ผีล่ากรรม ( บทที่ ๘ )

กระทู้สนทนา
บทที่ ๗  http://ppantip.com/topic/31089731

   (ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)





บทที่  ๘



          ยุพินกล่าวคำลาพ่อปู่บัวออกจากห้องพิธีกรรมอย่างเงียบ ๆ แม้ในใจรู้สึกพะวงกับเหตุการณ์ถ้วยชาแตกอยู่บ้าง แต่หล่อนก็ระงับอาการเก็บความรู้สึกลุกจากมาโดยมิได้เอื้อนเอ่ยอะไร ด้วยเกรงเป็นที่ขัดเคืองใจอีกฝ่ายซึ่งเขาเองยังคงความสงบอยู่ได้เพียงหยิบผ้าผืนหนึ่งวางซับน้ำชาบนพื้นพลางเช็ดทำความสะอาดด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติ

         มณีวรรณเดินนิ่วหน้าตามหลังยุพินไปติด ๆ โดยไม่พูดอะไรเช่นเดียวกัน จนถึงเชิงบันไดก็จับแขนเพื่อนสูงวัยถามเรียบ ๆ แต่สีหน้าจริงจัง

         “พินจ้ะ เรื่องนี้เธอคิดว่ายังไง”

         “เอ...เรื่องไหนนะ เธอไม่ขึ้นหัวข้อฉันก็ตอบไม่ถูกน่ะซี” ยุพินแกล้งรวนไปอย่างนั้น  หล่อนพอเดาใจมณีวรรณได้ว่าตั้งกระทู้ถามเรื่องอะไร

        “ก็ถ้วยชาแตกเพล้งต่อหน้าต่อตา อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด”

         “ฉันยังคิดไม่ตกอยู่นี่ละ จะถือว่าเป็นลางไม่ดีอะไรหรือเปล่า” แม้ยุพินไม่ได้เป็นคนเชื่อถือโชคลางอะไรนัก แต่มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ในตำหนักคนทรง ทำให้หล่อนอดคิดไปทำนองนั้นไม่ได้

         “งั้นเธอก็คิดเหมือนฉัน”

         “แต่พ่อปู่ไม่ได้พูดอะไร หรือน้ำชาร้อนจัดจนถ้วยแตกเราก็ไม่รู้นะ” ยุพินพยายามคิดไปในทางที่ดี

        “ขอให้เป็นยังงั้นเถอะ สาธุ” มณีวรรณประนมมือระดับอกแล้วยกขึ้นจรดหน้าผาก “ขอบารมีพ่อปู่บัวคุ้มครอง”

        ยุพินแลเห็นเพื่อนไม่พูดอะไรต่อจึงเงียบไปเช่นเดียวกัน ออกเดินต่อพลางสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของหมู่ไม้พุ่มข้างทาง ทำใจให้ปลอดโปร่งจากความวิตกกังวลต่าง ๆ จนเข้าไปนั่งในรถแล้วหล่อนก็เริ่มสนทนาเรื่องอื่นที่อยากรู้

        “วรรณ  เธอรู้มั้ยว่าทำไมถึงเรียกท่านว่าพ่อปู่บัว”

        “องค์ท่านเป็นกุมาร ชื่อบัว” มณีวรรณบอกเสียงเรียบ ดูกระจกมองหลังพลางถอยรถออกจากที่จอด

        “อ๋อ...ฉันพอเข้าใจแล้ว” ยุพินพยักหน้าหงึก ๆ ครางรับรู้ “คนทรงสูงอายุ ก็เลยเรียกรวมกันว่าพ่อปู่บัว”

        “ท่านทรงมาหลายสิบปีแล้วนะ อาจจะเรียกกันด้วยความเคารพ”

         “ดูพ่อปู่อยู่แบบสมถะดีนะ บ้านเรือนออกใหญ่โตแต่ไม่ประดับตกแต่งอะไรมากมาย”

          มณีวรรณหมุนพวงมาลัยตั้งลำรถได้ในทิศทางตรงแล้วพารถเคลื่อนผ่านประตูรั้วออกไปช้า ๆ

         “คนปฏิบัติก็แบบนี้ละมั้ง พ่อปู่นุ่งชุดขาวตลอดนะ ปฏิบัติอยู่บ้าน ไม่ได้ไปอยู่วัดอะไรหรอก”

         “บวชอยู่ที่บ้านไงเธอ” ยุพินบอก

        “สรุปว่าวันนี้ฉันพาเธอมาถูกที่มั้ย” มณีวรรณตั้งคำถามใหม่

         “ถูกต้องตรงเผงเชียวแหละเธอเอ๋ย” ยุพินตอบยิ้ม ๆ “เธอก็เห็นอยู่ว่าฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย แค่จุดธูปบอกเล่าปัญหาอยู่ในใจ แต่พ่อปู่ทักมาเป็นช่องเลยเชียว ทำฉันงงจนพูดไม่ออก”

         “ทีนี้เธอคงไม่ว่าฉันงมงายไร้สาระแล้วนะ” มณีวรรณว่าพลางชายตามองเพื่อน “ของไม่เห็นตัวนี่ใครไม่เชื่อแต่ฉันเชื่อ ก็คิดดูซีว่าน่าแปลกดีมั้ย ทำไมร่างทรงพูดออกมาได้เหมือนเป็นคนอยู่ร่วมบ้านกับเรา ทั้งที่ไม่ใช่คนละแวกบ้านเราแท้ ๆ แต่กลับรู้ปัญหาในครอบครัวเราซะได้”

        “น่าแปลกมากเชียวละ” ยุพินพูดทอดเสียง

        “ข้อนี้ฉันก็ไม่รู้จริงเท็จเป็นยังไงหรอกนะ แต่บางคนพูดกันว่า คนเรามีเทพประจำตัวใช่มั้ย ท่านเห็นความดีความชั่ว เห็นปัญหาของเราอยู่ เวลาเราเข้าไปหาคนทรงน่ะ องค์เทพท่านถามไถ่กัน คนอย่างเรา ๆ ก็เลยไม่ต้องพูดอะไรมาก”

        “ก็เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลนะ วรรณ” ยุพินบอกเรียบ ๆ “แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน”

        มณีวรรณนิ่งไปครู่ใหญ่เพราะขับรถไปถึงปากซอยออกสู่ถนนใหญ่ หยุดรถเหลียวซ้ายแลขวารอจนถนนว่างจึงพารถแล่นออกไป แล้วสนทนาต่อ

         “ไปหาคนทรงก็คล้าย ๆ ไปเช่าบูชาพระเครื่องอยู่นะเธอ” มณีวรรณเปรียบเทียบ

         ยุพินฟังแล้วเหลียวมองหน้าเพื่อนด้วยความฉงน โดยไม่ทันถามอะไรอีกฝ่ายก็ขยายความให้เสร็จสรรพ

         “พระเครื่องมีแท้มีปลอมใช่มั้ย คนทรงก็มีจริงมีปลอมเหมือนกัน ประมาณว่าเจ้าสำนักเป็นคนมีจิตวิทยาสูง มีคำถามนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คนที่ไปหาเล่าต่อออกมาเอง แล้วทีนี้ก็มีการพูดเดาว่าเกิดปัญหานั้นนี้เดาทางไป ไม่มีองค์เทพอะไรหรอก”

        “ฉันว่าคนที่เดินเข้าสำนักทรงก็มีปัญหาแก้ไม่ตกด้วยกันทั้งนั้นละ เรื่องไหนแค่นั้นเอง”

         “มันก็แบบนั้นสิเธอ” มณีวรรณรีบบอก หัวคิ้วย่นไปครู่หนึ่งแล้วคลายเป็นปกติ “เอ...จะว่าไปสำนักทรงก็คล้ายคลินิกรักษาไข้อยู่นะ หมอจริงมี หมอปลอมมี คนไข้ก็ต้องเลือกดูดี ๆ ไม่งั้นละเจ็บหนักกว่าเก่า เสียเงินเสียใจหนักขึ้นไปอีก”

         ยุพินหัวเราะกับความช่างพูดช่างเปรียบเทียบของเพื่อน ฝ่ายมณีวรรณหยุดทำเสียงถอนใจดัง ๆ แล้วกล่าวขึ้นอีก

        “เป็นคนนี่ยุ่งนัก ที่จนก็อยากรวย ที่รวยแล้วก็อยากรวยมากขึ้นอีก ฉันเคยเจอผู้หญิงแต่งตัวดีมีสง่าราศี เหมือนคุณหญิงคุณนาย วิ่งเข้าสำนักทรงอยู่บ่อยไป ก็ไม่ได้มีปัญหาชีวิตอะไรหรอก ครอบครัวลูกผัวดีหมด แต่อิฉันอยากรวยเพิ่มเลยมาขอเลขขอหวยหวังรวยทางลัด”

        ยุพินฟังแล้วถึงกับส่ายหน้า แต่หล่อนก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของ ‘คน’ ไปเสียแล้ว โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักความพอดีและพอใจตามอัตภาพของตน ซึ่งเขาเหล่านั้นคงต้องแหวกว่ายเวียนวนอยู่ในกระแสธารแห่ง ‘ความอยาก’ อันไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

        “เราแก่ซะแล้วเลยอยากน้อยลงละมัง ถึงวันถึงวัยช่วงหนึ่งคงหมดความอยากได้ใคร่ดีตามสังขาร เพราะถึงอยากแค่ไหนแต่สังขารมันไม่อำนวยให้เราทำตามใจอยากได้” ยุพินพูดเนือย ๆ อย่างคนปลงชีวิต

        “ว่าไม่ได้นะเธอ” มณีวรรณละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามองเพื่อนแวบหนึ่ง “หมดทุกข์เรื่องอยากเสร็จแล้ว ก็มาทุกข์เรื่องความไม่อยากต่อไงล่ะ ที่แก่ลงหย่อนลงก็ไม่อยากแก่ ให้หมอตัดตรงโน้นดึงตรงนี้ให้มันดูเต่งตึง ฉันเคยเห็นนะ บางคนยิ้มทีนึงมุมปากแทบจะถึงใบหู เป็นฉันคงไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง กลัว ๆ หลอน ๆ ชอบกลน่ะ”

        “แหม ช่างว่าเขานะ ถึงทีตัวเองบ้างระวังให้ดี” ยุพินพูดกลั้วหัวเราะ

        “โอ๊ย ฉันไม่ทำเด็ดขาด สวยงามตามวัยก็ดีแล้ว แก่อย่างสง่า ชราอย่างสงบ” มณีวรรณเชิดหน้าเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มกว้าง

        ยุพินนึกไปถึงดอกไม้หลากสีสวยงาม ยามแรกแย้มเบ่งบานล้วนแต่เป็นที่ต้องตาต้องใจผู้พบเห็น หมู่ภมรพากันบินตอมเสพความหอมหวาน แต่อนิจจา เมื่อถึงเวลาดอกไม้เหี่ยวเฉา กลับกลายเป็นที่ไม่จำเริญหูจำเริญตาแก่ใคร ดอกใบเคยตัดประดับแจกันเป็นกลุ่มพุ่มสวยงาม ยามร่วงโรยเขาก็จับโยนทิ้งถังขยะโดยปราศจากความอาลัย

         ชีวิตดั่งดอกไม้...โรยราแล้วไม่มีใครต้องการ

        “แล้วเธอจะพาลูกมาหาพ่อปู่วันไหน” มณีวรรณถามหลังจากต่างคนต่างเงียบกันไปครู่ใหญ่

         “ฉันตั้งใจว่าวันเสาร์ รอให้หยุดงานจะได้ไปแบบสบาย ๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร”

         “วันนี้วันพฤหัสฯแล้ว รอสักวันสองวันคงไม่เป็นไร พ่อปู่ก็ว่าจะกำราบวิญญาณนั้นช่วยอีกทางนี่นะ”

         “ได้เธอช่วยแนะนำและเป็นธุระให้หรอกนะ ฉันถึงนั่งเบาใจอยู่แบบนี้ได้ ขอบใจมากนะวรรณ” หล่อนเอียงศีรษะพิงเบาะมองเพื่อนด้วยความตื้นตันใจ

        “ฉันไปไหนไม่มีใครก็ได้เธอไปเป็นเพื่อนตลอด ต้องขอบใจเธอเหมือนกันจ้ะ” มณีวรรณหันไปสบตาเพื่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แล้ววันเสาร์จะให้ฉันไปด้วยมั้ย”

        “ถ้าเธอว่างฉันก็จองตัวไว้ตรงนี้เลย เดี๋ยวฉันให้ยายกัญขับรถแวะไปรับเธอที่บ้าน ไปรถคันเดียวกันสะดวกดี”

        “เธอโทร.นัดเวลามานะ ฉันจะได้เตรียมตัวถูก”

         เมื่อรถเก๋งสีเทาของมณีวรรณเลี้ยวเข้าซอยข้างโชว์รูมรถยนต์และผ่านปากทางเข้าวัดไทรทอง ยุพินเกิดนึกไปถึงต้นกับต่อขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าหลังไปพบแม่ชีตาเห็นแล้วจะเป็นอย่างไรกันบ้าง หล่อนดูนาฬิกาข้อมือเห็นว่าเป็นเวลา 16.20 น.จึงตัดสินใจยังไม่กลับเข้าบ้าน

        “เธอแวะส่งฉันที่หน้าปากซอยนะ” หล่อนบอกเพื่อน

        “อ้าว จะไปทำธุระอะไรที่ไหนอีกหรือเปล่า ฉันจะได้ขับรถให้ม้วนเดียวจบเลย” มณีวรรณถาม

         “ไม่มีอะไรหรอก ฉันจะแวะคุยกับสองพี่น้องร้านก๋วยเตี๋ยว ลูกนายปิยะหน้าโรงเรียนน่ะ”

         “ที่พ่อบ้านเธอแนะนำทำเลให้มาเปิดร้านใช่มั้ย  นี่ก็หลายปีแล้วนะ ป่านนี้ได้แฟนมาช่วยล้างชามก๋วยเตี๋ยวแล้วละมัง”

         “ยังโสดอยู่ทั้งคู่เลยจ้ะ แต่ก็เห็นสาว ๆ แอบมองอยู่เหมือนกัน” ยุพินกล่าวยิ้ม ๆ “นี่ถ้ายายกัญยังไม่มีแฟนนะ ฉันแอบเชียร์สองหนุ่มนี้อยู่เหมือนกัน นิสัยดีแถมยังขยันทำมาหากิน”

         “อ้าว ลุกขึ้นมาเป็นนักจัดการชีวิตลูกนี่ไม่ใช่อะไรหรอก อยากกินก๋วยเตี๋ยวฟรีตลอดชีพว่างั้นเถอะ” มณีวรรณสัพยอก

         “แหม เธอก็ว่าไปโน่น” ยุพินหัวเราะชื่นบาน หล่อนชี้สถานที่ให้เพื่อนจอดรถหน้าร้านต้นกับต่อ กล่าวร่ำลากันเสร็จแล้วเปิดประตูรถลงไปยืนมองเพื่อนกลับรถแล่นจากไป

         หล่อนมองเห็นต้นยืนสวมผ้ากันเปื้อนสีเหลืองอยู่หลังรถเข็นตั้งหม้อก๋วยเตี๋ยว ส่วนต่อเช็ดโต๊ะอยู่ด้านในร้านซึ่งยังไม่มีลูกค้า

          “ได้ที่หรือยังล่ะต้น” หล่อนเป็นฝ่ายเดินเข้าไปปราศรัย

          “อ้าว ป้าไปไหนมาคนเดียวหรือครับ” ต้นขยับตัวออกมาถาม

           ต่อมองมาที่หน้าร้านแล้วกุลีกุจอออกมาขยับเก้าอี้ต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม

          “เชิญนั่งก่อนครับ วันนี้รับอะไรดีคร้าบ” ต่อเชื้อเชิญ

          “ตอนเย็น ๆ ป้าจะออกมาอีกทีนะต่อ นี่ไปธุระข้างนอกเลยแวะมาคุยด้วยจ้ะ” ยุพินพูดออกไปแล้วกังวลในใจเล็กน้อย กลัวว่าจะมีใครถามถึง ‘ธุระ’ ของหล่อน แต่ปรากฏว่าชายหนุ่มทั้งสองก็มีมารยาทดีพอที่จะไม่ถามเรื่องส่วนตัวของหล่อน

         “ป้าจะทานอะไรเดี๋ยวผมให้ต่อเดินไปส่งให้นะครับ สั่งไว้ก่อนก็ได้” ต้นเดินถือแก้วน้ำแข็งมาวางบนโต๊ะตรงหน้ายุพิน

         “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกจ้ะ เดี๋ยวบ้านอื่นเห็นเข้าจะเอาเป็นตัวอย่างได้ ทีนี้ต่อจะได้เดินบริการลูกค้าทั้งซอยจนหัวหมุนอยู่คนเดียว” หล่อนยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเกรงใจ แลเห็นต่อหัวเราะเบิกบานใจจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะสนทนาต่อ “นี่แน่ะ ป้าถามอะไรหน่อยนะหนุ่ม ๆ ไปหาแม่ชีตาเห็นกลับมาวันนั้นแล้วเป็นยังไง ดีขึ้นหรือเปล่า”

        “ไม่เจอกันอีกเลยละครับ” ต่อพูด

       “ป้ารู้ใช่มั้ยครับว่าต่อเขาหมายถึงอะไร” ต้นถามขรึม ๆ

        ยุพินพยักหน้าช้า ๆ แสดงความเข้าใจ  ต่อจึงเล่าขยายความเพิ่มเติม

       “สงสัยได้น้ำมนต์ของหลวงพ่อครับ ขากลับพี่ต้นแวะเข้าไปขอมาพรมซะทั่วบ้าน”

       “ไม่เจอกันก็ดีแล้วนะ เราจะได้อยู่ตามประสาของเรา” ยุพินพูดอย่างมีนัย ด้วยใจหล่อนนึกถึงความหวาดหวั่นของบุคคลในครอบครัวตัวเอง

       “น้องกัญเป็นยังไงบ้างครับ” ต้นถาม

       “ก็...ยังมีเจอ ๆ กันอยู่น่ะ” หล่อนตอบเสียงเบา

        ต่อขมวดคิ้ว เอียงศีรษะเล็กน้อย “เอ...หรือว่าน้องกัญมีสัมผัสพิเศษมองเห็นผีได้แบบนั้นหรือเปล่าน้อ ไม่เห็นเคยพูดให้เราฟังเลยนะครับ”

        “ถ้าเลือกได้ ป้าว่าขอไม่เห็นจะดีกว่านะ เพราะมาแต่ละครั้งนี่มาไม่ดีสักเท่าไหร่”

        “ทำไมครับ มาแบบเละ ๆ บวม ๆ ยังงั้นหรือครับ” ต่อถามหน้าตาตื่น

        “ทำนองนั้นละจ้ะ” ยุพินตั้งใจตอบให้คลุมเครือ เหม่อมองออกไปเบื้องหน้าเห็นท้องฟ้าแจ่มใสยามเย็นกลายเป็นสีเทาทึม มีลมพัดแรงเข้ามาในร้านปะทะผิวหน้าและผิวกายจนหล่อนรับรู้ถึงการขยับไหวของเส้นผม

           “ต่อ เก็บโต๊ะข้างนอกก่อนดีมั้ย ฝนตั้งเค้ามาแล้ว ดูท่าจะตกจริงซะด้วย” ต้นบอกน้องชาย

          “ฝนมันมีตกหลอก ๆ ด้วยหรือครับพี่” ต่อย้อนถามยิ้ม ๆ

          ยุพินมองเห็นเมฆสีเทารวมตัวกันหนาแน่นขึ้นกลายเป็นสีดำแผ่ไปทั่วท้องฟ้า  หล่อนรู้สึกถึงความอบอ้าวของอากาศรอบตัวพลางคิดว่าฝนคงตกเหมือนที่ต้นพูดก็เลยเอ่ยปากขอตัวกลับเข้าบ้าน

          “งั้นป้าไม่อยู่รบกวนละนะ”

           .................................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่