ผีล่ากรรม ( บทที่ ๓ )

กระทู้สนทนา
บทที่  ๑  http://ppantip.com/topic/30905106       บทที่  ๒  http://ppantip.com/topic/30936995

(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)




บทที่  ๓





          แม้จะรู้ว่ามีมารดานอนเคียงข้างเป็นเพื่อนร่วมห้อง  กัญญาก็ยังทำใจให้เป็นปกติไม่ได้เมื่อมองตู้เสื้อผ้า  เหมือนหล่อนขวัญเสียเตลิดไปไกลจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  จนต้องนอนมองความมืดภายในห้องด้วยความหวาดระแวง

          พ่อของหล่อนค่อย ๆ เดินเข้าไปดึงฝาตู้ให้เปิดออกทีละข้าง  แต่ปรากฏว่าภายในไม่มีอะไรให้เห็นเป็นต้นกำเนิดเสียงกุกกักที่ดังออกมา  ไม่มีหนูหรือสัตว์อะไรดังคาดไว้   ทำให้ทุกคนได้แต่ยืนมองหน้ากันด้วยความฉงน   จนเขาต้องบอกให้ภรรยานอนเป็นเพื่อนลูกสาว

          “นอนหลับมั้ยลูก”  นางยุพินถามในความมืด

          “นึกว่าแม่หลับแล้ว  เห็นนอนเงียบ ๆ”

         “คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะลูก    แม่เพิ่งเคยเจอเรื่องแปลก ๆ กับตาตัวเองก็วันนี้    ในตู้ไม่มีตัวอะไร  แล้วเสียงนั้นดังขึ้นมาได้ยังไงล่ะ”

          “ได้เห็นได้ยินพร้อมกันทั้งสามคน  แต่ก็ไม่มีใครตอบได้นะคะแม่”  หล่อนบอกแล้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง  “กัญได้ยินเสียงกระซิบในรถนั้นอีกค่ะ  ก่อนที่พ่อกับแม่จะเข้ามาในห้อง”

         “เรื่องมันชักไม่ชอบมาพากลแล้วนะลูก   เหมือนจะข่มขวัญข่มขู่เรายังไงก็ไม่รู้”  นางยุพินเสียงเครียด  “เป็นโจรผู้ร้ายเราก็ยังรู้ตัวและหาทางป้องกัน  แต่นี่...เราไม่เห็นตัว”

         “แม่อย่าบอกให้พ่อรู้นะคะ  เดี๋ยวจะเครียดไปด้วยอีกคน”

         “แม่ว่าพ่อเขาก็คงไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้เหมือนกัน”

         “อาจไม่มีอะไรแล้วก็ได้ค่ะ   คิดมากไปก็จะกลายเป็นคิดมากจนเกินเหตุ”   หล่อนพูดเพราะไม่อยากให้มารดาเคร่งเครียดเกินไป  แต่ลึก ๆ ในใจหล่อนคิดว่ามารดาของหล่อนเองก็คงอกสั่นขวัญหายไม่น้อยกับเสียงลึกลับในตู้เสื้อผ้า   คงจะดีเสียกว่าถ้าหากเจอว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างใน  ดีกว่าการได้พบเพียงความว่างเปล่าทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาดำมืดไร้คำตอบ

         “เปิดไฟนอนก็ได้นะคะแม่  อยู่มืด ๆ แบบนี้คงนอนระแวงกันทั้งคืน”  หล่อนบอกมารดา

         “ไฟชอนตา  แม่นอนไม่หลับหรอกลูก”  นางยุพินว่า  “หรือจะลงไปนอนรวมกันที่ห้องแม่ดีล่ะ”

          “อย่าเลยค่ะ  รบกวนพ่อเปล่า ๆ แม่นอนเป็นเพื่อนกัญแบบนี้ก็ไม่กลัวอะไรแล้วละค่ะ”  

          “เปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ก็ดีนะลูก  แง้มประตูไว้พอให้มีแสงสว่างบ้าง”

         “ค่ะแม่”  กัญญารับคำแล้วลุกขึ้นจัดการทำตามความประสงค์ของมารดา  

          หล่อนกลับมาล้มตัวนอนจมอยู่ในห้วงความคิดอีกพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอของผู้นอนเคียงข้าง  บ่งบอกให้รู้ว่ามารดาของหล่อนได้เข้าสู่นิทรารมณ์แล้ว  

         การนอนหลับของมารดาทำให้กัญญารู้สึกเบาใจขึ้น   เพราะเรื่องของหล่อนไม่ได้ทำให้บุพการีถึงกับวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ   และเพียงไม่นานหล่อนก็ผล็อยหลับไปตามความต้องการพักผ่อนของร่างกาย  

         รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของมารดา  หล่อนลืมตาเห็นนางยุพินขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง

        “แม่จะไปไหนคะ”  ถามเสียงอู้อี้

         “อ้าว  ตื่นแล้วหรือลูก”  นางยุพินหันกลับมาดูบุตรสาว  “ตีห้าแล้ว  แม่จะลงไปหุงข้าว  เสร็จแล้วจะรีบขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนลูก”

          “จะเช้าแล้ว  คงไม่มีอะไรแล้วละค่ะ  แม่ไม่ต้องขึ้นมาหรอก   เดี๋ยวกัญล้างหน้าเสร็จก็จะลงข้างล่างเลย  ต้องไปจัดการศพเจ้าแต้มอีก”  นางยุพินรับฟังอยู่เงียบ ๆ  ฝ่ายบุตรสาวจึงพูดต่อไปอีกว่า  “ถ้าพ่อยังไม่ตื่น  แม่ไม่ต้องรีบปลุกนะคะ”

          “รอให้สว่างดีแล้วค่อยลงไปก็ได้นี่ลูก  นอนเล่นต่ออีกหน่อย  วันนี้วันหยุดไม่ใช่หรือ”  นางบอกบุตรสาวก่อนลุกขึ้นเดินจากไป  แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองดวงหน้ากัญญาที่นอนลืมตาอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนปิดประตู

           เมื่อมารดาจากไปกัญญาก็ลุกขึ้นจัดการพับผ้าห่มแล้วเข้าห้องน้ำล้างหน้า  เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดลำลองออกจากห้องเดินลงไปชั้นล่าง   หล่อนพบว่านายกันต์พลนั่งเปิดวิทยุเสียงเบาอยู่ที่ห้องโถง

           “พ่อตื่นแต่เช้าเหมือนกันนะคะ”  

           “นอนไม่ค่อยหลับน่ะลูก  หลับ ๆ ตื่น ๆ  เลยลุกมานั่งฟังข่าวอยู่นี่”

           กัญญาเดินเข้าไปนั่งลงข้างกายบิดา  หล่อนคิดว่าการตื่นเช้าวันนี้ของทุกคนในบ้านไม่ได้เป็นไปด้วยความแจ่มใสเลย  เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวหล่อนและการตายของเจ้าแต้มดูจะทำให้บ้านทั้งหลังอึมครึมไปหมด  แม้ยามนี้พระอาทิตย์กำลังส่องแสงของวันใหม่แล้วก็ตามที

           “พ่อจะฝังศพเจ้าแต้มตรงไหนคะ”  

          “ว่าจะฝังตรงมุมรั้วหลังบ้าน  เผื่อมีกลิ่นขึ้นมาจะได้ไม่เข้ามารบกวนถึงในบ้าน”

           ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก ราวกับต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง  มีเพียงเสียงเล่าข่าวจากวิทยุเท่านั้นที่ดังออกมาทำลายความเงียบงัน  จนเมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงแจ่มจ้าทำให้มองเห็นสรรพสิ่งนอกบ้านชัดเจนดีแล้ว นายกันต์พลก็ชวนบุตรสาวออกไปจัดการขุดหลุมฝังศพเจ้าแต้ม  

           กัญญามองซากศพของเจ้าแต้มแล้วสลดใจ  หล่อนลูบขนมันหลายครั้งซึ่งยังเป็นสัมผัสอ่อนนุ่ม  ทว่าเนื้อตัวของมันกลับเป็นความแข็งเย็นชืด  ร่างกายสิ้นลมหายใจไร้วิญญาณคงเป็นสัมผัสที่ไม่ต่างกันทั้งคนและสัตว์เช่นนี้ละหนอ  ถึงแม้หล่อนจะเข้าใจธรรมชาติของความตาย  แต่ก็ห้ามน้ำตาไม่ได้เมื่อต้องโปรยดินฝังกลบร่างของมัน

           หล่อนกับพ่อกลับเข้าบ้านแล้วต่างแยกย้ายกันอาบน้ำชำระร่างกาย  จนได้เวลาแปดนาฬิกาก็นั่งโต๊ะกินข้าวพร้อมหน้ากันโดยไม่มีใครเอ่ยถึงเจ้าแต้มขึ้นมาอีก



           --------------------------


      
           เมธาวัฒน์ลืมตาตื่นนอนขึ้นมาก็ได้แต่จ้องมองโทรศัพท์  เขาหยิบมันมาถือแล้ววางลงหลายครั้ง  ด้วยความคิดชั่งใจว่าไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายตั้งแต่ยามเช้า

           จากการสนทนากับกัญญาเมื่อคืนวานทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ  ปกติหล่อนเป็นคนร่าเริงและช่างพูดยามคุยโทรศัพท์กับเขา  แต่หลังจากหล่อนโทร.หาเขาตอนขับรถแล้วนิ่งไปเสียเฉย ๆ  ทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างมาก    โทร.ย้อนกลับไปอีกหลายครั้งแต่หล่อนไม่ยอมรับสาย   ในครั้งสุดท้ายที่เขาลองโทร.กลับไปก็ได้พูดคุยกับหล่อน  แต่หล่อนไม่ได้เล่าอะไรมากมาย  เขารู้เพียงว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับหล่อน  เลยทำให้เขานอนคิดวาดภาพไปต่าง ๆ นานา

          เขาตัดสินใจโทร.หาหล่อนในตอนสาย

          “ตื่นนอนหรือยังครับ”  เขาถามเป็นคำถามแรกเมื่อหล่อนรับสาย  เกรงใจว่าจะเป็นการรบกวนเช้าวันพักผ่อนของหล่อน

          “ตื่นตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”  หล่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแจ่มใส  

          “ผมจะโทร.หาตั้งแต่เช้า  กลัวคุณยังไม่ตื่น”  เขาบอกแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง  รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรหรือไม่  เมื่อเห็นหล่อนยังเงียบอยู่เขาจึงเป็นฝ่ายถามเสียเองว่า  “เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ  เล่าให้ผมฟังได้มั้ย”

          ปลายสายนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา  “มันน่ากลัวมากค่ะเมธ  กัญไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดี”

         “ตอนที่โทร.หาผม  กัญบอกว่า...”  เขาหยุดนึกหาคำพูดว่าควรเลือกใช้คำไหนดี  “เจอเรื่องลี้ลับใช่มั้ยครับ”

         “เรื่องลี้ลับของเมธน่ะ   ถ้าจะให้กัญพูดตรง ๆ ก็คือ  กัญถูกผีหลอกค่ะเมธ”  หล่อนตอบราวกับเดาความคิดเขาได้  “กัญเจอผีหัวขาดที่ข้างทาง  พอกลับถึงบ้านก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีกค่ะ”

           “ทำไมครับ  เกิดอะไรขึ้นอีก  แล้วกัญไม่เป็นอะไรนะครับ”  เมธาวัฒน์รัวคำถามด้วยใจร้อนรน

           “ไม่ค่ะ  กัญไม่เป็นอะไร  แต่...เจ้าแต้ม  หมาของกัญตายแล้วค่ะ  กัญขับรถทับมันตายคาที่เลย”

           เขาฟังแล้วใจหายวูบ  หล่อนเคยพูดถึงความแสนรู้ของเจ้าแต้มให้เขาฟังอยู่บ่อย ๆ จนเขาได้เห็นหน้ามันตอนไปบ้านกัญญา  มันแสดงความเป็นมิตรกับเขาด้วยการเข้ามาคลอเคลียราวรู้จักกันมานาน   บางครั้งตอนเลิกงานเขายังซื้อฮอทดอกทอดฝากให้กัญญานำไปให้เจ้าแต้มเพราะหล่อนบอกว่าเป็นของโปรดของมัน  เขาไม่คิดว่าหญิงคนรักของเขาตั้งใจขับรถทับมันอย่างแน่นอน

            “เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ  ถ้ากัญไม่อยากพูดถึงตอนนี้ยังไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ”

           “ไม่เป็นไรค่ะ”  

           หล่อนบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง  

          เมธาวัฒน์ฟังแล้วขนลุกเกรียว  เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวเป็นอื่นไปได้เลยนอกเสียจากว่า  กัญญากำลังเผชิญกับสิ่งลี้ลับบางอย่าง  และเจ้าแต้มอาจเป็นเหยื่อที่ใช้ข่มขวัญหล่อน  หรืออาจเป็นผู้รับเคราะห์แทนหล่อนก็เป็นได้

           “ไปวัดทำบุญกันมั้ยครับ  เดี๋ยวผมขับรถไปให้”  เมธาวัฒน์นึกถึงพระกับวัดขึ้นมาทันที   “ยังไม่เก้าโมงเลย  เราไปถวายเพลก็ได้นะครับ  ชวนคุณป้าไปด้วย”

           “ก็ดีนะคะ  ถือว่าไปทำบุญให้เจ้าแต้มด้วยเลย  กัญไม่ได้คิดเลยค่ะ  ฝังศพเจ้าแต้มแล้วช่วยแม่ทำงานบ้าน  คิดแต่ว่าไม่อยากอยู่ว่าง ๆ ให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้า”

           “ไม่นึกถึงผมเลยหรือครับ”  เขาแกล้งทำเสียงตัดพ้อ  และก็ได้ยินเสียงหล่อนหัวเราะออกมา  “มีสุข  มีทุกข์อะไรก็ขอให้บอกผมนะครับ  ผมจะยืนเคียงข้างคุณเสมอ”

           “ขอบคุณมากค่ะเมษ”

           เขาไม่ได้พูดเพียงเพื่อให้หล่อนฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น  แต่เขากลั่นกรองคำพูดนี้ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่