สุดถนนสายนี้มี....

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ พี่ๆเพื่อนๆ วันนี้มีเรื่องสั้นมาฝาก
พร้อมกับเพลงอีกแล้วค่ะ







สุดถนนสายนี้มี...





              ‘ฉัน’ เร่งฝีเท้าเบียดเสียดผู้คนที่แย่งกันก้าวลงจากรถเมล์สายประจำที่ขับฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดด้วยความเร็วยิ่งกว่านรกก่อนจะมาเบรคเอี๊ยดทำเอาผู้โดยสารหัวทิ่มหัวตำเพื่อจอดส่งผู้โดยสารโดยมีกระเป๋ารถเมล์คอยต้อนผู้โดยสารลงและขึ้นรถอย่างรีบเร่ง   

    ฉันได้แต่ถอนหายใจเฮือกเมื่อก้าวลงมาพ้นจากเจ้ารถบ้าคันนั้นได้ ฉันสบถในใจสองสามคำอย่างที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาให้ใครได้ยินได้ ก็คำมันร้ายเหมือนอารมณ์ของฉันในตอนนี้น่ะสิ ฉันหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเพื่อจะเดินเข้าซอย    

             สองข้างทางหน้าปากซอยอุดมไปด้วยร้านรถเข็นขายอาหาร ข้าวถุง แกงถุง ขนมหวานเจ้าอร่อย ฉันนึกในใจว่าวันนี้อยากจะมีมื้อพิเศษสักวันเพราะเป็นวันเงินเดือนออก รายได้ที่ดีพอจะหาอาหารดีๆในแต่ละวันมื้อละสองสามร้อย ฉันก็ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก แต่แค่ปรายตามองไปยังห้างฝั่งตรงข้ามถนนที่มีร้านโปรดของฉันตั้งอยู่ก็นึกขี้เกียจขึ้นมาครามครัน ฉันส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหันไปหาข้าวถุงแกงถุงอย่างเคย แค่อาศัยมันไปวันๆ ฉันก็อยู่ได้นี่นา อร่อยอีกต่างหากไม่เห็นจะต้องหาอะไรแพงๆมาประดับท้องเลย

            ฉันเดินหิ้วถุงอาหารราคาไม่ถึงร้อยกลับบ้านและมีความสุขกับเงินในกระเป๋าซะจนต้องยิ้มกับตัวเองอย่างอารมณ์ดี แต่อารมณ์ที่ดีก็ชักจะดีได้ไม่เท่าไหร่ ก็อยู่ดีๆ เสียงที่น่ารำคาญก็ดังมาให้ได้ยินอีกแล้ว มันจะอะไรกันนักกันหนาเนี่ย
   
    “โถ..โถ..เหนื่อยมั๊ยจ๊ะ เพิ่งกลับเหรอจ๊ะน้องสาว”  

    เสียงสัพยอกลอยตามลมมาจากโต๊ะหินอ่อนหน้าร้านชำของอาอึ้ม..สรรพนามที่ฉันเรียกจนติดปากของสตรีวัยห้าสิบเศษ เจ้าของร้าน แต่เสียงที่สัพยอกฉันไม่ใช่อาอึ้มหรอก แต่เป็นลูกหมาน้อยของอาอึ้มที่กำลังเริ่มจะกึ่มๆ..เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าผู้ชายคนนี้สามีเด็กของอาอึ้มมากกว่า

    “หุบปากไปเลย อย่ามาวุ่นวายกับฉัน ไม่งั้นฉันจะฟ้องอาอึ้ม”

    ฉันหันขวับไปมองตาเขียวแล้วเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ไม่พอ ฉันยังสัพยอกกลับเอาจนลูกหมาน้อยหน้าแหยเลยเชียว
    
    “โถ..โถ..คนน่ารักปากร้ายนะเนี่ย อาอึ้มน่ะแม่ที่เคารพจ้ะ แต่ถ้าน้องสาวน่ะ ให้เป็นอย่างอื่นก็ได้น๊า”  

    ลูกหมาปากมอมไม่วายกวนประสาทฉันอีกแล้ว ฉันได้แต่นับหนึ่งถึงสิบอย่างรำคาญใจ ก็คนอะไรลวงโลกชะมัด ก็รู้ก็เห็นอยู่ว่าเป็นอะไรกับอาอึ้มยังจะมาเล่นลิ้น   

    “ฝันสิ ใครจะไปตกหลุมกลลวงหน้ามืดตามัวไปกับนาย เด็กกว่าฉันอีกยังไม่เจียม เชอะ”
  
    ฉันไม่ใส่ใจเสียงเห่าเล็กๆของเจ้าลูกหมาน้อยหน้าร้านชำอีก ในใจค่อยเบิกบานขึ้นมาอีกนิดเมื่อหิ้วถุงกับข้าวแกว่งไปมาอย่างมีความสุข แค่สุดซอยเองบ้านฉันถึงแล้วฉันจะแกะของโปรดใส่จานแล้วกินซะให้หนำใจ แต่แล้วความเบิกบานเล็กๆของฉันก็ต้องหยุดลงเมื่อเดินผ่านบ้านสองชั้นด้านขวาที่ประตูรั้วสีสนิมเปิดออกมาพอดี ฉันก้มหน้างุดๆทำเป็นไม่เห็นแต่ก็ไม่พ้นจนได้   

    “หนูจ๋า..หนู เพิ่งกลับเหรอลูก วันนี้กลับเย็นจังนะจ๊ะ”   

    “จ้ะ..ป้า วันนี้รถเมล์ซิ่งม๊ากมาก หนูไปก่อนนะจ๊ะ พอดีรีบ”   

    เสียงพูดระรื่นสีหน้ายินดีไม่ฟังคำตอบยามที่ฉันจำต้องหันไปสบตาและตอบคุณป้าเจ้าของบ้านหลังนั้นไปอย่างเสียไม่ได้ หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นแรงขึ้นจนแทบจะกลั้นใจ อยากจะเดินหนีไปเร็วๆแต่แล้ว..  
  
    “ว่าไงจ๊ะ..เรื่องที่ป้าเสนอวันก่อน ดีนะ รายได้ดีมากเลย ใช้เวลาแค่ช่วงเย็นนี่แหละ ป้าจะพาหนูไปเอง ไม่ต้องให้หนูลำบาก ก็แค่แนะนำเพื่อนดีๆ รวยๆให้ป้าก็พอ ที่เหลือป้าจัดการเอง”   

    น้ำคำหวานหูที่ฉันต้องบอกว่า..อีกแล้ว ทำให้ฉันเริ่มจะปวดมวนในท้องนิดหน่อย ฉันรู้สึกคลื่นไส้นิดๆ เมื่อนึกถึงงานที่ป้าชวน ฉันทำไม่ได้หรอกเลยตอบปฏิเสธหน้าตาเฉยไม่ให้ป้าหวังได้อีก  

    “ขอโทษนะจ๊ะป้า พอดีหนูไม่มีเวลาพาป้าไปหรอกจ้ะ ป้าชวนคนอื่นเถอะนะ หนูไปก่อนจ้ะ หิวข้าวไม่คุยแล้วนะ”  

    ฉันรีบจ้ำพรวดไม่รอฟังคำทัดทานใดๆจากป้าอีก ทั้งที่ได้ยินเสียงก่นด่าฉันทั้งที่ควรจะอยู่ในใจแต่ป้าที่พูดหวานๆกับฉันเมื่อครู่กลับสบถมันออกมาให้ฉันได้ยินเพียงแค่ฉันไม่มีผลประโยชน์ให้ ฉันได้แต่นิ่วหน้าอย่างนึกเคืองนิดๆแต่ก็ปล่อยผ่านเลยไป ใครจะบ้าขายชุดชั้นในชุดละหลายหมื่นให้เพื่อนกันเล่า แค่ค่าตอบแทนที่เอามาล่อใจ ไม่คิดเหรอว่ากว่าจะมาถึงฉันต้องผ่านตัวแทนมากี่คน ราคาแท้ๆจะถึงสามพันรึเปล่าก็ไม่รู้ นี่แหละกลลวง..อ้อ ควรจะเรียกว่ากลยุทธ์การค้ามากกว่า แต่ให้ตายเถอะการค้าแบบนี้มันไม่ถูกกับฉันจริงๆ คงต้องขอบาย
  
    “ยังไม่ทันจะครึ่งซอย เจอพวกหวังดีประสงค์หลอกสองรายแล้ว เฮ้อ!!แล้วฉันจะเอาอะไรกับสังคม”  
  
    ฉันพึมพำกับตัวเองก่อนจะยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งเมื่อคิดว่าอีกครึ่งซอยกว่าๆ ฉันก็จะได้กินของอร่อยในมือซะที แต่..แต่ อีกแล้วฉันเจอใครบางคนยืนอุ้มลูกที่กำลังร้องกระจองอแงอยู่หน้าบ้าน คนที่ฉันมักจะทนดูหล่อนไม่ได้ทุกครั้งที่ได้ยินคำเอ็ดลูกน้อยวัยไม่ถึงสองขวบของหล่อน ฉันทำเนียนไม่เห็นและจะก้าวข้ามถนนไปเดินยังอีกฝั่งที่เป็นฝั่งบ้านฉัน แต่แล้วเสียงเธอคนนั้นก็เอ่ยทักฉันเสียงดังลั่นซอยแข่งกับเสียงร้องของลูกหล่อน  

    “พี่!! เดี๋ยวฉันไปคุยที่บ้านนะ ฉันเตรียมเอกสารมาแล้ว เดี๋ยวรอลูกหลับฉันไปกดกริ่งเรียกนะ”  

    เธอคนนั้นยิ้มกว้างแทบจะเห็นฟันสามสิบสองซี่อย่างจริงใจสุดๆส่งมาให้ฉันที่ยืนนิ่งและยิ้มหน้าแหยอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันรีบทำหน้าเมื่อยเหมือนหมาป่วยทันทีก่อนจะตะโกนตอบหล่อนไปด้วยน้ำเสียงที่รู้ตัวเองดีว่าฉันนี่ก็เล่นละครเก่งได้โล่ห์ไม่เบาเหมือนกัน

    “น้องขา คือพี่..วันนี้พี่ป่วยมากเลย มึนหัวตุบๆ เลยจ้ะ อยากจะนอนพักสักตื่นสองตื่น เอ่อ ไม่สิ บางทีอาจจะถึงเช้าเลย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานด้วย พี่ขอตัวไว้วันอื่นก็แล้วกันนะจ๊ะ”   

    “โธ่..พี่ขา วันนี้น้องว่างพอดี เสียดายจังเลยจ้ะ พรุ่งนี้ต้องมีสัมมนาต่างจังหวัดซะด้วยสิ วันนี้ไม่ได้เหรอ”

    “ไม่ไหวจ้ะ..แต่อันที่จริงพี่มีเยอะแล้วหลายเล่ม ยังไม่ได้ใช้สักกะเล่ม น้องไปขายคนอื่นก่อนก็ดีจ้ะเพราะพี่คงป่วยยาวไม่ว่างรับแขก เดี๋ยวน้องติดหวัดแล้วจะพาลเอามาติดลูกนะจ๊ะ แค่ก..แค่ก”  

    ฉันยกมือขึ้นปิดปากทำทีไอค่อกแค่ก แล้วขอโทษหล่อนพร้อมทั้งก้มหัวนิดๆคล้ายคนป่วยเดินคอตกหมดเรี่ยวหมดแรง ฉันเริ่มออกเดินไปอีกโดยไม่มองน้องแม่ลูกอ่อนคนนั้นที่มองตามฉันอย่างเสียดายและตาละห้อยละเหี่ยไม่เบา ก็ใครจะไปทำประกันสูงลิบแบบนั้นเล่า ฉันน่ะไม่หลงกลพวกประกันหรอก ก็ฉันสมถะจะตาย สามสิบบาทก็เหลือเฟือแล้ว นึกๆแล้วยังเสียดายเพราะทำงานบริษัททำให้ฉันต้องใช้สิทธิ์ประกันสังคมที่สู้คนใช้สามสิบบาทยังไม่ได้ ฉันอยากฟ้องรัฐบาลใจจะขาดจริงๆ  
  
    ฉันเริ่มถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย อีกไม่ถึงสิบหลังจะถึงบ้านน้อยแสนสบายสุดซอยของฉันเสียที ฉันอยากจะเอนกายบนเบาะนุ่มหน้าโทรทัศน์จอเท่าฝาบ้านที่หาซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเต็มทนแล้ว แต่..แต่อีกแล้ว เมื่อมีใครบางคนมายืนขวางการเดินทางของฉัน ฉันหยุดยืนอย่างเซ็งสุดชีวิตพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกหน ฉันคงใกล้จะบ้าเต็มทนเพราะความอดทนแสนต่ำ   

    “คุณหนูสุดซอยขา ว่ายังไงคะที่พี่เคยถาม ตกลงจะซื้อหรือไม่ซื้อคะ เนี่ยพี่ไปจองรถไว้แล้ว ถ้าน้องจะเอาก็บอกได้นะจ๊ะ ถึงจะหลายปีแล้วแต่พี่ขับมือเดียววิ่งแค่หกหมื่นกว่าๆเองนะ หาไม่ได้แล้วนะราคาเนี้ย”   

    คุณพี่คนงามเจ้าของบ้านเช่าหลายหลังในซอยบ้านฉัน มายืนดักทางเพื่อจะเอาคำตอบเรื่องขายรถมือสองให้กับฉัน คาดว่าเจ้าหล่อนคงหวังดีกลัวฉันจะเหนื่อยเกินไปกับการเข้าซอยบ้านที่ค่อนข้างลึกพอสมควร แต่ฉันไม่เห็นจะเหนื่อยเลยนี่นา   

    “ไม่เอาหรอกจ๊ะเจ้..เจ้ขายคนอื่นไปเถอะนะจ๊ะ ฉันนั่งรถเมล์ไปทำงานแค่ป้ายเดียวเองไม่เหนื่อยเลยสักนิด ป้ายรถเมล์ก็หน้าปากซอย สะพานลอยก็หน้าปากซอย สบายจะตาย ฉันไม่อยากขับรถไปยูเทิร์นไกลลิบโลกหรอกจ้ะ”     

             ฉันทำหน้าละห้อยละเหี่ยอย่างนึกเซ็งสุดๆ ก็คุณพี่คนงามเค้าอยากขายมากจนต้องมาดักถามฉันทุกวันทั้งที่ฉันไม่เดือดร้อนสักหน่อย เงินฉันก็มีแต่เรื่องอะไรล่ะ ก็ฉันมีคนขับให้อยู่แล้วนี่นา ถึงจะนานๆมาทีก็เถอะ   

    “น๊า..ช่วยซื้อเจ้หน่อยนะ สามแสนเอง ขนหน้าแข้งหนูไม่ร่วงหรอก เจ้จะได้เอาไปดาวน์รถใหม่เลย เจ้รู้ว่าหนูมีตังค์”   

    คุณพี่คนงามนึกว่าฉันเป็นอะไรกันนะ เอทีเอ็มเคลื่อนที่หรือยังไง ฉันน่ะรู้คุณค่าของเงินมากพอที่จะไม่หลงกลหรอก ก็ในเมื่อรถคุณพี่น่ะ ราคาตกกว่าสามแสนไปไกลแล้วน่ะสิ ก็รู้อยู่รถติดแก๊สแล้วราคาตกยังจะติด แถมยังจะมาขายฉันแพงๆ ไม่พอยังมาบอกฉันถ้าไม่อยากได้ให้ขายเทิร์นแก๊สให้ร้านที่ไปติดก็ได้ ฉันไม่เอาหรอกยุ่งยาก ใช้บริการขสมก.ก็ไม่ตายหรอกมั๊ง ไม่งั้นคนคงตายเพราะความลำบากกันหมดกรุงแล้วสิ ฉันส่ายหน้าดิกปฏิเสธเสียงอ่อนหวานก่อนจะไอค่อกแค่กใส่หน้าคุณพี่คนงามเพื่อจะให้รอดตัว

    “ไม่ดีกว่า เจ้ไปขายเต้นท์เถอะนะ ราคาตกสักหมื่นสองหมื่นก็ยังดีกว่า ได้เงินเร็วด้วย ฉันไม่สบายอยากนอนมากๆ ใกล้จะเป็นลมชักแล้วเนี่ย ขอตัวกลับบ้านไปนอนก่อนนะเจ้”   

    ฉันเริ่มจะไม่มีหางเสียงพอที่จะบอกลาหรืออะไรต่อมิอะไรกับใครอีกแล้ว กับข้าวถุงฉันกำลังจะเย็นชืดก่อนที่ฉันจะได้ซดน้ำแกงร้อนๆลงท้องด้วยซ้ำ นึกแล้วเคืองมากมายอะไรกันนักกันหนา กับอีแค่เดินกลับบ้านแค่ห้าร้อยเมตรตลอดซอย ฉันเจอคนตื้อนั่นหลอกขายนี่ไปสี่รายเข้าไปแล้ว ฉันเหนื่อยไม่อยากฝืนยิ้มเหงือกแห้งอีกต่อไป ฉันอยากจะนอนเต็มที และที่สำคัญฉันหิวมากจนแทบจะกระโดดงับคอใครก็ได้ที่จะมาทักฉันเป็นรายที่สี่ถ้าหากฉันยังไม่ถึงบ้านแล้วนะ  

    ผลของการที่ฉันเดินก้มหน้าก้มตาไม่สนใจมองอะไรรอบทิศ หรือสบตาผู้คนที่ยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อรอเวลาอะไรก็แล้วแต่กับฉัน นาทีนี้ก้มหน้าก้มตาเดินลูกเดียวจะชนเสาเสิวอะไรก็ไม่สนแล้ว และในที่สุดฉันก็เดินมาจนถึงหน้าบ้านเสียที   

    บ้านน้อยสองชั้นสีขาวสะอาดตาของฉันร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ ต้นโมกข์ที่กำลังออกดอกเต็มไปหมดหน้าประตูรั้วบ้านให้ความรู้สึกสดชื่นสบายใจ ไหนจะดอกแก้วที่ประตูอีกฝั่งหนึ่งกำลังออกดอกเต็มต้นนั่นอีกหอมจับใจทีเดียว จะว่าไปเฟื่องฟ้าบ้านฉันสีสดใสยิ่งกว่าบ้านใครในซอย ฉันละภูมิใจสุดๆในบ้านน้อยหลังงาม อาณาจักรของตัวเอง  

    “เฮ้อ!! ถึงบ้านซะที จบสิ้นการผจญภัยท่ามกลางเล่ห์กลโกหกหลอกลวงสักที มีความสุขจริงๆเล้ย”   

    ฉันฮัมเพลงเบาๆ แล้วควานหากุญแจในกระเป๋าสะพายใบเล็กออกมาไขเปิดประตู สวรรค์ของฉันกำลังจะเปิดออกเมื่อเสียงคลิกของกลอนประตูทำให้ฉันรู้ว่าการเดินทางของฉันสิ้นสุดแล้ววันนี้ แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น ฉันอยากจะกรีดร้องให้สุดเสียง ท้องฉันเริ่มหิวขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้หนักหนาสาหัสนักเมื่อถูกขัดใจ แต่จู่ๆคิ้วที่ขมวดอยากจะขบหัวใครก็กลับคลายปมลงอย่างเหลือเชื่อ


    ภาพของใครบางคนยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านหลังที่อยู่สุดซอยฝั่งตรงข้ามกับฉัน ชายหนุ่มในชุดลำลองอยู่กับบ้านถือสายยางรดน้ำต้นไม้ค้างอยู่อย่างนั้น กำลังยิ้มอ่อนหวานมาทางฉัน หัวใจฉันแทบจะละลายไปกับรอยยิ้มนั้น รอยยิ้มที่ฉันจำได้ขึ้นใจ รอยยิ้มที่ไม่อาจโกหกหลอกหลวงไม่ว่ากลลวงใดๆก็ไม่สามารถทำลายความชื่นใจ ไว้ใจ ที่ได้รับจากรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นไปได้ ใครคนนั้นที่สยบความคิดของฉันได้พร้อมทั้งเรียกรอยยิ้มหวานสดใสได้อยู่หมัดทีเดียว


    “กลับมาแล้วเหรอ..สาวน้อย”  


    “อื้อ..ฉันกลับมาแล้ว...ที เจ

********************************************************
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่