทำไมถึงคิดกันไปแบบนั้น เพราะไม่ค่อยจะมีใครชื่อทาคานาชิซะด้วย……นายจะบ้ารึไง!? ถ้าเป็นงั้นจริง ทำไมไม่ไปถามเธอให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ !?”
แบบนั้นมันบ้าบอชัดๆ เป็นมุกใช่มั้ยนั่น แล้วผมก็บ้าพอที่ไปตกใจกับมันด้วยนะ
“ตบมุกโอเวอร์ไปหน่อยนะ แต่นั่นชั้นล้อเล่นน่ะ ที่ได้ยินมาจริงๆคือ เด็กสาวคนนั้นตัวเล็ก และสวมหน้ากากแค่ครึ่งซ้ายเท่านั้น ส่วนตาขวามีผ้าพันแผลอยู่ แถม แขนซ้ายขวาก็เต็มไปด้วยผ้าพันแผลทั้งนั้น นี่ยังไม่รวมพวกผ้าพันคอเครื่องประดับต่างๆของเธออีกนะ พอได้ยินอย่างนี้ มันทาคานาชิซังชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ? เพราะยังงี้แหละชั้นถึงคิดว่าเป็นเธอ”
หน้ากากมันควรจะปิดทั้งหน้าไม่ใช่รึไง หรือว่าจะจงใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าพวกเล่นในโอเปร่าเฮาส์ก็สวมหน้ากากแบบนั้น
แต่การใช้หน้ากาก ผ้าพันแผลปิดบังตามร่างกายมันจะยิ่งทำให้ดูเด่นจนน่าสงสัยมากกว่าจะใช้ปิดบังนะ
“นายกำลังจะบอกว่าทาคานาชิสวมหน้ากาก ผ้าพันแผลแบบนั้นเนี่ยนะ…..นั่นก็เป็นข่าวลืออะไรแปลกๆของทาคานาชิอีกรึเปล่า….นะ?”
เธอมีของพวกนั้นจริงๆ เธอพันผ้าจริง ไม่ต้องคิดอะไรให้มากเลยล่ะ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรื่องนี้นะ แต่ผมว่ามันดูแย่ๆแน่นอนล่ะ
นี่ถ้าหากว่าที่โรงเรียนนี้มีพวกจูนิเบียวอยู่จำนวนมากล่ะก็ ชื่อเสียงโรงเรียนนั้นได้ป่นปี้แน่ๆ แล้วจากนั้นคะแนนสอบเข้าก็จะดิ่งเหว คนจะสมัครเข้าเรียนก็ลดน้อยตามแน่นอน แต่เรื่องนั้นจะยังไงผมก็ไม่สนใจหรอกนะ
แต่เรื่องนี้ก็น่าสงสัยนิดหน่อยแฮะ ไว้ไปถามเธอหลังเลิกเรียนดีกว่า เพราะยังไงก็ต้องอยู่ช่วยติวให้เธอหลังเลิกเรียนอยู่ดีนี่นะ
“เอาเถอะ ปล่อยเรื่องเธอคนนั้นไปก่อน แล้วการปักธงของนายเป็นไงมั่งล่ะ? แต่ถ้าข่าวลือเป็นจริงขึ้นมานี่นายคงจะเจอปัญหาเต็มๆเลยนะ”
“ไม่ใช่ๆ ก็บอกว่าไม่ได้ปักธงอะไรไง ให้พูดว่าไงดี เมื่อกี้ก็มีคุยกับเธอบ้างแหละ อย่าเอาไปคิดอะไรแปลกๆล่ะ แล้วชั้นก็รู้สึกว่าเราคล้ายกันนิดหน่อยด้วยมั้ง”
“จริงเรอะนั่น!? ได้คุยกับเธอด้วยเรอะ? ได้ข้อมูลอะไรมั้ย!? ”
แล้วก็เหมือนเมื่อวาน หน้าตาอิชชิกิตอนนี้ดูมีชีวิตชีวามาก แถมเอาสมุดบันทึกออกมาด้วยความเร็วแสงอีกต่างหาก
ถ้ามีข้อมูลให้เสพนี่ไม่มีพลาดจริงนะ
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะนะ เพราะงั้นขอไม่พูดละกัน ขอโทษด้วยนะ”
“งะ….ไหงงั้น….แต่ก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
แล้วท่าทางกระตือรือร้นนั่นก็กลายเป็นสีหน้าที่ดูผิดหวังสุดๆ ต้องขอโทษด้วย เพราะผมคงพูดเรื่องคะแนนสอบของเธอหรือจูนิเบียวเนตรมารให้ฟังไม่ได้จริงๆ
แล้วผมก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจะพูดเรื่องส่วนตัวออกมามากเท่าไรซะด้วย เพราะงั้นคงเก็บไม่ให้เรื่องนี้รั่วไปได้แหละ
“ท่าทางนายจะจริงจังนะ ที่ว่าจะไม่พูดออกมาน่ะ จะว่าดึงดันดี หรือว่าเป็นเพราะนายอาจจะได้ประโยชน์จากมันกันล่ะ?”
“ไม่ได้จริงจังซะหน่อย ชั้นรู้ว่านายอยากรู้ แต่ชั้นบอกไม่ได้ นายบอกว่าชั้นดึงดัน แต่ทุกคนต่างก็มีความลับกันทั้งนั้นไม่ใช่รึไง? และที่มันถูกเรียกว่าเรื่องส่วนตัวก็เพราะถ้ามีคนที่อยากรู้เกิดรู้เรื่องขึ้นมา มันก็จะไม่ส่วนตัวอีกต่อไปเท่านั้นเอง ชั้นรู้ว่ามันดูไม่ดีที่จะไม่บอกนาย แต่ชั้นบอกใครไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วย เพราะชั้นคงจะเก็บรักษาความลับนี้ไว้ไปตลอดชีวิตนั่นล่ะ”
“เด็ดขาดจริงๆ…เอาเถอะ นั่นถือเป็นสิ่งที่ดีที่คนเราควรมีล่ะนะ”
นั่นทำผมเขินๆนิดหน่อยแฮะ
“ก็แปลว่า นายจะไม่บอกใครแน่ๆงั้นสินะ”
ชั้นก็พูดไปอย่างจริงจังแล้วนะ
“ถ้าแบบนั้นชั้นก็ถามเรื่องนั้นไม่ได้สินะ? แล้วที่ว่านายกับทาคานาชิคล้ายกันน่ะ ชั้นไม่ค่อยเห็นว่าจะเป็นแบบนั้นเลยนี่นะ”
ทำไมวกกลับมาทางนี้อีกล่ะเนี่ย!?
ผมเริ่มคิดที่จะเมินเฉยกับที่หมอนี่จะถามละ เพราะเล่นพูดวกไปวนมาแบบนี้มันเหมือนกับเล่นแคทช์บอลเลย
“อืม เรื่องที่คล้ายกันเหรอ? จากที่คุยกันกับเธอมานิดหน่อย เรื่องที่คล้ายกันคงจะเป็น….ลักษณะนิสัยล่ะมั้ง?”
“โอ้ เข้าใจละ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากเลย ทาคานาชิซังกับโทงาชิมีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกัน…? อย่างนี้นี่เอง”
อิชชิกิพยักหน้าพร้อมทำเสียง ‘อือฮึ’ ออกมาด้วย
“เอ่อ..จากที่ชั้นพูดไปนี่ มันมีข้อมูลอะไรน่าสนเรอะ?”
“ลักษณะนิสัยคล้ายโทงาชิ หรือสั้นๆคือ มีเสน่ห์ของผู้หญิงอยู่เหมือนกันไงล่ะ”
“หมายความว่าไงเนี่ย!?”
“ก็นะ หมายความว่าตัวนายน่ะคล้ายกับเด็กผู้หญิงน่ารักไง จะว่าไปก็น่ากลัวอยู่นะนั่น ดูนั่นสิ! มีมนุษย์เงินเดือนตามหลังนายมาด้วย!”
“อ๊าาาาาาาาา!”
นี้ชั้นไม่ได้ระวังหลังเลยรึเนี่ย….บ้าเอ๊ย….จะโดนอะไรมั้ยเนี่ย
“อืมม มันน่าเสียดายอยู่นะ! ทำไมนายไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงเนี่ย!? อ๊ะ แต่ให้นายแต่งชุดผู้หญิงดูน่าจะพอได้อยู่นะ ว่าไง?”
“ขอปฏิเสธ! เพราะชั้นเกิดมาเป็นเด็กผู้ชายผู้แสนจะป่าเถื่อนต่างหาก!”
“ไม่เห็นเป็นงั้นเลยนี่”
ตอบทันควันจริงๆ นี่ตัวผมมีออร่าความเป็นหญิงอยู่จริงๆน่ะ? หรือว่าเพราะผมเกิดราศีกันย์งั้นเรอะ บ้าเอ้ย ผมขอสาปแช่งเจ้าเดือนเกิดนี่ของผมเลย
“เชอะ ชั้นไม่สนเรื่องแบบนั้นหรอกนะ!”
“พูด’เชอะ’ออกมาได้เจ๋งมาก”
“พอทีเท้อ! คลื่นไส้จะตายแล้ว! คาบต่อไปจะเริ่มแล้ว”
“อ๊ะ การตัดบทสนทนาเมื่อกี้ก็คล้ายกับที่เด็กผู้หญิงเขาชอบทำกันจริงๆเลยนี่ จริงมั้ย? ใช้ได้เลยนี่นา โทงาชิ นายชักจะเริ่มมีเสน่ห์แบบหญิงสาวมากขึ้นทุกทีๆแล้วนะ”
ผมเลิกที่จะตอบโต้อิชชิกิแล้วกลับไปนั่งที่ของผม
ทั้งเรื่องที่เกิดก่อนหน้านั้นที่ห้องพยาบาล แล้วมาเรื่องนี้อีก ผมชักจะเหนื่อยเต็มทน ทั้งๆที่คาบ 2 ยังไม่เริ่มเลย แต่ผมรู้สึกเหมือนพึ่งหมดคาบ 6 ไปยังไงยังงั้น ท่าทางผมน่าจะไปนอนพักที่ห้องพยาบาลจริงๆแฮะ
แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่นั่นมีริกกะอยู่ น่าจะคิดได้ตั้งแต่ที่เห็นที่นั่งข้างหน้าผมว่างเปล่าแล้ว
ริกกะคนนั้น เธอทำให้ผมนึกถึงตัวเองในอดีตจริงๆ
ไม่ใช่แค่การพูด แต่การกระทำก็คล้ายกันด้วย ผมก็เคยที่จะโดดเรียนไปนอนห้องพยาบาลบ่อยๆทุกครั้งที่มีโอกาสเหมือนกัน…..
คงเป็นเพราะผมมองเธอมาได้สักพักแล้ว มองดูเธอมาตลอดช่วงที่ผ่านมาเลย
ผู้ชายถ้ามีความสนใจในตัวเด็กผู้หญิงแล้วล่ะก็ มักจะคอยมองตามหาตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ถึงยังงั้น ผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเท่าไรเลย? ผมเลยสงสัยเกี่ยวกับตัวเธอจริงๆ
มีใครบ้างมั้ยที่จะเข้ามาคุยกับริกกะ
บางทีเธออาจจะเหงาก็ได้
แล้วยังเรื่องที่เธอเปิดเผยความจริงกับผมเพราะไม่รู้ว่าผมไม่ใช่จูนิเบียวอีกต่อไปแล้วนั่นอีก และเพื่อไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้ เธอก็ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผม ใช้คำพูดอันน่าอายของผมจากบนหลังคานั่นเมื่อตอนนั้น
ผมมั่นใจเลยว่าอาการเจ็บตาของเธอมันก็แค่การแสดง คงจะคำนวณจังหวะเวลาเอาไว้แล้วสินะ
ถึงผมจะไม่มีหลักฐานชัดเจนก็เถอะ
ยังไงก็ตาม ผมคิดว่ามันก็ดูไม่เลวเท่าไรที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับริกกะเพิ่มขึ้นน่ะนะ
อีกอย่างสำหรับคนเป็นจูนิเบียวแล้ว การมีคนที่คอยรับฟังเข้าใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ผมต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมซะหน่อยนี่ ถึงแม้ว่าการที่อยู่ในพันธะสัญญานั่นอาจทำให้ผมหายขาดจากจูนิเบียวช้าลงอีกหน่อยก็ช่างมันเถอะ ใช่แล้ว ผมคิดว่าผมจะคอยอยู่เป็นเพื่อนกับเธอเอง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(Chuunibyou LN) บทที่ 3 .... เริ่มการติวหลังเลิกเรียน
บทที่ 1 2
หวังว่าสงครามน้องสาวน่าจะสงบแล้วนะ....
ตอนนี้เป็นตอนที่อยู่ในอนิเมตอนที่ 5 ครึ่งหลังครับ เปลี่ยนสถานที่นิดหน่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้