เพิ่งอ่าน"นายใน"จบ มีคำถาม มาถามเพื่อนๆ

กระทู้คำถาม
ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ"พระราชนิยม"ตามที่ในหนังสือมาบอกเล่า
ก็เป็นที่ประจักษ์มาตั้งร้อยกว่าปี ตั้งแต่พระองค์ท่านทรงเป็นมกุฎราชกุมาร
ยิ่งพระพันปีคงยิ่งชัดเจนกว่าใครๆ แต่ทำไมบ้านเราถึงพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึง
ด้วยเหตุผลว่าข้าแผ่นดินไม่บังควรจะไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินหรือเปล่า?
หรือว่าเพื่อนๆคิดเห็นเป็นเยี่ยงไรกันบ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ที่ผมไม่อ่าน นายใน เพราะว่า ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่อง ปกติ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ของ ประวิติศาสตร์โลก ไม่ว่าจะแถบไหน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ผมเป็นนักเรียนประจำ หนึ่งในโรงเรียนที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือนายใน ผมซื้ออ่านตั้งแต่ออกใหม่ๆ และอ่านรวดเดียวจนจบ
อ่านจบแล้วผมกลับมีความรู้สึกว่า ผู้เขียนพยายาม "ยัดเยียด" ความเป็นพวกรักร่วมเพศ ให้กับนักเรียนประจำจนเกินเหตุ
โยงเหตุการณ์ต่างๆมาปะติดปะต่อโดยยกประเด็นที่คิดว่าจะมาใช้แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายรักกัน  ในขณะที่พวกเราโตมาในโรงเรียน
ประจำกลับเห็นต่างอย่างสิ้นเชิง ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนอย่างพวกเรา ยอมรับว่าแตกต่างกับนักเรียนไปกลับอย่างมาก
ผมจบมากว่า 25 ปี แต่เรายังสนิทสนมกัน เข้าใจกัน แต่มิใช่แนวรักร่วมเพศแต่เพราะเราทำกิจกรรมด้วยกันมากมาย
ผ่านทุกข์ผ่านสุข โดนตี โดนทำโทษ มา ซึ่งสิ่งเหล่านี้อธิบายยากสำหรับคนที่ไม่เคยผ่านโรงเรียนประจำอย่างพวกเรามา
  อ่านจบแล้วรู้สึกสงสารพระองค์ที่ไม่สามารถแก้ตัวใดๆได้ ได้ถุกคนรุ่นหลังปู้ยี่ปู้ยำโดยอ้างว่า "เป็นผลงานวิชาการ"
ผมว่าไม่แฟร์เท่าไหร่นะครับ
ความคิดเห็นที่ 21
อาจจะเข้ามาตอบช้าสักหน่อย คงไม่เป็นไรนะคะ ^^
ส่วนตัวหลังจากที่อ่านจบมาตั้งแต่ซื้อมาใหม่ๆ ดิฉันมองว่าเป็นงานเขียนที่ออกแนวจิ้นๆ นิดหน่อย หมายความว่าผู้เขียนเขาคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเอาแหล่งอ้างอิงที่สนับสนุนความคิดของตนมาอ้างเพื่อให้เหตุผลของตัวเองดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือซึ่งตรงส่วนนี้ไม่สามารถเชื่อตามผู้เขียนได้ ลักษณะการอ้างอิงก็ไม่ได้มีความรอบด้านมากพอ

วิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม ยอมรับว่ายังไม่ได้อ่านนะคะ และคิดว่าคงไม่ตามไปหาอ่านแล้ว เพราะดูจากแหล่งอ้าอิงท้ายเล่มที่เขายกมาก็คงเอามาทั้งหมด ยอมมรับว่าเยอะแต่มันเป็นไปในทางเดียวกัน เอาง่ายๆ แค่เอกสารอ้างอิงบวกกับวิธีการอ้างอิงของผู้เขียนดิฉันก็ไม่เชื่อถือแล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้มองว่าผู้เขียนนั่งเทียนเขียนมั่วนะคะ แค่บอกว่าออกแนวจิ้น การเขียนไปอ้างอิงไปนั้นไม่ใช่การนั่งเทียนแน่นอน เพียงแต่รู้สึกว่าเหมือนผู้เขียนมีโครงเรื่องและตอนจบไว้ในใจแล้วเท่านั้น และการที่นำเนื้อหาในวิทยานิพนธ์มาไม่ครบหรือปรับสำนวนภาษาใหม่ ดิฉันมองว่าไม่สำคัญค่ะ กลับมองว่าในหนังสือผู้เขียนใช้ภาษาได้ดีด้วยซ้ำ เพราะอ่านแล้วรู้เรื่อง เข้าใจง่าย แต่เนื้อหาจะมาครบไหมนั้นสำหรับดิฉันไม่สำคัญแล้วค่ะ เพราะนี่ขนาดเนื้อหาเอามาไม่หมด ดิฉันก็เห็นถึงความคิดสำคัญของเนื้อหาแล้ว

อีกนิด ประเด็นทุกเรื่องในประวัติศาสตร์สามารถถกกันได้อย่างเสรี แต่เรื่องนี้นอกจากเนื้อหาไม่แปลกใหม่แล้ว สารภาพว่างงเลยค่ะว่าเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ออกมาเป็นเล่มเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ได้ไง

เรียนด้วยความเคารพค่ะ
ความคิดเห็นที่ 17
ถามผมคิดว่าวิทยานิพนธ์ในประเทศไทยหลายเล่มยังไม่ผ่านนะครับ
เขียนจากจินตนาการยังผ่านกันไปได้เยอะ
ผู้เีขียนเขียนถึงผู้ล่วงลับ ไม่ต้องว่าเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินหรอกครับ เป็นคนธรรมดาก้อเถอะ
มันง่ายครับ เอาเอกสารอะไรมา บันทึกอะไรมา ตัดแปะและตีความตามจินตนาการของตัวเอง
เขียนไปคนที่ถูกอ้างถึง ไม่ได้มีคำพูด หรือสิ่งใดจะมาปกป้องตัวเองได้เลย

เท่าที่เห็นผู้เขียนเองก้อเป็นผู้ที่ผิดเพศแล้วกันครับ ไม่รู้ว่าเป็นแบบไหนยังไง
และที่มากกว่านั้นคาดว่าอยากดังครับ เขียนเรื่องแบบนี้มันดังแน่ๆ โดนด่าก้อดังแล้ว
ในทางกลับกันผมอยากรู้ว่าถ้าผู้เขียนไปเขียนเรื่องอย่างคุณพานทองแืท้ว่าเป็นแบบนี้บ้าง
อาจจะเป็นไบเป็นอะไรแล้วแต่ แล้วพวกที่เป็นเสื้อแดงจะว่าเหมือนกับนักเรีนประจำที่ออกมาพูดหรือเปล่า?

ปัจจุบันคนไทยชอบบอกว่าตัวเองรู้ แต่จริงๆคือ เขาเล่าว่า ได้ยินมาว่า วงในว่า
ไม่ได้เห็นไม่ได้รับรู้จริงๆ แต่เชื่อจริงๆ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เชื่อว่าตัวเองรู้
วิทยานิพนธ์ไม่ได้ยืนยันว่าสิ่งนั้นเป็นจริงหรือถูกครับ แต่อาจารย์ที่อนุมัติให้ทำเห็นด้วยแค่นั้นเท่านั้น

ผมเองเป็นเด็กประจำเหมือนกัน ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า
ผู้เขียนเรื่องนี้ เคย แม้แต่จะเหยียบเข้าไปในโรงเรียนประจำที่กล่าวอ้างถึงสักครั้งหรือไม่?
เพราะวิธีชีวิตในโรงเรียนประจำ มันต่างจากจินตนาการของคนข้างนอกมากนัก
และเรื่องเพศที่กล่าวอ้างนั้น มันเป็นเรื่องแค่มุมเล็กๆ ในสังคมใหญ่ๆภายในโรงเรียน

การที่จะมีคนเข้าไปฟังและโต้แย้งในการเสวนาหนังสือ ไม่น่าประหลาดใจหรอกครับถ้าผู้เขียนหนังสือ
จะเจอคำถามแรงๆ คำพูดแรงๆ แต่หวังว่าจะไม่มีความรุนแรงอย่างอื่นครับเดี๋ยวจะดังเกินไป
หวังว่าคงเตรียมตัวให้ดีแล้วกันครับผู้เขียนนะครับ
เอกสารที่กล่าวอ้าง มีแค่ตัวหนังสือกับจินตนาการของตัวเอง
เรื่องจริงๆเป็นอย่างไร ต้องตอบว่า"ไม่มีใครรู้"มากกว่าครับ
ความคิดเห็นที่ 10
สำหรับเรื่องกีฬาฟุตบอล  ที่หนังสือนายในกล่าวว่า

"...เปนสิ่งที่ได้ให้ผลดีกว่าอย่างอื่นในการเพาะความรู้สึกเปนมิตร์ และชักนำให้บุคคลต่างหมู่ต่างเหล่าได้มามีโอกาสพบปะกระทำความสามัคคีสนิทสนมซึ่งกันและกัน...เวลาใดที่คนหนุ่มๆ มาประชุมรวมกันอยู่ในที่แห่งเดียวกันเป็นจำนวนมาก จะเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม ความคะนองอันเป็นธรรมดาแห่งวิสัยหนุ่มจำเป็นต้องมีทางระบายออกโดยอาการอย่างใดอย่าง ๑..."

พระราชอรรถาธิบายที่ในหลวงรัชกาลที่ 6 มีต่อกีฬาฟุตบอล

แต่บางส่วนจากพระบรมราชาธิบายฉบับเต็ม ที่หนังสือนายในหยิบยกมานั้น มีดังนี้
"ในสมัยนี้มีคนพอใจชอบเล่นกันเปนอันมาก แลไม่ต้องสงสัยเลยคงจะเปนการเล่นที่จะยั่งยืนต่อไปในกรุงเทพฯ ข้อนี้ก็ไม่ปลาดอะไร แต่ท่านทั้งหลายคงจะได้สังเกตเห็นแล้วว่าฟุตบอลซึ่งเปนการเล่นของชาวอังกฤษโดยแท้นั้น พึ่งจะได้มีคนนิยมเล่นกันมากใน ๔ – ๕ ปีนี้เอง. ตามโรงเรียนต่างๆ นั้น ได้เล่นกันมานานแล้วจริงอยู่ แต่ในหมู่ทหารพึ่งจะได้มาแลเห็นเล่นกันหนาตาขึ้นในเร็วๆ นี้เอง. ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารย่อมทราบอยู่ดีแล้วว่า เวลาใดที่คนหนุ่มๆ มาประชุมรวมกันอยู่ในที่แห่งเดียวกันเปนจำนวนมาก จะเปนทหารหรือพลเรือนก็ตาม ความคนองอันเปนธรรมดาแห่งวิสัยหนุ่มจำเปนต้องมีทางระบายออกโดยอาการอย่างใดอย่าง ๑ ในสมัยก่อนเมื่อครั้งกองทัพของเราได้เริ่มจัดระเบียบขึ้นตามแบบของกองทัพเยอรมันโดยเคร่งครัดนั้น การเล่นใดๆ และการกรีฑาทั้งปวงย่อมนับว่าเปนสิ่งที่ไม่สมควรแก่ทหาร เพราะฉนั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่าด้วยเหตุนี้เองผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารของเรา ถึงจะไม่ห้ามปรามตรงๆ จึงไม่ใคร่จะได้อุดหนุนส่งเสริมการเล่นอย่างใดๆ ทั้งสิ้น จริงอยู่การกรีฑาได้มีมาแล้วเปนครั้งคราว และเราก็ยังจำได้ว่าได้เคยเห็นการกรีฑาของทหารที่ท้องสนามหลวงมาแล้ว ๒ คราว แต่การกรีฑาอย่างที่จัดมาแล้วนั้นเปนแต่การชั่วคราว ความพยายามที่จะบำรุงการเล่นในหมู่ทหารเพื่อให้เปนทางออกกำลังกายและหย่อนใจนั้นนับว่าไม่มีเลย เพราะฉนั้นทหารไทยเราจึงล้วนเปนผู้ที่ได้เคยต้องประพฤติตนอย่างที่ชนเยอรมันเขาเห็นว่าสมควรแก่ทหาร แต่ซึ่งชาวเราเห็นว่าไม่สนุกอย่างยิ่ง

ในกองทัพบกอังกฤษ เขาย่อมมีการเล่นแลกรีฑาต่างๆ ส่วนในกองทัพบกรัสเซียเขาก็อุดหนุนการเต้นรำและร้องเพลงเปนทางบรรเทิงใจในหมู่ทหาร ฝ่ายกองทัพเยอรมันนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าทหารมีทางบันเทิงใจโดยอาการอย่างไร ข้าพเจ้าได้ยินแต่กิติศัพท์เขาว่าวิธีเดินก้าวช้ายกขาสูงๆ ซึ่งฝรั่งเขาเรียกกันว่า “เดินตีนห่าน” นั่นแหละเปนวิธีที่เยอรมันเขาใช้สำหรับฝึกหัดกำลังกาย ซึ่งผู้บังคับบัญชาในกองทัพอันเปนเจ้าของแบบอย่างนั้นได้ให้อนุมัติเห็นชอบด้วย. การเดินชนิดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะต้องใช้กำลังมากจริง แต่จะนับว่าเปนทางบันเทิงใจนั้นยังแลไม่เห็น แต่อย่างไรก็ดี วิธีเดินตีนห่านนี้ หาได้นำเอามาใช้เปน แบบอย่างในกองทัพไทยเราไม่ และเมื่อการเล่นอย่างใดๆ อื่นก็มิได้จัดให้มีขึ้น ทหารของเราจึงมิได้มีการเล่นเพื่อหย่อนใจและออกกำลังกายเลย เว้นไว้แต่การฝึกหัดดัดตนและหัดกำลังกาย ซึ่งทหารของเราก็ถือว่าเปนการงาน มิใช่การเล่น. ทางหย่อนใจนี้แหละเปนสิ่งที่ทหารเราต้องการ ก็เมื่อทหารเหล่านี้ไม่มีทางที่จะระบายความคนองซึ่งมีอยู่โดยธรรมดานั้นโดยอาการอันปราศจากโทษและสนุกสนาน คือ มีการเล่นชนิดที่ออกกำลังกายอย่างลูกผู้ชาย อีกประการหนึ่งการดื่มเหล้าเบียร์ฤาก็มิใช่เปนทางหย่อนใจที่จะหาได้ด้วยราคาถูกเหมือนอย่างในเมืองอื่นบางเมือง ทหารของเราตามทางราชการ จึงนับว่าไม่มีทางสนุกสนานหย่อนใจอะไรเลย แต่ในทางซึ่งมิใช่ราชการหรือทางส่วนตัวนั้น เขาทั้งหลายบางทีก็ระบายความคนองของเขาโดยวิธีไม่สนุกแก่พลเรือนเลย (เพราะพลเรือนมักต้องหัวแตก) และไม่ขันสำหรับพลตระเวนด้วย ส่วนนายผู้มีน่าที่บังคับบัญชา ก็ต้องใช้ความระวังระไวอยู่เสมอ เพื่อควบคุมคนที่อยู่ในบังคับของตน.
...........
เวลานี้พวกทหารมีทางที่จะหย่อนใจด้วยความร่าเริงและไม่มีโทษ ส่วนการเล่นนั้นเองก็เปนที่บันเทิงไม่เฉภาะแต่ส่วนผู้เล่น ทั้งคนดูก็พลอยรู้สึกสนุกสนานด้วย. ท้องสนามหลวงเวลานี้เปนสนามที่ฝึกหัดเล่นฟุตบอลสำหรับทหาร ดังที่เราเห็นอยู่แทบทุกวันเวลาบ่ายๆ เต็มไปด้วยเพื่อนทหารที่ล้อมคอยดูตะโกนบอกและล้อกันฉันเพื่อนฝูง. สนามหญ้าในพระบรมมหาราชวังหลังวัดพระแก้ว ก็เปนที่สำหรับเล่นของกรมทหารรักษาวัง ส่วนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ก็ไปเล่นที่สวนมิสกะวันใกล้โรงโขนหลวงที่สวนดุสิต แลได้เล่นแข่งขันกับเสือป่ากรมพรานหลวงรักษาพระองค์เนืองๆ เปนการบำรุงความสามัคคีให้ดีขึ้น ตั้งแต่ฟุตบอลได้เข้าไปถึงในกองทัพบกแล้ว ความรู้สึกเปนเกลอกันในหมู่ทหาร สังเกตเห็นได้ว่าดีขึ้นเปนอันมาก ในห้องรักษาการแลห้องขังก็มีคนน้อยลงกว่าแต่ก่อน การออกนอกบริเวณแลการหนีก็มีน้อยลงมาก ความรู้สึกเปนมิตรเปนเกลอในหมู่ทหารและเสือป่าก็ได้เกิดขึ้นจากการเล่นฟุตบอลเปนปฐม ทั้งนี้ส่อให้เห็นว่า นิสัยของทหารเราไม่ถูกกับวิธีปกครองตามแบบของเยอรมัน (ซึ่งไม่ให้มีการเล่น).”
ความคิดเห็นที่ 15
อีกหนึ่งบทวิจารณ์จากแาจารย์ธรรมศาสตร์ด้วยกันครับ
http://www.kaekae.oas.psu.ac.th/ojs/psuhsej/include/getdoc.php?id=2262&article=1027&mode=pdf
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่