บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/31104215
ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึกในบทที่ผ่าน ๆ มา อันเป็นกำลังใจสำคัญให้ผู้เขียนเดินมาถึงวันนี้
(แม้จะหายหน้าไปถึง 1 เดือนเต็ม ๆ)
บทที่ ๙
ค่ำวันศุกร์ซึ่งพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงมีฝนตกจากอิทธิพลของมรสุมจากอ่าวไทย กัญญากินอาหารค่ำกับครอบครัวเสร็จสิ้นลงในเวลา 19.45 น. จากนั้นหล่อนช่วยมารดาจัดการเก็บถ้วยจานไปล้าง
ยุพินเก็บอาหารที่เหลือเข้าตู้เย็นแล้ว นางก็เข้าไปยืนพิงเคาน์เตอร์ปูหินอ่อนสีเทาดำใกล้กับอ่างล้างจาน
“พรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนใช่มั้ยลูก” ยุพินมองหน้าบุตรสาวถามเนิบ ๆ ขณะที่อยู่กันเพียงสองคนแม่ลูก
“ไม่ได้ไปค่ะ” หญิงสาวตอบพลางละสายตาจากงานตรงหน้า มองสบตามารดาด้วยความฉงน “แม่จะไปไหนคะ หรือว่าพ่อมีงานอะไรต้องใช้รถหรือเปล่า”
“ธุระแม่เอง แม่จะชวนกัญไปหาพ่อปู่บัวที่ตำหนักทรง” ยุพินบอกเสียงเรียบ “แม่ให้ครูมณีวรรณพาไปหาท่านตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่ไม่ได้บอกลูก กะว่าจะบอกวันนี้แล้วพรุ่งนี้ก็เดินทางกันเลยเชียว”
กัญญาฟังคำมารดาแล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“แม่ไปทำอะไรหรือคะ” หล่อนถามโดยมิได้มองหน้ามารดา สายตาจับจ้องอยู่กับการนำฟองน้ำทำความสะอาดจานชาม
“พ่อปู่บอกว่าจะลงอาคมป้องกันตัวให้ลูกน่ะ แม่ไปปรึกษาท่านเรื่องที่กัญถูกผีปองร้าย อย่าหาว่าแม่เป็นคนงมงายอะไรเลยนะลูก”
“พ่อรู้เรื่องนี้หรือเปล่าคะ” กัญญาถามขึ้นเพราะเกรงว่าบิดาจะคัดค้านไม่เห็นด้วย
“รู้สิจ้ะ แม่บอกพ่อเขาก่อนออกไปสำนักทรง ไม่ได้ปิดนะ ก็ไม่เห็นว่าอะไรสักคำ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่พาหล่อนเข้าไปเกี่ยวพันกับศาสตร์ลี้ลับเหนือธรรมชาติ กัญญาจึงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอะไร ยิ่งความคิดตำหนิมารดาในความงมงายนั้น มิได้มีอยู่ในเศษเสี้ยวความคิดของหล่อนเลยแม้เพียงสักเล็กน้อย เพราะหล่อนตระหนักรู้ดีว่า ที่แม่ของหล่อนต้องออกไปทำสิ่งต่าง ๆ ก็เพื่อความสุขและความปลอดภัยของหล่อนนั่นเอง
ความรักของบุพการีที่มีต่อบุตรธิดา แม้มิได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่การกระทำของพ่อแม่ก็สื่อแสดงออกมาได้ถึงความรักมากล้นในหัวใจที่มีต่อลูก กัญญารู้จักตัวตนความคิดของบิดาดีว่า เป็นผู้เชื่อมั่นในผลของการกระทำจากน้ำมือของตน อันจะส่งให้เกิดผลสำเร็จหรือล้มเหลว ท่านมิได้เชื่อในโชคลางหรือการอ้อนวอนร้องขอสัมฤทธิผลจากท้องฟ้าอากาศ ถึงอย่างนั้นพ่อของหล่อนก็ยังไม่คัดค้านเมื่อแม่ออกเดินไปในเส้นทางที่ค้านกับความยึดถือของตน ทั้งนี้ก็คงไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด นอกเสียจากความห่วงใยที่มีให้กับหล่อน
กัญญาคว่ำจานใบสุดท้ายลงบนชั้นเก็บจาน เปิดน้ำล้างมือแล้วใช้ผ้าซับน้ำจนสะอาดดีแล้ว หล่อนโอบเอวมารดาไปนั่งลงบนเก้าอี้โดยตัวเองก็นั่งลงเคียงข้าง
“เราไม่ได้ทำอะไรมากเกินไปใช่มั้ยคะ แม่” หญิงสาวเลือกใช้คำว่า ‘เรา’ ด้วยไม่ต้องการให้มารดารู้สึกแปลกแยกที่ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
“เกินอะไร เกินในส่วนไหนล่ะลูก” ยุพินพูดทอดเสียง สีหน้าอ่อนโยน “กัญถูกระรานจากภูตผีไม่มีตัวตน เราก็ต้องสู้กันด้วยวิธีนี้ละ”
“แต่ก็ไม่เกิดอะไรหลายวันแล้วนะคะ”
“ทะเลเรียบ ๆ ใช่ว่าใต้น้ำจะไม่มีคลื่น ท้องฟ้าใส ๆ ฝนยังตกลงมาได้เลยนะลูก ศัตรูที่ไม่มีการเคลื่อนไหว บางทีอาจจะเฝ้าคอยท่าเราพลั้งเผลอแล้วออกมาโจมตี เราระวังตัวไว้เห็นจะดีกว่าการประมาทหลงลืมตัว”
ลึก ๆ ในใจกัญญานั้น หล่อนเองก็ไม่วางใจกับทุกโมงยามที่ผ่านพ้น เพียงแต่หล่อนต้อง ‘นิ่ง’ ไว้ เพราะไม่อยากให้ใครเข้าใจว่า หล่อนเป็นโรคหวาดระแวงหรือกลัวผีจนขึ้นสมอง จากเหตุการณ์ที่หล่อนเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายในห้องเก็บวัสดุ หล่อนก็ทำใจให้เป็นปกติไม่ได้เลย ว่าเรื่องจะยุติลงแค่เพียงนั้น
ถ้าศัตรูไม่ขาดใจตายลงต่อหน้า คู่แค้นก็จะไม่มีวันยุติความแค้น...คนประเภทนี้มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในสังคมมิใช่ละหรือ และศัตรูของหล่อนก็ไม่ใช่คน บางทีอาจมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนยิ่งไปกว่าการปะทะกันระหว่างคนกับคนธรรมดา
“การไหนทำแล้วขวัญกำลังใจเราดีขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่คะ” กัญญาพูดยิ้ม ๆ แสดงความแช่มชื่นให้มารดาคลายกังวล และก็ดูจะได้ผลเพราะยุพินถึงกับยิ้มออกมาได้
“ครูวรรณอาสาจะไปเป็นเพื่อนด้วย เราออกจากบ้านแล้วแวะไปรับเธอที่บ้าน จะได้ไม่ต้องใช้รถหลายคัน”
“ครูมณีวรรณไปด้วยคงได้หัวเราะกันครึกครื้นตลอดทางนะคะ” หญิงสาวรู้ดีถึงความช่างจำนรรจาของครูผู้เคยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ในวัยเยาว์
ยุพินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นอีกว่า
“แม่ถามพ่อปู่นะว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้มาจากอะไร ท่านบอกแค่ว่าเป็นกรรมเก่า แต่ก็ไม่ได้ขยายความ แม่ซักเข้าก็โดนดุเสียงดังเลยไม่ได้ถามต่อ”
“สุดท้ายก็คงไม่พ้นเรื่องกรรมเก่านะคะ กัญถึงได้บอกว่าชาตินี้เราไม่เคยก่อบาปเวรอะไรกับใคร แต่ชาติภพก่อน ๆ เราก็ไม่รู้ได้” หญิงสาวพูดเรียบ ๆ ไปตามกระแสความคิดของตน เมื่อนึกไปถึงมารดาอาจเข้าใจว่าหล่อนพูดเพราะความรู้สึกขลาดกลัว หล่อนจึงปรับเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่และพูดเสริมขึ้นอีก “กัญไม่ได้กลัวกรรมเก่านะคะ คนเราจะหนีอะไรก็หนีได้ แต่กัญเชื่อว่าเราหนีกรรมไม่พ้นหรอกค่ะ พระท่านว่าคนเราเกิดมาด้วยกรรมดีกรรมชั่วปะปนกันนี่คะ ถ้าเรามีแต่กรรมดีก็คงไม่ต้องมาเดินดินกินข้าวแล้วสินะคะ”
“ไม่กินข้าวแล้วจะกินอะไรล่ะลูก” ยุพินถามกลั้วหัวเราะ บ่งบอกภาวะอารมณ์ดี
“ก็ไม่ต้องกินแล้วไงคะแม่ อิ่มทิพย์โดยไม่ต้องกินอะไรอยู่ข้างบนฟ้าโน่น”
“ส้าธุ ขอให้ไปถึงวันนั้นเร็ว ๆ เถอะลูก คนเราหมดความหิว หมดความอยากซะแล้วก็คงตัวเบาลอยขึ้นไปได้จริง ๆ”
“ทีนี้เรายังลอยไม่ได้สิคะ อะไรจะเกิดขึ้นบ้างตามวาระกรรม เราก็ต้องทำใจใช่มั้ยคะ”
กัญญาแลเห็นความแจ่มใสของมารดาก็พลอยสบายใจไปด้วย ในคืนวันมืดมนของวิกฤตปัญหา ก็ยังพอมองเห็นจุดสว่างที่จะทำให้ใจร่มเย็นอยู่ได้ หล่อนคิดว่ากุศลผลบุญจากชาติปางก่อนคงเป็นปัจจัยหนุนนำให้ตัวหล่อนได้มาเกิดในครอบครัวที่มีศีลมีธรรม และชักนำให้ได้มีชีวิตอยู่ในกระแสธรรม
“ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วนะลูก พ่อปู่นี้ ‘ของจริง’ เชียวละ แม่คุยด้วยแล้วศรัทธามาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้พบท่านแล้วลูกจะรู้เอง”
สิ้นสุดการสนทนากันแล้วกัญญาก็ขึ้นห้องนอน หากด้วยเวลายังหัวค่ำอยู่มากหล่อนจึงมิได้ปิดไฟนอนในทันที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความโต้ตอบกับเมธาวัฒน์อยู่พักหนึ่ง และหล่อนก็หันไปหยิบหนังสือธรรมประยุกต์ขึ้นมาเปิดอ่าน
เสียงฝนตกกระทบหลังคาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่แล้วก็มีเสียงฟ้าคำรามครืนครั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ฝนจะเทลงมาหนักกว่าเก่า พร้อมด้วยลมแรงจนยอดมะม่วงยอดขนุนหน้าบ้านส่ายไหวไปมา
ในสภาวะอากาศวิปริตแปรปรวนนั้น กัญญารู้สึกคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะเล็กแหลมดังแว่วแทรกเสียงฝน หล่อนละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นมองไปรอบห้องสดับฟังที่มาของเสียง พบว่าหล่อนมิได้หูฝาดไปแต่อย่างใด เพราะเสียงเล็ก ๆ คล้ายเสียงเด็กผู้หญิงนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งแต่ยังหาต้นกำเนิดเสียงไม่ได้
ท้องฟ้าดำทะมึนภายนอกเกิดเป็นเส้นสีเงินสว่างโพลง ตามด้วยเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนว่าฟ้าฝ่าลงที่ใดสักแห่งไม่ไกลจากบริเวณบ้านของกัญญา ชั่วครู่เดียวไฟฟ้าก็ดับวูบลงจนทั้งห้องมืดสนิท
หญิงสาววางหนังสือลงข้างกาย ก้าวลงจากเตียงช้า ๆ เดินในความมืดด้วยความคุ้นชินไปยังช่องหน้าต่าง เห็นบ้านหลังอื่น ๆ ในซอยไฟดับมืดไปเช่นเดียวกัน
ขณะที่กัญญากวาดตามองภายนอกนั้น เกิดมีแสงสว่างปรากฏขึ้นที่หน้าประตูรั้วบ้านของหล่อน ทำให้เห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นผิวขาวซีดยืนอุ้มแมวดำอยู่ท่ามกลางสายฝน หากแต่สายฝนไม่สามารถทำให้เด็กนั้นเปียกปอนแต่อย่างใด
เด็กนั้นเหมือนกำลังจ้องมองมาที่กัญญา ด้วยดวงตาเป็นจุดสีแดงเพลิงในช่องกระบอกตาดำกลวงโบ๋ เช่นเดียวกับดวงตาของแมวดำในอ้อม
กอด เพียงไม่นานเด็กหญิงก็ก้มตัวปล่อยแมวลงกับพื้นข้างกาย หันมาแสยะยิ้มน่าเกลียดพลางหัวเราะคิกคักขึ้นอีก พลางใช้สองมือจับเหล็กรั้วประตูเขย่าเล่นดังว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน ซึ่งเสียงหัวเราะนี้คือเสียงเดียวกับที่กัญญาได้ยินเมื่อสักครู่นี้
หญิงสาวเห็นภาพทั้งหมดชัดเจนเพราะประตูรั้วบ้านของหล่อนสร้างจากท่อเหล็กกลวงสี่เหลี่ยมตั้งเป็นแนวเส้นตรงเชื่อมไว้ในกรอบโครงแบบโปรง ๆ ทำให้สามารถมองผ่านไปภายนอกได้อย่างชัดเจน
ครั้งนี้หล่อนไม่ได้หวาดกลัวจนเสียขวัญเช่นครั้งก่อน ๆ อาจด้วยว่าเป็นการพบกับวิญญาณในระยะห่างไกล และที่สำคัญวิญญาณนั้นปรากฏมาในรูปของเด็กน้อยซึ่งไม่มีท่าทีมุ่งร้ายหมายขวัญแต่อย่างใด หากกัญญาก็อดคิดไม่ได้ว่าวิญญาณนั้นมาแสดงตัวให้หล่อนเห็นเพราะต้องการอะไร
มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องก่อนที่เสียงบิดาหล่อนจะดังขึ้น
“กัญ หลับหรือยังลูก”
หญิงสาวเหลียวกลับไปมองบานประตูแล้วรีบตอบกลับไป
“ยังค่ะ พ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หล่อนตอบแล้วหันกลับมาดูภาพนอกรั้วบ้านพบว่าวิญญาณเด็กหายวับไปแล้วเหลือแต่ความมืดดำของบรรยากาศค่ำคืนฝนตก หล่อนจึงรีบหมุนตัวเดินไปเปิดประตูให้บิดา
นายกันต์พลยืนถือจานรองแท่งเทียนอยู่ในมือ ร่างกายท่อนบนดูสว่างด้วยแสงเหลืองนวลจากแสงเทียน
“แม่เขาเป็นห่วงเลยให้พ่อขึ้นมาดู เผื่อลูกอยากได้เทียนไว้จุดสักเล่ม”
“กัญว่าไฟดับไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
“อยู่มืด ๆ จะดีหรือลูก เอาเทียนที่พ่อไปตั้งไว้ในห้องก็แล้วกัน” นายกันต์พลบอกพลางยื่นจานรองส่งให้บุตรสาว “แง้มหน้าต่างไว้หน่อยให้อากาศถ่ายเทด้วยนะลูก ถ้าไม่มีอะไรพ่อก็ลงไปนอนเลยนะ”
เขาบอกแล้วกดสวิตช์ไฟฉายกระบอกเล็กส่องทางแล้วเดินจากไป
กัญญาคิดว่าบุพการียังไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องราวของหล่อนตามที่ได้คาดคิดไว้ จึงไม่อยากเพิ่มความทุกข์ร้อนใจให้ท่านอีกด้วยการเล่าเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ หล่อนปิดประตูแล้วเดินกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง เพ่งมองไปยังจุดต่าง ๆ ทั้งในบริเวณลานบ้านและนอกรั้วหน้าบ้าน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าวิญญาณนั้นจะกลับมาปรากฏตัวให้เห็น หล่อนจึงนำเทียนไปตั้งไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือและกลับไปล้มตัวนอนขบคิดถึงว่า วิญญาณนั้นต้องการสื่อแสดงอะไรให้หล่อนได้รับรู้หรือไม่
พักใหญ่ไฟฟ้าก็สว่างขึ้น หญิงสาวจึงลุกขึ้นดับเทียนและปิดไฟเข้านอน
ผีล่ากรรม ( บทที่ ๙ )
ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึกในบทที่ผ่าน ๆ มา อันเป็นกำลังใจสำคัญให้ผู้เขียนเดินมาถึงวันนี้
(แม้จะหายหน้าไปถึง 1 เดือนเต็ม ๆ)
ค่ำวันศุกร์ซึ่งพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงมีฝนตกจากอิทธิพลของมรสุมจากอ่าวไทย กัญญากินอาหารค่ำกับครอบครัวเสร็จสิ้นลงในเวลา 19.45 น. จากนั้นหล่อนช่วยมารดาจัดการเก็บถ้วยจานไปล้าง
ยุพินเก็บอาหารที่เหลือเข้าตู้เย็นแล้ว นางก็เข้าไปยืนพิงเคาน์เตอร์ปูหินอ่อนสีเทาดำใกล้กับอ่างล้างจาน
“พรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนใช่มั้ยลูก” ยุพินมองหน้าบุตรสาวถามเนิบ ๆ ขณะที่อยู่กันเพียงสองคนแม่ลูก
“ไม่ได้ไปค่ะ” หญิงสาวตอบพลางละสายตาจากงานตรงหน้า มองสบตามารดาด้วยความฉงน “แม่จะไปไหนคะ หรือว่าพ่อมีงานอะไรต้องใช้รถหรือเปล่า”
“ธุระแม่เอง แม่จะชวนกัญไปหาพ่อปู่บัวที่ตำหนักทรง” ยุพินบอกเสียงเรียบ “แม่ให้ครูมณีวรรณพาไปหาท่านตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่ไม่ได้บอกลูก กะว่าจะบอกวันนี้แล้วพรุ่งนี้ก็เดินทางกันเลยเชียว”
กัญญาฟังคำมารดาแล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“แม่ไปทำอะไรหรือคะ” หล่อนถามโดยมิได้มองหน้ามารดา สายตาจับจ้องอยู่กับการนำฟองน้ำทำความสะอาดจานชาม
“พ่อปู่บอกว่าจะลงอาคมป้องกันตัวให้ลูกน่ะ แม่ไปปรึกษาท่านเรื่องที่กัญถูกผีปองร้าย อย่าหาว่าแม่เป็นคนงมงายอะไรเลยนะลูก”
“พ่อรู้เรื่องนี้หรือเปล่าคะ” กัญญาถามขึ้นเพราะเกรงว่าบิดาจะคัดค้านไม่เห็นด้วย
“รู้สิจ้ะ แม่บอกพ่อเขาก่อนออกไปสำนักทรง ไม่ได้ปิดนะ ก็ไม่เห็นว่าอะไรสักคำ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่พาหล่อนเข้าไปเกี่ยวพันกับศาสตร์ลี้ลับเหนือธรรมชาติ กัญญาจึงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอะไร ยิ่งความคิดตำหนิมารดาในความงมงายนั้น มิได้มีอยู่ในเศษเสี้ยวความคิดของหล่อนเลยแม้เพียงสักเล็กน้อย เพราะหล่อนตระหนักรู้ดีว่า ที่แม่ของหล่อนต้องออกไปทำสิ่งต่าง ๆ ก็เพื่อความสุขและความปลอดภัยของหล่อนนั่นเอง
ความรักของบุพการีที่มีต่อบุตรธิดา แม้มิได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่การกระทำของพ่อแม่ก็สื่อแสดงออกมาได้ถึงความรักมากล้นในหัวใจที่มีต่อลูก กัญญารู้จักตัวตนความคิดของบิดาดีว่า เป็นผู้เชื่อมั่นในผลของการกระทำจากน้ำมือของตน อันจะส่งให้เกิดผลสำเร็จหรือล้มเหลว ท่านมิได้เชื่อในโชคลางหรือการอ้อนวอนร้องขอสัมฤทธิผลจากท้องฟ้าอากาศ ถึงอย่างนั้นพ่อของหล่อนก็ยังไม่คัดค้านเมื่อแม่ออกเดินไปในเส้นทางที่ค้านกับความยึดถือของตน ทั้งนี้ก็คงไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด นอกเสียจากความห่วงใยที่มีให้กับหล่อน
กัญญาคว่ำจานใบสุดท้ายลงบนชั้นเก็บจาน เปิดน้ำล้างมือแล้วใช้ผ้าซับน้ำจนสะอาดดีแล้ว หล่อนโอบเอวมารดาไปนั่งลงบนเก้าอี้โดยตัวเองก็นั่งลงเคียงข้าง
“เราไม่ได้ทำอะไรมากเกินไปใช่มั้ยคะ แม่” หญิงสาวเลือกใช้คำว่า ‘เรา’ ด้วยไม่ต้องการให้มารดารู้สึกแปลกแยกที่ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
“เกินอะไร เกินในส่วนไหนล่ะลูก” ยุพินพูดทอดเสียง สีหน้าอ่อนโยน “กัญถูกระรานจากภูตผีไม่มีตัวตน เราก็ต้องสู้กันด้วยวิธีนี้ละ”
“แต่ก็ไม่เกิดอะไรหลายวันแล้วนะคะ”
“ทะเลเรียบ ๆ ใช่ว่าใต้น้ำจะไม่มีคลื่น ท้องฟ้าใส ๆ ฝนยังตกลงมาได้เลยนะลูก ศัตรูที่ไม่มีการเคลื่อนไหว บางทีอาจจะเฝ้าคอยท่าเราพลั้งเผลอแล้วออกมาโจมตี เราระวังตัวไว้เห็นจะดีกว่าการประมาทหลงลืมตัว”
ลึก ๆ ในใจกัญญานั้น หล่อนเองก็ไม่วางใจกับทุกโมงยามที่ผ่านพ้น เพียงแต่หล่อนต้อง ‘นิ่ง’ ไว้ เพราะไม่อยากให้ใครเข้าใจว่า หล่อนเป็นโรคหวาดระแวงหรือกลัวผีจนขึ้นสมอง จากเหตุการณ์ที่หล่อนเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายในห้องเก็บวัสดุ หล่อนก็ทำใจให้เป็นปกติไม่ได้เลย ว่าเรื่องจะยุติลงแค่เพียงนั้น
ถ้าศัตรูไม่ขาดใจตายลงต่อหน้า คู่แค้นก็จะไม่มีวันยุติความแค้น...คนประเภทนี้มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในสังคมมิใช่ละหรือ และศัตรูของหล่อนก็ไม่ใช่คน บางทีอาจมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนยิ่งไปกว่าการปะทะกันระหว่างคนกับคนธรรมดา
“การไหนทำแล้วขวัญกำลังใจเราดีขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่คะ” กัญญาพูดยิ้ม ๆ แสดงความแช่มชื่นให้มารดาคลายกังวล และก็ดูจะได้ผลเพราะยุพินถึงกับยิ้มออกมาได้
“ครูวรรณอาสาจะไปเป็นเพื่อนด้วย เราออกจากบ้านแล้วแวะไปรับเธอที่บ้าน จะได้ไม่ต้องใช้รถหลายคัน”
“ครูมณีวรรณไปด้วยคงได้หัวเราะกันครึกครื้นตลอดทางนะคะ” หญิงสาวรู้ดีถึงความช่างจำนรรจาของครูผู้เคยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ในวัยเยาว์
ยุพินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นอีกว่า
“แม่ถามพ่อปู่นะว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้มาจากอะไร ท่านบอกแค่ว่าเป็นกรรมเก่า แต่ก็ไม่ได้ขยายความ แม่ซักเข้าก็โดนดุเสียงดังเลยไม่ได้ถามต่อ”
“สุดท้ายก็คงไม่พ้นเรื่องกรรมเก่านะคะ กัญถึงได้บอกว่าชาตินี้เราไม่เคยก่อบาปเวรอะไรกับใคร แต่ชาติภพก่อน ๆ เราก็ไม่รู้ได้” หญิงสาวพูดเรียบ ๆ ไปตามกระแสความคิดของตน เมื่อนึกไปถึงมารดาอาจเข้าใจว่าหล่อนพูดเพราะความรู้สึกขลาดกลัว หล่อนจึงปรับเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่และพูดเสริมขึ้นอีก “กัญไม่ได้กลัวกรรมเก่านะคะ คนเราจะหนีอะไรก็หนีได้ แต่กัญเชื่อว่าเราหนีกรรมไม่พ้นหรอกค่ะ พระท่านว่าคนเราเกิดมาด้วยกรรมดีกรรมชั่วปะปนกันนี่คะ ถ้าเรามีแต่กรรมดีก็คงไม่ต้องมาเดินดินกินข้าวแล้วสินะคะ”
“ไม่กินข้าวแล้วจะกินอะไรล่ะลูก” ยุพินถามกลั้วหัวเราะ บ่งบอกภาวะอารมณ์ดี
“ก็ไม่ต้องกินแล้วไงคะแม่ อิ่มทิพย์โดยไม่ต้องกินอะไรอยู่ข้างบนฟ้าโน่น”
“ส้าธุ ขอให้ไปถึงวันนั้นเร็ว ๆ เถอะลูก คนเราหมดความหิว หมดความอยากซะแล้วก็คงตัวเบาลอยขึ้นไปได้จริง ๆ”
“ทีนี้เรายังลอยไม่ได้สิคะ อะไรจะเกิดขึ้นบ้างตามวาระกรรม เราก็ต้องทำใจใช่มั้ยคะ”
กัญญาแลเห็นความแจ่มใสของมารดาก็พลอยสบายใจไปด้วย ในคืนวันมืดมนของวิกฤตปัญหา ก็ยังพอมองเห็นจุดสว่างที่จะทำให้ใจร่มเย็นอยู่ได้ หล่อนคิดว่ากุศลผลบุญจากชาติปางก่อนคงเป็นปัจจัยหนุนนำให้ตัวหล่อนได้มาเกิดในครอบครัวที่มีศีลมีธรรม และชักนำให้ได้มีชีวิตอยู่ในกระแสธรรม
“ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วนะลูก พ่อปู่นี้ ‘ของจริง’ เชียวละ แม่คุยด้วยแล้วศรัทธามาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้พบท่านแล้วลูกจะรู้เอง”
สิ้นสุดการสนทนากันแล้วกัญญาก็ขึ้นห้องนอน หากด้วยเวลายังหัวค่ำอยู่มากหล่อนจึงมิได้ปิดไฟนอนในทันที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความโต้ตอบกับเมธาวัฒน์อยู่พักหนึ่ง และหล่อนก็หันไปหยิบหนังสือธรรมประยุกต์ขึ้นมาเปิดอ่าน
เสียงฝนตกกระทบหลังคาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่แล้วก็มีเสียงฟ้าคำรามครืนครั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ฝนจะเทลงมาหนักกว่าเก่า พร้อมด้วยลมแรงจนยอดมะม่วงยอดขนุนหน้าบ้านส่ายไหวไปมา
ในสภาวะอากาศวิปริตแปรปรวนนั้น กัญญารู้สึกคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะเล็กแหลมดังแว่วแทรกเสียงฝน หล่อนละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นมองไปรอบห้องสดับฟังที่มาของเสียง พบว่าหล่อนมิได้หูฝาดไปแต่อย่างใด เพราะเสียงเล็ก ๆ คล้ายเสียงเด็กผู้หญิงนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งแต่ยังหาต้นกำเนิดเสียงไม่ได้
ท้องฟ้าดำทะมึนภายนอกเกิดเป็นเส้นสีเงินสว่างโพลง ตามด้วยเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนว่าฟ้าฝ่าลงที่ใดสักแห่งไม่ไกลจากบริเวณบ้านของกัญญา ชั่วครู่เดียวไฟฟ้าก็ดับวูบลงจนทั้งห้องมืดสนิท
หญิงสาววางหนังสือลงข้างกาย ก้าวลงจากเตียงช้า ๆ เดินในความมืดด้วยความคุ้นชินไปยังช่องหน้าต่าง เห็นบ้านหลังอื่น ๆ ในซอยไฟดับมืดไปเช่นเดียวกัน
ขณะที่กัญญากวาดตามองภายนอกนั้น เกิดมีแสงสว่างปรากฏขึ้นที่หน้าประตูรั้วบ้านของหล่อน ทำให้เห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นผิวขาวซีดยืนอุ้มแมวดำอยู่ท่ามกลางสายฝน หากแต่สายฝนไม่สามารถทำให้เด็กนั้นเปียกปอนแต่อย่างใด
เด็กนั้นเหมือนกำลังจ้องมองมาที่กัญญา ด้วยดวงตาเป็นจุดสีแดงเพลิงในช่องกระบอกตาดำกลวงโบ๋ เช่นเดียวกับดวงตาของแมวดำในอ้อม
กอด เพียงไม่นานเด็กหญิงก็ก้มตัวปล่อยแมวลงกับพื้นข้างกาย หันมาแสยะยิ้มน่าเกลียดพลางหัวเราะคิกคักขึ้นอีก พลางใช้สองมือจับเหล็กรั้วประตูเขย่าเล่นดังว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน ซึ่งเสียงหัวเราะนี้คือเสียงเดียวกับที่กัญญาได้ยินเมื่อสักครู่นี้
หญิงสาวเห็นภาพทั้งหมดชัดเจนเพราะประตูรั้วบ้านของหล่อนสร้างจากท่อเหล็กกลวงสี่เหลี่ยมตั้งเป็นแนวเส้นตรงเชื่อมไว้ในกรอบโครงแบบโปรง ๆ ทำให้สามารถมองผ่านไปภายนอกได้อย่างชัดเจน
ครั้งนี้หล่อนไม่ได้หวาดกลัวจนเสียขวัญเช่นครั้งก่อน ๆ อาจด้วยว่าเป็นการพบกับวิญญาณในระยะห่างไกล และที่สำคัญวิญญาณนั้นปรากฏมาในรูปของเด็กน้อยซึ่งไม่มีท่าทีมุ่งร้ายหมายขวัญแต่อย่างใด หากกัญญาก็อดคิดไม่ได้ว่าวิญญาณนั้นมาแสดงตัวให้หล่อนเห็นเพราะต้องการอะไร
มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องก่อนที่เสียงบิดาหล่อนจะดังขึ้น
“กัญ หลับหรือยังลูก”
หญิงสาวเหลียวกลับไปมองบานประตูแล้วรีบตอบกลับไป
“ยังค่ะ พ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หล่อนตอบแล้วหันกลับมาดูภาพนอกรั้วบ้านพบว่าวิญญาณเด็กหายวับไปแล้วเหลือแต่ความมืดดำของบรรยากาศค่ำคืนฝนตก หล่อนจึงรีบหมุนตัวเดินไปเปิดประตูให้บิดา
นายกันต์พลยืนถือจานรองแท่งเทียนอยู่ในมือ ร่างกายท่อนบนดูสว่างด้วยแสงเหลืองนวลจากแสงเทียน
“แม่เขาเป็นห่วงเลยให้พ่อขึ้นมาดู เผื่อลูกอยากได้เทียนไว้จุดสักเล่ม”
“กัญว่าไฟดับไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
“อยู่มืด ๆ จะดีหรือลูก เอาเทียนที่พ่อไปตั้งไว้ในห้องก็แล้วกัน” นายกันต์พลบอกพลางยื่นจานรองส่งให้บุตรสาว “แง้มหน้าต่างไว้หน่อยให้อากาศถ่ายเทด้วยนะลูก ถ้าไม่มีอะไรพ่อก็ลงไปนอนเลยนะ”
เขาบอกแล้วกดสวิตช์ไฟฉายกระบอกเล็กส่องทางแล้วเดินจากไป
กัญญาคิดว่าบุพการียังไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องราวของหล่อนตามที่ได้คาดคิดไว้ จึงไม่อยากเพิ่มความทุกข์ร้อนใจให้ท่านอีกด้วยการเล่าเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ หล่อนปิดประตูแล้วเดินกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง เพ่งมองไปยังจุดต่าง ๆ ทั้งในบริเวณลานบ้านและนอกรั้วหน้าบ้าน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าวิญญาณนั้นจะกลับมาปรากฏตัวให้เห็น หล่อนจึงนำเทียนไปตั้งไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือและกลับไปล้มตัวนอนขบคิดถึงว่า วิญญาณนั้นต้องการสื่อแสดงอะไรให้หล่อนได้รับรู้หรือไม่
พักใหญ่ไฟฟ้าก็สว่างขึ้น หญิงสาวจึงลุกขึ้นดับเทียนและปิดไฟเข้านอน