THE TALENT
จอมคนจุติสวรรค์พันธุ์นักรบ
ศึกที่สอง อาณาจักรมหาสงคราม
บทที่ 1 : เปิดฉากประจัญบาญป้อมปราการตะวันตก
ซาโก้ ไวทอน ก้มลงจากหลังนกยักษ์กุริม เขาพิจารณาภาพที่มองจากเบื้องบน นักรบจำนวนมหาศาลเดินแถวสู่พระราชวังแห่งทูรูส ขบวนนักรบนั้นจัดตามกองพันกองร้อยและหมู่ รวมถึงมีการแยกหน่วยที่จำเป็นในการรบ ชุดนักรบสีแดงน้ำตาลประดับยศต่างๆ เรียงกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบ มือซ้ายของหนุ่มผมแดงเกาะร่างของญาติผู้พี่ไว้แน่น มือขวากุมพลองอันเป็นอาวุธประจำตัวที่ทรงอานุภาพร้ายแรง
ไดกิฟ ญาติผู้พี่ของซาโก้กระตุกบังเหียนนกยักษ์ให้พุ่งตัวลงตามแถวของนักรบ เมื่อใกล้ถึงพื้นดิน นักรบและประชาชนเห็นนกยักษ์ที่ติดสัญลักษณ์อาณาจักรทูรูส ต่างก็ชี้ชวนกันดู นักรบผู้อยู่บนนกยักษ์ มีชายในชุดดำซึ่งทุกคนรู้ดีว่าเป็นชุดประจำหน่วยเสือดำของทูรูส และอีกคนใส่ชุดเหมือนนักเดินทางพเนจรทั่วไป แต่ผมบนศีรษะมีสีแดงเหมือนโลหิต
ใครบางคนรู้จักชายสองคนบนหลังนกยักษ์ก็ตะโกนเรียกชื่อกันขึ้นมา ไดกิฟไม่ค่อยชินกับการเป็นที่สะดุดตาสักเท่าไหร่ เขายังตั้งใจบังคับนกยักษ์สู่จุดหมายเบื้องหน้า เมื่อเสียงเรียกชื่อ "ซาโก้!" ดังขึ้น เขารีบหันไปมองที่มาของเสียง มีนักรบที่เป็นเพื่อนร่วมรั้วสถาบันอาราเมอิสต์อยู่หลายคน ก่อนที่นกยักษ์จะพุ่งตัวผ่านประตูอันใหญ่โตของเขตพระราชวังทูรูส ซาโก้เห็นเอ็ดการ์ด เอจเดอร์ สหายผมสีแดงอยู่ในขบวนนักรบตรงนั้นด้วย
นกยักษ์ลงแตะพื้นบริเวณลานหน้าพระราชวัง บริเวณประตูใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักรบชั้นสูงสุดของอาณาจักรทูรูสจำนวนหลายคน กำลังรอเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์แห่งอาณาจักรทูรูส ราชองครักษ์หลายนายยืนถืออาวุธเป็นหอกยาวป้องกันประตูอยู่ ทุกสายตานั้นกำลังจ้องมองมาที่นกยักษ์กุริมและบุคคลทั้งสองบนหลังนก
ไดกิฟถอดแว่นที่คาดตาออกแล้วลงจากอานนก ชายหนุ่มผมแดงกระโดดตามลงมา พวกเขารีบปัดเศษฝุ่นออกจากร่างกาย
“ข้า นายพันชั้นโท ไดกิฟ ไวทอน แห่งหน่วยเสือดำ ขอเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ โปรดทูลพระองค์ว่าภารกิจทั้งสองอย่างนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ข้านำตัวนายกองชั้นเอก ซาโก้ ไวทอน มารายงานตัวต่อพระองค์ตามรับสั่งแล้ว พะยะค่ะ" ไดกิฟคุกเข่าข้างเดียวและค้อมศีรษะลง
นักรบชั้นสูงผู้หนึ่งพยักหน้าให้ราชองครักษ์รีบเข้าไปตามเสด็จองค์กษัตริย์ ไดกิฟและซาโก้นั่งคุกเข่าในท่านั้นอยู่อย่างนิ่งเงียบ หัวใจของซาโก้เต้นแรงมากด้วยความตื่นเต้น เขาเคยเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์มาแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่พิเศษ เพราะเขาไม่รู้ว่าพระองค์จะทำอย่างไรกับนักโทษแหกคุกอย่างเขา ในเมื่อพระองค์ทรงเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้ปราบศัตรูของอาณาจักรทูรูสลงได้
“องค์กษัตริย์ เอ็ดเวิร์ด เจเนซิส ที่สิบสอง แห่งทูรูส เสด็จ" เสียงนักรบราชองครักษ์ผู้ประจำการที่ประตูตะโกน
นักรบทั้งหมดต่างนั่งคุกเข่าลงข้างเดียวโดยพร้อมเพรียง เสียงอึกทึกในบริเวณหน้าพระราชวังก่อนหน้านี้ เงียบลงในบัดดล ซาโก้ลอบเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย องค์กษัตริย์เสด็จออกที่ลานหน้าปราสาทแห่งทูรูสพร้อมองค์ราชินีทราเวียและพระมเหสีรองนอร์มิซิส ตามด้วยองค์ชายทั้งสาม และเหล่านักรบชั้นจอมพลขั้นสูง
กษัตริย์แห่งทูรูสทรงพระชมมายุได้หกสิบพรรษาแล้ว ร่างกายสูงใหญ่ที่เคยเป็นกษัตริย์นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก ตอนนี้ทรงทรุดโทรมลงด้วยโรคภัย ผมบนศีรษะพระองค์เหลือเพียงเส้นผมสีเทาไม่มาก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ดวงตาสีดำนั้นยังคงส่องประกาย ฉลองพระองค์ชุดนักรบสีแดงประดับเครื่องทรงสีทองประจำตำแหน่งรอบตัว ทั้งเหรียญตราประดับบนเสื้อก็มีมาก ไม่กี่ปีมานี้เองที่ซาโก้เข้าพิธีสถาปนาตนเป็นนักรบ เขาได้เข้าเฝ้าพระองค์ พระองค์ยังไม่ทรงชราเพียงนี้ คงเป็นเพราะโรคร้ายและความวิตกกังวลถึงสงคราม
พระมเหสีทั้งสอง พระราชินีองค์เอกนั้นเป็นหญิงดูชราตามวัย แต่ผมยังสีดำขลับ ร่างผอมแต่ยังดูเปล่งปลั่งมีพระพลานามัยสมบูรณ์อยู่ แต่ดวงพระเนตรเหม่อลอยไม่สนใจผู้คนที่อยู่ตรงหน้ามากนัก ส่วนพระมเหสีรองนอร์มิสิสยังเป็นสาวใหญ่พระชนม์ไม่น่าจะเกิดสี่สิบพรรษา พระองค์มีร่างผอมสูงและใบหน้างดงามแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวในที พระองค์ดูจะสนใจซาโก้มากกว่าใคร เมื่อพระองค์เดินเข้าใกล้ชายหนุ่มทั้งสองที่คุกเข่าถวายความเคารพแบบนักรบอยู่ ซาโก้ก็ได้ยินเสียงพระองค์พูดว่า
“ในที่สุดก็มาถึงจนได้ เจ้าหินไฟของข้า"
คำพูดนี้ทำให้ซาโก้รู้สึกแปลกๆ หวิวๆ ที่สันหลัง ไม่ทราบว่าเพราะเหมือนกับเขาเป็นที่คาดหวังหรือเพราะคำพูดของพระองค์ดูเอ็นดูเขาอย่างประหลาด
“ไดกิฟ เจ้าทำได้ดีเสมอ แต่คราวนี้ใช้เวลานานเสียจนข้านึกว่าจะไม่ทันการศึกเสียแล้ว อย่างไรก็ต้องขอชมเจ้าที่ทำทั้งสองภารกิจได้อย่างดี ตอนนี้พวกเตมุนกำลังเดือดร้อนเรื่องอาวุธยุทโธของพวกมัน และนี่...ตรงหน้าข้าก็ได้ยลโฉมเจ้าหนุ่มซาโก้ ไวทอน ตัวจริง ไหนเจ้าเงยหน้าขึ้นซิ ซาโก้" องค์กษัตริย์ตรัส พระองค์ก้มหน้ามองชายหนุ่มผมสีแดงดุจโลหิตชะโลม
“พะยะค่ะ" ซาโก้เงยหน้าขึ้น ดวงตาแข็งขัน
“โอ้...เจ้านี่... หน้าเหมือนพ่อเจ้าอย่างกับคนคนเดียวกัน พ่อเจ้าสมัยหนุ่มๆ หน้าตาท่าทางแบบนี้เลย" พระดำรัสของพระองค์ถึงชายผู้นั้น ทำให้ซาโก้สะดุ้ง
“นี่... บิลโล ลูกชายของเจ้ากลับมาแล้ว ถือซะว่าข้าขอชีวิตเขาไว้แล้วกัน" องค์กษัตริย์หันไปยังนักรบชั้นสูงผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังของพระองค์ จอมพลบิลโล ไวทอน บิดาผู้ให้กำเนิดซาโก้
ดวงตาสีดำของซาโก้จ้องเข้ากับดวงตาสีดำของชายสูงวัย ใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นมีริ้วรอยแห่งความสูงวัยเพิ่มขึ้น จากวันสุดท้ายที่ซาโก้ได้เห็น ร่างสูงสันทัดนั้นที่ซาโก้เคยคิดว่าสูงใหญ่ ขณะนี้เขาคงสูงใหญ่กว่าแล้ว เขาสวมชุดนักรบเต็มยศ สะพายดาบข้างลำตัวด้านขวาด้วยความเป็นคนถนัดซ้าย ชายผู้นี้เป็นกระจกสะท้อนของซาโก้ ในขณะที่ซาโก้ก็เป็นกระจกสะท้อนชายผู้นี้ เป็นเวลาเกือบสองปีได้แล้วที่ซาโก้ไม่ได้เห็นหน้าชายผู้นี้อีกเลย ไม่แม้แต่อยากจะนึกถึง เพราะนี่คือความเจ็บปวดที่สุด โทษทัณฑ์ที่ทำให้เขาต้องระเห็ดไปไกลจากบ้านเกิด เพียงเพราะพลั้งมือเกือบฆ่าชายผู้นี้
“พะยะค่ะ" บิลโลก้มหัวและทำท่าแสดงความเคารพแบบยืน คือยกมือขวาขึ้นแตะที่ปลายคิ้ว เป็นท่าทำความเคารพแบบยืนของนักรบ เขาค้อมศีรษะด้วยให้เกียรติอย่างสูงสุดกับผู้เป็นกษัตริย์
“ก่อนหน้านี้ข้าต้องนอนป่วยอย่างไร้ความหวัง กระทั่งนอร์มิซิสได้กล่าวถึงนิมิตนั้น เมื่อปรากฏว่าคนตรงตามนิมิตนั้นมีจริง เป็นเรื่องบังเอิญแท้ที่บุคคลนั้นเป็นบุตรของบิลโล นักรบผู้แข็งแกร่งผู้นี้ได้ช่วยข้าไว้อย่างมากมาย ลูกชายของเขาก็กำลังจะดำเนินรอยตาม ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี" องค์กษัติรย์ก้มลงแตะบ่าของชายหนุ่มผมแดง
“ซาโก้เอ๋ย...ข้าได้ไว้ชีวิตแก่เจ้าแล้ว ฉะนั้นเจ้าจงสู้ให้สมแก่ค่าของชีวิตเจ้า ข้าอยากได้หัวของเจ้าอาคา แม่ทัพของมัน เจ้าไปเอามาให้ข้าได้ไหม ซาโก้"
“พะยะค่ะ" ซาโก้ตอบรับอย่างมั่นใจ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความปิติที่ได้พ้นโทษอันหนักอึ้ง อีกทั้งเขายังได้รบเพื่อองค์กษัติรย์และอาณาจักรอย่างที่ต้องการเสียที
“ดีมาก ข้าชอบคนหนุ่มแบบนี้จริงๆ ….วันนี้ก็อย่างที่เจ้าเห็น กองทัพทั้งหมดมารายงานตัวแล้ว ทัพเราคราวนี้ใหญ่โตราวกับตั้งทัพช้างไปเหยียบทัพหนูเตมุน แต่เหตุเพราะทัพของมันไม่ใช่หนูธรรมดาอย่างที่พวกเราคิด" องค์กษัตริย์เสด็จผ่านหน้านักรบหนุ่มทั้งสองคน สู่ที่แท่นประกาศที่มีเครื่องขยายเสียงให้พระองค์ตรัสกับนักรบทุกคนของพระองค์ได้โดยตรง
“นักรบผู้มีเกียรติทุกท่าน จงยืนขึ้นเถิด ข้าขอขอบคุณท่านนักรบทุกท่านที่ได้เดินทางมารายงานตัวร่วมศึกในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นว่ามีผู้กล้าที่จงรักภักดีต่ออาณาจักรทูรูสอันยิ่งใหญ่ของเรา ศัตรูที่มารุกรานเรานั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจแกร่งไปกว่าพวกเรา นักรบแห่งอาณาจักรทูรูสอันเกรียงไกร รุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ทุกท่านจะเดินทัพสู่สมรภูมิเพื่อนำชัยชนะมาสู่อาณาจักรของเรา ขอพระเจ้าโปรดประทานพร ขอสดุดีแด่พระเจ้าของเรานักรบแห่งมวลมนุษยชาติ ในพระนามแห่งพระองค์ เราจะแพ้ไม่ได้ แม้ร่างกายเราจะสูญสิ้นบนแผ่นดินแห่งสรรพชีวิต ก็ขอให้กองทัพของพวกเราได้รับชัยชนะ เพื่อกอบกู้อาณาจักรทั้งหลายแห่งมนุษย์กลับส่สันติสุขปราศจากอสูรร้ายอีกตลอดอนันตกาล"
องค์กษัตริย์ได้ปลุกใจและกล่าวบทภาวนาต่อพระเจ้า ให้นักรบทุกคนฮึกเหิมพร้อมต่อสู้ นักรบทุกคนส่งเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
ซาโก้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าองค์กษัตริย์ด้วยมือขวาทั้งห้านิ้วเหยียดตรง ปลายนิ้วชี้แตะที่ปลายคิ้ว นักรบเรียกการเคารพเช่นนี้ว่าท่าวันทยาหัตถ์ ซาโก้ฟังคำสวดภาวนาที่เหล่านักรบทูรูสมักจะกล่าวก่อนออกรบ ราวกับเป็นสากลทั่วโลก เพราะเขาได้ยินบทสวดนี้ก่อนออกรบที่ทุ่งเชกาด้า จากปากของนักรบบางคนรอบตัวในตอนนั้น แต่ความหมายที่แท้จริงของคำภาวนา นักรบทูรูสทั้งหมดนี้คงไม่เข้าใจถ่องแท้ เพราะทั้งหมดยังไม่รู้ว่าอสูรยังมีตัวตนอยู่บนโลก คำว่ามนุษย์ คำว่าอสูร ชัดเจนในคำภาวนาที่ท่องกันมาอย่างยาวนาน
ก่อนองค์กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดจะเสด็จกลับพระราชฐานนั้น พระองค์ได้ตรัสกับนักรบสูงวัยผู้ยืนอยู่ข้างบิลโล ไวทอน และชี้มาที่ซาโก้ นักรบสูงวัยยกมือแตะปลายคิ้วทำความเคารพ
"ข้าขอมอบหมายให้จอมพลเรซิล เลย์นาร์ด รับซาโก้เข้ากองทัพฝ่ายหน้า เรซิล เจ้าจงให้ซาโก้ร่วมในหน่วยประจัญบาญ"
“แต่หากนักรบผู้นี้เป็นตัวสำคัญในการทัพ เหตุใดพระองค์ไม่เก็บให้เขาอยู่ในส่วนกลาง หากอยู่ในหน่วยประจัญบาญทะลวงฟัน จอมพลเรซิลทัดทานไว้ เขามองหนุ่มผมแดงผู้ยืนตรงอยู่เบื้องล่าง ดูอายุน้อยยังเยาว์ยิ่งนัก ดีไม่ดีจะโดนพลปืนพลธนูฝ่ายตรงข้ามยิงเอาจนตายได้
“ข้าเชื่อมั่นใจตัวบุตรชายของบิลโล เด็กน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดาหรอก ท่านเรซิล ดูแววตาของเขาสิ นี่คือแววตาของนักรบที่แท้่จริง" องค์กษัตริย์ทิ้งท้ายไว้ก่อนเสด็จผ่านพระทวารกลับไป
จอมพลบิลโลมองมายังลูกชายด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะเดินตามเสด็จองค์กษัตริย์กลับไปในพระราชวัง ในหมู่จอมพลชั้นสูงทั้งหมด มีจอมพลเรซิลเพียงคนเดียวที่เดินลงมาจากบันไดชั้นบนของทางขึ้นปราสาท จอมพลมองชายหนุ่มแล้วก็ถอนใจ ชายหนุ่มหลายคนในสังกัดของเขาต้องล้มหายตายด้วยอาวุธศัตรู จอมพลเรซิลเป็นชายอายุคราวเดียวกับพ่อของซาโก้ ร่างใหญ่โตล่ำสัน ผมสีน้ำตาลเข้มหวีเรียบร้อย เมื่อเดินลงจากบันไดมา เขายิ้มให้กับซาโก้ที่รีบแสดงความเคารพเอามือขวาแตะหางคิ้วอย่างเข้มแข็ง มือซ้ายจับพลองแนบลำตัว เป็นท่าทำความเคารพ ตามที่เคยได้รับการฝึกเมื่อนานมาแล้ว
“เอ้า...ตอบข้าซิ ซาโก้....เจ้าจากที่นี่ไปด้วยยศอะไร" เขาถามเมื่อเดินมาหยุดที่หน้านักรบหนุ่ม
“นายกองชั้นเอกขอรับ" ซาโก้ไม่สามารถนำยศที่อคาเดียมาใช้กับอาณาจักรที่เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมนักรบเช่นนี้ได้ ยศศักดิ์บนบ่านักรบของทูรูสถือเป็นสิ่งที่ระบุอย่างเคร่งครัดในกฏระเบียบทางการรบ
“พ่อเจ้าบอกว่าเจ้าจบจากอาราเมอิสต์ …..เมื่อจบสถาบันนักรบหลวง นักรบผู้นั้นจะได้รับยศนายกอง เจ้าเป็นนายกองชั้นเอก เคยร่วมรบมาแล้วใช่ไหม" จอมพลเรซิลถาม
“ครับ ข้าเคยเป็นพลเดินเท้าในทัพหลัง ร่วมศึกอาณาจักรชิไช กองร้อยของข้าไปติดกับดักสัตว์ปีศาจของศัตรู ข้าพาเพื่อนรอดออกมาได้ เขาก็เลยติดยศให้ข้าสองขั้น" ซาโก้พูด แต่ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจจนเขาไม่อยากจะจำ แท้จริงแล้วนายกองชั้นเอกสองคนและนายกองชั้นโทสามคนที่คุมกองนี้เสียชีวิต เขาเป็นนายกองชั้นตรีคนเดียว คุมพลนักรบที่เหลืออยู่ฝ่าฟันออกมาได้ จากร้อยคนเหลือเพียงสิบเอ็ดคน นายกองอีกสี่คนเสียชีวิตในหน้าที่ได้รับเลื่อนยศสองขั้น ซาโก้ที่เป็นชั้นนักรบชั้นสูงในกองเดียวกันจึงกลายเป็นผู้ได้ยศนั้นไปด้วย ในฐานะผู้กล้าหาญเก่งกาจที่รอดชีวิต
“หืม...น่าสนใจดีนี่ ข้าได้ยินวีรกรรมของกองร้อยนั้น รู้สึกจะเป็นกองร้อยแปดสิบแปดใช่ไหม"
“ครับ" ซาโก้จำได้ดี
“เอาล่ะ ในศึกนี้เจ้ามาอยู่ในทัพหน้าของข้า ข้าจะให้ไทเลอร์เป็นคนดูแลเจ้า" จอมพลผู้อาวุโสเรียกชายผู้หนึ่งออกมาจากแถวนักรบที่เข้าขบวนรายงานตัว เขาเป็นชายผมสีดำ ตาสีดำ ร่างเล็ก น่าจะสูงเท่าพีคเท่านั้นเอง
“ครับ! ท่านจอมพล" ชายผู้นั้นรับคำด้วยท่าทำความเคารพแบบยืนตัวตรงมือแตะปลายคิ้ว แล้วเดินตรงมาหาซาโก้
..................
THE TALENT ศึกที่สอง อาณาจักรมหาสงคราม บทที่ 1 : เปิดฉากประจัญบาญป้อมปราการตะวันตก
จอมคนจุติสวรรค์พันธุ์นักรบ
ศึกที่สอง อาณาจักรมหาสงคราม
บทที่ 1 : เปิดฉากประจัญบาญป้อมปราการตะวันตก
ซาโก้ ไวทอน ก้มลงจากหลังนกยักษ์กุริม เขาพิจารณาภาพที่มองจากเบื้องบน นักรบจำนวนมหาศาลเดินแถวสู่พระราชวังแห่งทูรูส ขบวนนักรบนั้นจัดตามกองพันกองร้อยและหมู่ รวมถึงมีการแยกหน่วยที่จำเป็นในการรบ ชุดนักรบสีแดงน้ำตาลประดับยศต่างๆ เรียงกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบ มือซ้ายของหนุ่มผมแดงเกาะร่างของญาติผู้พี่ไว้แน่น มือขวากุมพลองอันเป็นอาวุธประจำตัวที่ทรงอานุภาพร้ายแรง
ไดกิฟ ญาติผู้พี่ของซาโก้กระตุกบังเหียนนกยักษ์ให้พุ่งตัวลงตามแถวของนักรบ เมื่อใกล้ถึงพื้นดิน นักรบและประชาชนเห็นนกยักษ์ที่ติดสัญลักษณ์อาณาจักรทูรูส ต่างก็ชี้ชวนกันดู นักรบผู้อยู่บนนกยักษ์ มีชายในชุดดำซึ่งทุกคนรู้ดีว่าเป็นชุดประจำหน่วยเสือดำของทูรูส และอีกคนใส่ชุดเหมือนนักเดินทางพเนจรทั่วไป แต่ผมบนศีรษะมีสีแดงเหมือนโลหิต
ใครบางคนรู้จักชายสองคนบนหลังนกยักษ์ก็ตะโกนเรียกชื่อกันขึ้นมา ไดกิฟไม่ค่อยชินกับการเป็นที่สะดุดตาสักเท่าไหร่ เขายังตั้งใจบังคับนกยักษ์สู่จุดหมายเบื้องหน้า เมื่อเสียงเรียกชื่อ "ซาโก้!" ดังขึ้น เขารีบหันไปมองที่มาของเสียง มีนักรบที่เป็นเพื่อนร่วมรั้วสถาบันอาราเมอิสต์อยู่หลายคน ก่อนที่นกยักษ์จะพุ่งตัวผ่านประตูอันใหญ่โตของเขตพระราชวังทูรูส ซาโก้เห็นเอ็ดการ์ด เอจเดอร์ สหายผมสีแดงอยู่ในขบวนนักรบตรงนั้นด้วย
นกยักษ์ลงแตะพื้นบริเวณลานหน้าพระราชวัง บริเวณประตูใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักรบชั้นสูงสุดของอาณาจักรทูรูสจำนวนหลายคน กำลังรอเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์แห่งอาณาจักรทูรูส ราชองครักษ์หลายนายยืนถืออาวุธเป็นหอกยาวป้องกันประตูอยู่ ทุกสายตานั้นกำลังจ้องมองมาที่นกยักษ์กุริมและบุคคลทั้งสองบนหลังนก
ไดกิฟถอดแว่นที่คาดตาออกแล้วลงจากอานนก ชายหนุ่มผมแดงกระโดดตามลงมา พวกเขารีบปัดเศษฝุ่นออกจากร่างกาย
“ข้า นายพันชั้นโท ไดกิฟ ไวทอน แห่งหน่วยเสือดำ ขอเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ โปรดทูลพระองค์ว่าภารกิจทั้งสองอย่างนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ข้านำตัวนายกองชั้นเอก ซาโก้ ไวทอน มารายงานตัวต่อพระองค์ตามรับสั่งแล้ว พะยะค่ะ" ไดกิฟคุกเข่าข้างเดียวและค้อมศีรษะลง
นักรบชั้นสูงผู้หนึ่งพยักหน้าให้ราชองครักษ์รีบเข้าไปตามเสด็จองค์กษัตริย์ ไดกิฟและซาโก้นั่งคุกเข่าในท่านั้นอยู่อย่างนิ่งเงียบ หัวใจของซาโก้เต้นแรงมากด้วยความตื่นเต้น เขาเคยเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์มาแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่พิเศษ เพราะเขาไม่รู้ว่าพระองค์จะทำอย่างไรกับนักโทษแหกคุกอย่างเขา ในเมื่อพระองค์ทรงเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้ปราบศัตรูของอาณาจักรทูรูสลงได้
“องค์กษัตริย์ เอ็ดเวิร์ด เจเนซิส ที่สิบสอง แห่งทูรูส เสด็จ" เสียงนักรบราชองครักษ์ผู้ประจำการที่ประตูตะโกน
นักรบทั้งหมดต่างนั่งคุกเข่าลงข้างเดียวโดยพร้อมเพรียง เสียงอึกทึกในบริเวณหน้าพระราชวังก่อนหน้านี้ เงียบลงในบัดดล ซาโก้ลอบเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย องค์กษัตริย์เสด็จออกที่ลานหน้าปราสาทแห่งทูรูสพร้อมองค์ราชินีทราเวียและพระมเหสีรองนอร์มิซิส ตามด้วยองค์ชายทั้งสาม และเหล่านักรบชั้นจอมพลขั้นสูง
กษัตริย์แห่งทูรูสทรงพระชมมายุได้หกสิบพรรษาแล้ว ร่างกายสูงใหญ่ที่เคยเป็นกษัตริย์นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก ตอนนี้ทรงทรุดโทรมลงด้วยโรคภัย ผมบนศีรษะพระองค์เหลือเพียงเส้นผมสีเทาไม่มาก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ดวงตาสีดำนั้นยังคงส่องประกาย ฉลองพระองค์ชุดนักรบสีแดงประดับเครื่องทรงสีทองประจำตำแหน่งรอบตัว ทั้งเหรียญตราประดับบนเสื้อก็มีมาก ไม่กี่ปีมานี้เองที่ซาโก้เข้าพิธีสถาปนาตนเป็นนักรบ เขาได้เข้าเฝ้าพระองค์ พระองค์ยังไม่ทรงชราเพียงนี้ คงเป็นเพราะโรคร้ายและความวิตกกังวลถึงสงคราม
พระมเหสีทั้งสอง พระราชินีองค์เอกนั้นเป็นหญิงดูชราตามวัย แต่ผมยังสีดำขลับ ร่างผอมแต่ยังดูเปล่งปลั่งมีพระพลานามัยสมบูรณ์อยู่ แต่ดวงพระเนตรเหม่อลอยไม่สนใจผู้คนที่อยู่ตรงหน้ามากนัก ส่วนพระมเหสีรองนอร์มิสิสยังเป็นสาวใหญ่พระชนม์ไม่น่าจะเกิดสี่สิบพรรษา พระองค์มีร่างผอมสูงและใบหน้างดงามแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวในที พระองค์ดูจะสนใจซาโก้มากกว่าใคร เมื่อพระองค์เดินเข้าใกล้ชายหนุ่มทั้งสองที่คุกเข่าถวายความเคารพแบบนักรบอยู่ ซาโก้ก็ได้ยินเสียงพระองค์พูดว่า
“ในที่สุดก็มาถึงจนได้ เจ้าหินไฟของข้า"
คำพูดนี้ทำให้ซาโก้รู้สึกแปลกๆ หวิวๆ ที่สันหลัง ไม่ทราบว่าเพราะเหมือนกับเขาเป็นที่คาดหวังหรือเพราะคำพูดของพระองค์ดูเอ็นดูเขาอย่างประหลาด
“ไดกิฟ เจ้าทำได้ดีเสมอ แต่คราวนี้ใช้เวลานานเสียจนข้านึกว่าจะไม่ทันการศึกเสียแล้ว อย่างไรก็ต้องขอชมเจ้าที่ทำทั้งสองภารกิจได้อย่างดี ตอนนี้พวกเตมุนกำลังเดือดร้อนเรื่องอาวุธยุทโธของพวกมัน และนี่...ตรงหน้าข้าก็ได้ยลโฉมเจ้าหนุ่มซาโก้ ไวทอน ตัวจริง ไหนเจ้าเงยหน้าขึ้นซิ ซาโก้" องค์กษัตริย์ตรัส พระองค์ก้มหน้ามองชายหนุ่มผมสีแดงดุจโลหิตชะโลม
“พะยะค่ะ" ซาโก้เงยหน้าขึ้น ดวงตาแข็งขัน
“โอ้...เจ้านี่... หน้าเหมือนพ่อเจ้าอย่างกับคนคนเดียวกัน พ่อเจ้าสมัยหนุ่มๆ หน้าตาท่าทางแบบนี้เลย" พระดำรัสของพระองค์ถึงชายผู้นั้น ทำให้ซาโก้สะดุ้ง
“นี่... บิลโล ลูกชายของเจ้ากลับมาแล้ว ถือซะว่าข้าขอชีวิตเขาไว้แล้วกัน" องค์กษัตริย์หันไปยังนักรบชั้นสูงผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังของพระองค์ จอมพลบิลโล ไวทอน บิดาผู้ให้กำเนิดซาโก้
ดวงตาสีดำของซาโก้จ้องเข้ากับดวงตาสีดำของชายสูงวัย ใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นมีริ้วรอยแห่งความสูงวัยเพิ่มขึ้น จากวันสุดท้ายที่ซาโก้ได้เห็น ร่างสูงสันทัดนั้นที่ซาโก้เคยคิดว่าสูงใหญ่ ขณะนี้เขาคงสูงใหญ่กว่าแล้ว เขาสวมชุดนักรบเต็มยศ สะพายดาบข้างลำตัวด้านขวาด้วยความเป็นคนถนัดซ้าย ชายผู้นี้เป็นกระจกสะท้อนของซาโก้ ในขณะที่ซาโก้ก็เป็นกระจกสะท้อนชายผู้นี้ เป็นเวลาเกือบสองปีได้แล้วที่ซาโก้ไม่ได้เห็นหน้าชายผู้นี้อีกเลย ไม่แม้แต่อยากจะนึกถึง เพราะนี่คือความเจ็บปวดที่สุด โทษทัณฑ์ที่ทำให้เขาต้องระเห็ดไปไกลจากบ้านเกิด เพียงเพราะพลั้งมือเกือบฆ่าชายผู้นี้
“พะยะค่ะ" บิลโลก้มหัวและทำท่าแสดงความเคารพแบบยืน คือยกมือขวาขึ้นแตะที่ปลายคิ้ว เป็นท่าทำความเคารพแบบยืนของนักรบ เขาค้อมศีรษะด้วยให้เกียรติอย่างสูงสุดกับผู้เป็นกษัตริย์
“ก่อนหน้านี้ข้าต้องนอนป่วยอย่างไร้ความหวัง กระทั่งนอร์มิซิสได้กล่าวถึงนิมิตนั้น เมื่อปรากฏว่าคนตรงตามนิมิตนั้นมีจริง เป็นเรื่องบังเอิญแท้ที่บุคคลนั้นเป็นบุตรของบิลโล นักรบผู้แข็งแกร่งผู้นี้ได้ช่วยข้าไว้อย่างมากมาย ลูกชายของเขาก็กำลังจะดำเนินรอยตาม ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี" องค์กษัติรย์ก้มลงแตะบ่าของชายหนุ่มผมแดง
“ซาโก้เอ๋ย...ข้าได้ไว้ชีวิตแก่เจ้าแล้ว ฉะนั้นเจ้าจงสู้ให้สมแก่ค่าของชีวิตเจ้า ข้าอยากได้หัวของเจ้าอาคา แม่ทัพของมัน เจ้าไปเอามาให้ข้าได้ไหม ซาโก้"
“พะยะค่ะ" ซาโก้ตอบรับอย่างมั่นใจ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความปิติที่ได้พ้นโทษอันหนักอึ้ง อีกทั้งเขายังได้รบเพื่อองค์กษัติรย์และอาณาจักรอย่างที่ต้องการเสียที
“ดีมาก ข้าชอบคนหนุ่มแบบนี้จริงๆ ….วันนี้ก็อย่างที่เจ้าเห็น กองทัพทั้งหมดมารายงานตัวแล้ว ทัพเราคราวนี้ใหญ่โตราวกับตั้งทัพช้างไปเหยียบทัพหนูเตมุน แต่เหตุเพราะทัพของมันไม่ใช่หนูธรรมดาอย่างที่พวกเราคิด" องค์กษัตริย์เสด็จผ่านหน้านักรบหนุ่มทั้งสองคน สู่ที่แท่นประกาศที่มีเครื่องขยายเสียงให้พระองค์ตรัสกับนักรบทุกคนของพระองค์ได้โดยตรง
“นักรบผู้มีเกียรติทุกท่าน จงยืนขึ้นเถิด ข้าขอขอบคุณท่านนักรบทุกท่านที่ได้เดินทางมารายงานตัวร่วมศึกในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นว่ามีผู้กล้าที่จงรักภักดีต่ออาณาจักรทูรูสอันยิ่งใหญ่ของเรา ศัตรูที่มารุกรานเรานั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจแกร่งไปกว่าพวกเรา นักรบแห่งอาณาจักรทูรูสอันเกรียงไกร รุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ทุกท่านจะเดินทัพสู่สมรภูมิเพื่อนำชัยชนะมาสู่อาณาจักรของเรา ขอพระเจ้าโปรดประทานพร ขอสดุดีแด่พระเจ้าของเรานักรบแห่งมวลมนุษยชาติ ในพระนามแห่งพระองค์ เราจะแพ้ไม่ได้ แม้ร่างกายเราจะสูญสิ้นบนแผ่นดินแห่งสรรพชีวิต ก็ขอให้กองทัพของพวกเราได้รับชัยชนะ เพื่อกอบกู้อาณาจักรทั้งหลายแห่งมนุษย์กลับส่สันติสุขปราศจากอสูรร้ายอีกตลอดอนันตกาล"
องค์กษัตริย์ได้ปลุกใจและกล่าวบทภาวนาต่อพระเจ้า ให้นักรบทุกคนฮึกเหิมพร้อมต่อสู้ นักรบทุกคนส่งเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
ซาโก้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าองค์กษัตริย์ด้วยมือขวาทั้งห้านิ้วเหยียดตรง ปลายนิ้วชี้แตะที่ปลายคิ้ว นักรบเรียกการเคารพเช่นนี้ว่าท่าวันทยาหัตถ์ ซาโก้ฟังคำสวดภาวนาที่เหล่านักรบทูรูสมักจะกล่าวก่อนออกรบ ราวกับเป็นสากลทั่วโลก เพราะเขาได้ยินบทสวดนี้ก่อนออกรบที่ทุ่งเชกาด้า จากปากของนักรบบางคนรอบตัวในตอนนั้น แต่ความหมายที่แท้จริงของคำภาวนา นักรบทูรูสทั้งหมดนี้คงไม่เข้าใจถ่องแท้ เพราะทั้งหมดยังไม่รู้ว่าอสูรยังมีตัวตนอยู่บนโลก คำว่ามนุษย์ คำว่าอสูร ชัดเจนในคำภาวนาที่ท่องกันมาอย่างยาวนาน
ก่อนองค์กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดจะเสด็จกลับพระราชฐานนั้น พระองค์ได้ตรัสกับนักรบสูงวัยผู้ยืนอยู่ข้างบิลโล ไวทอน และชี้มาที่ซาโก้ นักรบสูงวัยยกมือแตะปลายคิ้วทำความเคารพ
"ข้าขอมอบหมายให้จอมพลเรซิล เลย์นาร์ด รับซาโก้เข้ากองทัพฝ่ายหน้า เรซิล เจ้าจงให้ซาโก้ร่วมในหน่วยประจัญบาญ"
“แต่หากนักรบผู้นี้เป็นตัวสำคัญในการทัพ เหตุใดพระองค์ไม่เก็บให้เขาอยู่ในส่วนกลาง หากอยู่ในหน่วยประจัญบาญทะลวงฟัน จอมพลเรซิลทัดทานไว้ เขามองหนุ่มผมแดงผู้ยืนตรงอยู่เบื้องล่าง ดูอายุน้อยยังเยาว์ยิ่งนัก ดีไม่ดีจะโดนพลปืนพลธนูฝ่ายตรงข้ามยิงเอาจนตายได้
“ข้าเชื่อมั่นใจตัวบุตรชายของบิลโล เด็กน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดาหรอก ท่านเรซิล ดูแววตาของเขาสิ นี่คือแววตาของนักรบที่แท้่จริง" องค์กษัตริย์ทิ้งท้ายไว้ก่อนเสด็จผ่านพระทวารกลับไป
จอมพลบิลโลมองมายังลูกชายด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะเดินตามเสด็จองค์กษัตริย์กลับไปในพระราชวัง ในหมู่จอมพลชั้นสูงทั้งหมด มีจอมพลเรซิลเพียงคนเดียวที่เดินลงมาจากบันไดชั้นบนของทางขึ้นปราสาท จอมพลมองชายหนุ่มแล้วก็ถอนใจ ชายหนุ่มหลายคนในสังกัดของเขาต้องล้มหายตายด้วยอาวุธศัตรู จอมพลเรซิลเป็นชายอายุคราวเดียวกับพ่อของซาโก้ ร่างใหญ่โตล่ำสัน ผมสีน้ำตาลเข้มหวีเรียบร้อย เมื่อเดินลงจากบันไดมา เขายิ้มให้กับซาโก้ที่รีบแสดงความเคารพเอามือขวาแตะหางคิ้วอย่างเข้มแข็ง มือซ้ายจับพลองแนบลำตัว เป็นท่าทำความเคารพ ตามที่เคยได้รับการฝึกเมื่อนานมาแล้ว
“เอ้า...ตอบข้าซิ ซาโก้....เจ้าจากที่นี่ไปด้วยยศอะไร" เขาถามเมื่อเดินมาหยุดที่หน้านักรบหนุ่ม
“นายกองชั้นเอกขอรับ" ซาโก้ไม่สามารถนำยศที่อคาเดียมาใช้กับอาณาจักรที่เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมนักรบเช่นนี้ได้ ยศศักดิ์บนบ่านักรบของทูรูสถือเป็นสิ่งที่ระบุอย่างเคร่งครัดในกฏระเบียบทางการรบ
“พ่อเจ้าบอกว่าเจ้าจบจากอาราเมอิสต์ …..เมื่อจบสถาบันนักรบหลวง นักรบผู้นั้นจะได้รับยศนายกอง เจ้าเป็นนายกองชั้นเอก เคยร่วมรบมาแล้วใช่ไหม" จอมพลเรซิลถาม
“ครับ ข้าเคยเป็นพลเดินเท้าในทัพหลัง ร่วมศึกอาณาจักรชิไช กองร้อยของข้าไปติดกับดักสัตว์ปีศาจของศัตรู ข้าพาเพื่อนรอดออกมาได้ เขาก็เลยติดยศให้ข้าสองขั้น" ซาโก้พูด แต่ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจจนเขาไม่อยากจะจำ แท้จริงแล้วนายกองชั้นเอกสองคนและนายกองชั้นโทสามคนที่คุมกองนี้เสียชีวิต เขาเป็นนายกองชั้นตรีคนเดียว คุมพลนักรบที่เหลืออยู่ฝ่าฟันออกมาได้ จากร้อยคนเหลือเพียงสิบเอ็ดคน นายกองอีกสี่คนเสียชีวิตในหน้าที่ได้รับเลื่อนยศสองขั้น ซาโก้ที่เป็นชั้นนักรบชั้นสูงในกองเดียวกันจึงกลายเป็นผู้ได้ยศนั้นไปด้วย ในฐานะผู้กล้าหาญเก่งกาจที่รอดชีวิต
“หืม...น่าสนใจดีนี่ ข้าได้ยินวีรกรรมของกองร้อยนั้น รู้สึกจะเป็นกองร้อยแปดสิบแปดใช่ไหม"
“ครับ" ซาโก้จำได้ดี
“เอาล่ะ ในศึกนี้เจ้ามาอยู่ในทัพหน้าของข้า ข้าจะให้ไทเลอร์เป็นคนดูแลเจ้า" จอมพลผู้อาวุโสเรียกชายผู้หนึ่งออกมาจากแถวนักรบที่เข้าขบวนรายงานตัว เขาเป็นชายผมสีดำ ตาสีดำ ร่างเล็ก น่าจะสูงเท่าพีคเท่านั้นเอง
“ครับ! ท่านจอมพล" ชายผู้นั้นรับคำด้วยท่าทำความเคารพแบบยืนตัวตรงมือแตะปลายคิ้ว แล้วเดินตรงมาหาซาโก้
..................