บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/30905106 บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/30936995
(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)
บทที่ ๓
แม้จะรู้ว่ามีมารดานอนเคียงข้างเป็นเพื่อนร่วมห้อง กัญญาก็ยังทำใจให้เป็นปกติไม่ได้เมื่อมองตู้เสื้อผ้า เหมือนหล่อนขวัญเสียเตลิดไปไกลจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนต้องนอนมองความมืดภายในห้องด้วยความหวาดระแวง
พ่อของหล่อนค่อย ๆ เดินเข้าไปดึงฝาตู้ให้เปิดออกทีละข้าง แต่ปรากฏว่าภายในไม่มีอะไรให้เห็นเป็นต้นกำเนิดเสียงกุกกักที่ดังออกมา ไม่มีหนูหรือสัตว์อะไรดังคาดไว้ ทำให้ทุกคนได้แต่ยืนมองหน้ากันด้วยความฉงน จนเขาต้องบอกให้ภรรยานอนเป็นเพื่อนลูกสาว
“นอนหลับมั้ยลูก” นางยุพินถามในความมืด
“นึกว่าแม่หลับแล้ว เห็นนอนเงียบ ๆ”
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะลูก แม่เพิ่งเคยเจอเรื่องแปลก ๆ กับตาตัวเองก็วันนี้ ในตู้ไม่มีตัวอะไร แล้วเสียงนั้นดังขึ้นมาได้ยังไงล่ะ”
“ได้เห็นได้ยินพร้อมกันทั้งสามคน แต่ก็ไม่มีใครตอบได้นะคะแม่” หล่อนบอกแล้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กัญได้ยินเสียงกระซิบในรถนั้นอีกค่ะ ก่อนที่พ่อกับแม่จะเข้ามาในห้อง”
“เรื่องมันชักไม่ชอบมาพากลแล้วนะลูก เหมือนจะข่มขวัญข่มขู่เรายังไงก็ไม่รู้” นางยุพินเสียงเครียด “เป็นโจรผู้ร้ายเราก็ยังรู้ตัวและหาทางป้องกัน แต่นี่...เราไม่เห็นตัว”
“แม่อย่าบอกให้พ่อรู้นะคะ เดี๋ยวจะเครียดไปด้วยอีกคน”
“แม่ว่าพ่อเขาก็คงไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้เหมือนกัน”
“อาจไม่มีอะไรแล้วก็ได้ค่ะ คิดมากไปก็จะกลายเป็นคิดมากจนเกินเหตุ” หล่อนพูดเพราะไม่อยากให้มารดาเคร่งเครียดเกินไป แต่ลึก ๆ ในใจหล่อนคิดว่ามารดาของหล่อนเองก็คงอกสั่นขวัญหายไม่น้อยกับเสียงลึกลับในตู้เสื้อผ้า คงจะดีเสียกว่าถ้าหากเจอว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างใน ดีกว่าการได้พบเพียงความว่างเปล่าทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาดำมืดไร้คำตอบ
“เปิดไฟนอนก็ได้นะคะแม่ อยู่มืด ๆ แบบนี้คงนอนระแวงกันทั้งคืน” หล่อนบอกมารดา
“ไฟชอนตา แม่นอนไม่หลับหรอกลูก” นางยุพินว่า “หรือจะลงไปนอนรวมกันที่ห้องแม่ดีล่ะ”
“อย่าเลยค่ะ รบกวนพ่อเปล่า ๆ แม่นอนเป็นเพื่อนกัญแบบนี้ก็ไม่กลัวอะไรแล้วละค่ะ”
“เปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ก็ดีนะลูก แง้มประตูไว้พอให้มีแสงสว่างบ้าง”
“ค่ะแม่” กัญญารับคำแล้วลุกขึ้นจัดการทำตามความประสงค์ของมารดา
หล่อนกลับมาล้มตัวนอนจมอยู่ในห้วงความคิดอีกพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอของผู้นอนเคียงข้าง บ่งบอกให้รู้ว่ามารดาของหล่อนได้เข้าสู่นิทรารมณ์แล้ว
การนอนหลับของมารดาทำให้กัญญารู้สึกเบาใจขึ้น เพราะเรื่องของหล่อนไม่ได้ทำให้บุพการีถึงกับวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ และเพียงไม่นานหล่อนก็ผล็อยหลับไปตามความต้องการพักผ่อนของร่างกาย
รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของมารดา หล่อนลืมตาเห็นนางยุพินขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง
“แม่จะไปไหนคะ” ถามเสียงอู้อี้
“อ้าว ตื่นแล้วหรือลูก” นางยุพินหันกลับมาดูบุตรสาว “ตีห้าแล้ว แม่จะลงไปหุงข้าว เสร็จแล้วจะรีบขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนลูก”
“จะเช้าแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วละค่ะ แม่ไม่ต้องขึ้นมาหรอก เดี๋ยวกัญล้างหน้าเสร็จก็จะลงข้างล่างเลย ต้องไปจัดการศพเจ้าแต้มอีก” นางยุพินรับฟังอยู่เงียบ ๆ ฝ่ายบุตรสาวจึงพูดต่อไปอีกว่า “ถ้าพ่อยังไม่ตื่น แม่ไม่ต้องรีบปลุกนะคะ”
“รอให้สว่างดีแล้วค่อยลงไปก็ได้นี่ลูก นอนเล่นต่ออีกหน่อย วันนี้วันหยุดไม่ใช่หรือ” นางบอกบุตรสาวก่อนลุกขึ้นเดินจากไป แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองดวงหน้ากัญญาที่นอนลืมตาอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนปิดประตู
เมื่อมารดาจากไปกัญญาก็ลุกขึ้นจัดการพับผ้าห่มแล้วเข้าห้องน้ำล้างหน้า เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดลำลองออกจากห้องเดินลงไปชั้นล่าง หล่อนพบว่านายกันต์พลนั่งเปิดวิทยุเสียงเบาอยู่ที่ห้องโถง
“พ่อตื่นแต่เช้าเหมือนกันนะคะ”
“นอนไม่ค่อยหลับน่ะลูก หลับ ๆ ตื่น ๆ เลยลุกมานั่งฟังข่าวอยู่นี่”
กัญญาเดินเข้าไปนั่งลงข้างกายบิดา หล่อนคิดว่าการตื่นเช้าวันนี้ของทุกคนในบ้านไม่ได้เป็นไปด้วยความแจ่มใสเลย เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวหล่อนและการตายของเจ้าแต้มดูจะทำให้บ้านทั้งหลังอึมครึมไปหมด แม้ยามนี้พระอาทิตย์กำลังส่องแสงของวันใหม่แล้วก็ตามที
“พ่อจะฝังศพเจ้าแต้มตรงไหนคะ”
“ว่าจะฝังตรงมุมรั้วหลังบ้าน เผื่อมีกลิ่นขึ้นมาจะได้ไม่เข้ามารบกวนถึงในบ้าน”
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก ราวกับต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง มีเพียงเสียงเล่าข่าวจากวิทยุเท่านั้นที่ดังออกมาทำลายความเงียบงัน จนเมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงแจ่มจ้าทำให้มองเห็นสรรพสิ่งนอกบ้านชัดเจนดีแล้ว นายกันต์พลก็ชวนบุตรสาวออกไปจัดการขุดหลุมฝังศพเจ้าแต้ม
กัญญามองซากศพของเจ้าแต้มแล้วสลดใจ หล่อนลูบขนมันหลายครั้งซึ่งยังเป็นสัมผัสอ่อนนุ่ม ทว่าเนื้อตัวของมันกลับเป็นความแข็งเย็นชืด ร่างกายสิ้นลมหายใจไร้วิญญาณคงเป็นสัมผัสที่ไม่ต่างกันทั้งคนและสัตว์เช่นนี้ละหนอ ถึงแม้หล่อนจะเข้าใจธรรมชาติของความตาย แต่ก็ห้ามน้ำตาไม่ได้เมื่อต้องโปรยดินฝังกลบร่างของมัน
หล่อนกับพ่อกลับเข้าบ้านแล้วต่างแยกย้ายกันอาบน้ำชำระร่างกาย จนได้เวลาแปดนาฬิกาก็นั่งโต๊ะกินข้าวพร้อมหน้ากันโดยไม่มีใครเอ่ยถึงเจ้าแต้มขึ้นมาอีก
--------------------------
เมธาวัฒน์ลืมตาตื่นนอนขึ้นมาก็ได้แต่จ้องมองโทรศัพท์ เขาหยิบมันมาถือแล้ววางลงหลายครั้ง ด้วยความคิดชั่งใจว่าไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายตั้งแต่ยามเช้า
จากการสนทนากับกัญญาเมื่อคืนวานทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ปกติหล่อนเป็นคนร่าเริงและช่างพูดยามคุยโทรศัพท์กับเขา แต่หลังจากหล่อนโทร.หาเขาตอนขับรถแล้วนิ่งไปเสียเฉย ๆ ทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างมาก โทร.ย้อนกลับไปอีกหลายครั้งแต่หล่อนไม่ยอมรับสาย ในครั้งสุดท้ายที่เขาลองโทร.กลับไปก็ได้พูดคุยกับหล่อน แต่หล่อนไม่ได้เล่าอะไรมากมาย เขารู้เพียงว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับหล่อน เลยทำให้เขานอนคิดวาดภาพไปต่าง ๆ นานา
เขาตัดสินใจโทร.หาหล่อนในตอนสาย
“ตื่นนอนหรือยังครับ” เขาถามเป็นคำถามแรกเมื่อหล่อนรับสาย เกรงใจว่าจะเป็นการรบกวนเช้าวันพักผ่อนของหล่อน
“ตื่นตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ” หล่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแจ่มใส
“ผมจะโทร.หาตั้งแต่เช้า กลัวคุณยังไม่ตื่น” เขาบอกแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรหรือไม่ เมื่อเห็นหล่อนยังเงียบอยู่เขาจึงเป็นฝ่ายถามเสียเองว่า “เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ เล่าให้ผมฟังได้มั้ย”
ปลายสายนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา “มันน่ากลัวมากค่ะเมธ กัญไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดี”
“ตอนที่โทร.หาผม กัญบอกว่า...” เขาหยุดนึกหาคำพูดว่าควรเลือกใช้คำไหนดี “เจอเรื่องลี้ลับใช่มั้ยครับ”
“เรื่องลี้ลับของเมธน่ะ ถ้าจะให้กัญพูดตรง ๆ ก็คือ กัญถูกผีหลอกค่ะเมธ” หล่อนตอบราวกับเดาความคิดเขาได้ “กัญเจอผีหัวขาดที่ข้างทาง พอกลับถึงบ้านก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีกค่ะ”
“ทำไมครับ เกิดอะไรขึ้นอีก แล้วกัญไม่เป็นอะไรนะครับ” เมธาวัฒน์รัวคำถามด้วยใจร้อนรน
“ไม่ค่ะ กัญไม่เป็นอะไร แต่...เจ้าแต้ม หมาของกัญตายแล้วค่ะ กัญขับรถทับมันตายคาที่เลย”
เขาฟังแล้วใจหายวูบ หล่อนเคยพูดถึงความแสนรู้ของเจ้าแต้มให้เขาฟังอยู่บ่อย ๆ จนเขาได้เห็นหน้ามันตอนไปบ้านกัญญา มันแสดงความเป็นมิตรกับเขาด้วยการเข้ามาคลอเคลียราวรู้จักกันมานาน บางครั้งตอนเลิกงานเขายังซื้อฮอทดอกทอดฝากให้กัญญานำไปให้เจ้าแต้มเพราะหล่อนบอกว่าเป็นของโปรดของมัน เขาไม่คิดว่าหญิงคนรักของเขาตั้งใจขับรถทับมันอย่างแน่นอน
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ ถ้ากัญไม่อยากพูดถึงตอนนี้ยังไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
หล่อนบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง
เมธาวัฒน์ฟังแล้วขนลุกเกรียว เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวเป็นอื่นไปได้เลยนอกเสียจากว่า กัญญากำลังเผชิญกับสิ่งลี้ลับบางอย่าง และเจ้าแต้มอาจเป็นเหยื่อที่ใช้ข่มขวัญหล่อน หรืออาจเป็นผู้รับเคราะห์แทนหล่อนก็เป็นได้
“ไปวัดทำบุญกันมั้ยครับ เดี๋ยวผมขับรถไปให้” เมธาวัฒน์นึกถึงพระกับวัดขึ้นมาทันที “ยังไม่เก้าโมงเลย เราไปถวายเพลก็ได้นะครับ ชวนคุณป้าไปด้วย”
“ก็ดีนะคะ ถือว่าไปทำบุญให้เจ้าแต้มด้วยเลย กัญไม่ได้คิดเลยค่ะ ฝังศพเจ้าแต้มแล้วช่วยแม่ทำงานบ้าน คิดแต่ว่าไม่อยากอยู่ว่าง ๆ ให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้า”
“ไม่นึกถึงผมเลยหรือครับ” เขาแกล้งทำเสียงตัดพ้อ และก็ได้ยินเสียงหล่อนหัวเราะออกมา “มีสุข มีทุกข์อะไรก็ขอให้บอกผมนะครับ ผมจะยืนเคียงข้างคุณเสมอ”
“ขอบคุณมากค่ะเมษ”
เขาไม่ได้พูดเพียงเพื่อให้หล่อนฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่เขากลั่นกรองคำพูดนี้ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ
ผีล่ากรรม ( บทที่ ๓ )
(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)
บทที่ ๓
แม้จะรู้ว่ามีมารดานอนเคียงข้างเป็นเพื่อนร่วมห้อง กัญญาก็ยังทำใจให้เป็นปกติไม่ได้เมื่อมองตู้เสื้อผ้า เหมือนหล่อนขวัญเสียเตลิดไปไกลจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนต้องนอนมองความมืดภายในห้องด้วยความหวาดระแวง
พ่อของหล่อนค่อย ๆ เดินเข้าไปดึงฝาตู้ให้เปิดออกทีละข้าง แต่ปรากฏว่าภายในไม่มีอะไรให้เห็นเป็นต้นกำเนิดเสียงกุกกักที่ดังออกมา ไม่มีหนูหรือสัตว์อะไรดังคาดไว้ ทำให้ทุกคนได้แต่ยืนมองหน้ากันด้วยความฉงน จนเขาต้องบอกให้ภรรยานอนเป็นเพื่อนลูกสาว
“นอนหลับมั้ยลูก” นางยุพินถามในความมืด
“นึกว่าแม่หลับแล้ว เห็นนอนเงียบ ๆ”
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะลูก แม่เพิ่งเคยเจอเรื่องแปลก ๆ กับตาตัวเองก็วันนี้ ในตู้ไม่มีตัวอะไร แล้วเสียงนั้นดังขึ้นมาได้ยังไงล่ะ”
“ได้เห็นได้ยินพร้อมกันทั้งสามคน แต่ก็ไม่มีใครตอบได้นะคะแม่” หล่อนบอกแล้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กัญได้ยินเสียงกระซิบในรถนั้นอีกค่ะ ก่อนที่พ่อกับแม่จะเข้ามาในห้อง”
“เรื่องมันชักไม่ชอบมาพากลแล้วนะลูก เหมือนจะข่มขวัญข่มขู่เรายังไงก็ไม่รู้” นางยุพินเสียงเครียด “เป็นโจรผู้ร้ายเราก็ยังรู้ตัวและหาทางป้องกัน แต่นี่...เราไม่เห็นตัว”
“แม่อย่าบอกให้พ่อรู้นะคะ เดี๋ยวจะเครียดไปด้วยอีกคน”
“แม่ว่าพ่อเขาก็คงไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้เหมือนกัน”
“อาจไม่มีอะไรแล้วก็ได้ค่ะ คิดมากไปก็จะกลายเป็นคิดมากจนเกินเหตุ” หล่อนพูดเพราะไม่อยากให้มารดาเคร่งเครียดเกินไป แต่ลึก ๆ ในใจหล่อนคิดว่ามารดาของหล่อนเองก็คงอกสั่นขวัญหายไม่น้อยกับเสียงลึกลับในตู้เสื้อผ้า คงจะดีเสียกว่าถ้าหากเจอว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างใน ดีกว่าการได้พบเพียงความว่างเปล่าทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาดำมืดไร้คำตอบ
“เปิดไฟนอนก็ได้นะคะแม่ อยู่มืด ๆ แบบนี้คงนอนระแวงกันทั้งคืน” หล่อนบอกมารดา
“ไฟชอนตา แม่นอนไม่หลับหรอกลูก” นางยุพินว่า “หรือจะลงไปนอนรวมกันที่ห้องแม่ดีล่ะ”
“อย่าเลยค่ะ รบกวนพ่อเปล่า ๆ แม่นอนเป็นเพื่อนกัญแบบนี้ก็ไม่กลัวอะไรแล้วละค่ะ”
“เปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ก็ดีนะลูก แง้มประตูไว้พอให้มีแสงสว่างบ้าง”
“ค่ะแม่” กัญญารับคำแล้วลุกขึ้นจัดการทำตามความประสงค์ของมารดา
หล่อนกลับมาล้มตัวนอนจมอยู่ในห้วงความคิดอีกพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอของผู้นอนเคียงข้าง บ่งบอกให้รู้ว่ามารดาของหล่อนได้เข้าสู่นิทรารมณ์แล้ว
การนอนหลับของมารดาทำให้กัญญารู้สึกเบาใจขึ้น เพราะเรื่องของหล่อนไม่ได้ทำให้บุพการีถึงกับวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ และเพียงไม่นานหล่อนก็ผล็อยหลับไปตามความต้องการพักผ่อนของร่างกาย
รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของมารดา หล่อนลืมตาเห็นนางยุพินขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง
“แม่จะไปไหนคะ” ถามเสียงอู้อี้
“อ้าว ตื่นแล้วหรือลูก” นางยุพินหันกลับมาดูบุตรสาว “ตีห้าแล้ว แม่จะลงไปหุงข้าว เสร็จแล้วจะรีบขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนลูก”
“จะเช้าแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วละค่ะ แม่ไม่ต้องขึ้นมาหรอก เดี๋ยวกัญล้างหน้าเสร็จก็จะลงข้างล่างเลย ต้องไปจัดการศพเจ้าแต้มอีก” นางยุพินรับฟังอยู่เงียบ ๆ ฝ่ายบุตรสาวจึงพูดต่อไปอีกว่า “ถ้าพ่อยังไม่ตื่น แม่ไม่ต้องรีบปลุกนะคะ”
“รอให้สว่างดีแล้วค่อยลงไปก็ได้นี่ลูก นอนเล่นต่ออีกหน่อย วันนี้วันหยุดไม่ใช่หรือ” นางบอกบุตรสาวก่อนลุกขึ้นเดินจากไป แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองดวงหน้ากัญญาที่นอนลืมตาอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนปิดประตู
เมื่อมารดาจากไปกัญญาก็ลุกขึ้นจัดการพับผ้าห่มแล้วเข้าห้องน้ำล้างหน้า เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดลำลองออกจากห้องเดินลงไปชั้นล่าง หล่อนพบว่านายกันต์พลนั่งเปิดวิทยุเสียงเบาอยู่ที่ห้องโถง
“พ่อตื่นแต่เช้าเหมือนกันนะคะ”
“นอนไม่ค่อยหลับน่ะลูก หลับ ๆ ตื่น ๆ เลยลุกมานั่งฟังข่าวอยู่นี่”
กัญญาเดินเข้าไปนั่งลงข้างกายบิดา หล่อนคิดว่าการตื่นเช้าวันนี้ของทุกคนในบ้านไม่ได้เป็นไปด้วยความแจ่มใสเลย เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวหล่อนและการตายของเจ้าแต้มดูจะทำให้บ้านทั้งหลังอึมครึมไปหมด แม้ยามนี้พระอาทิตย์กำลังส่องแสงของวันใหม่แล้วก็ตามที
“พ่อจะฝังศพเจ้าแต้มตรงไหนคะ”
“ว่าจะฝังตรงมุมรั้วหลังบ้าน เผื่อมีกลิ่นขึ้นมาจะได้ไม่เข้ามารบกวนถึงในบ้าน”
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก ราวกับต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง มีเพียงเสียงเล่าข่าวจากวิทยุเท่านั้นที่ดังออกมาทำลายความเงียบงัน จนเมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงแจ่มจ้าทำให้มองเห็นสรรพสิ่งนอกบ้านชัดเจนดีแล้ว นายกันต์พลก็ชวนบุตรสาวออกไปจัดการขุดหลุมฝังศพเจ้าแต้ม
กัญญามองซากศพของเจ้าแต้มแล้วสลดใจ หล่อนลูบขนมันหลายครั้งซึ่งยังเป็นสัมผัสอ่อนนุ่ม ทว่าเนื้อตัวของมันกลับเป็นความแข็งเย็นชืด ร่างกายสิ้นลมหายใจไร้วิญญาณคงเป็นสัมผัสที่ไม่ต่างกันทั้งคนและสัตว์เช่นนี้ละหนอ ถึงแม้หล่อนจะเข้าใจธรรมชาติของความตาย แต่ก็ห้ามน้ำตาไม่ได้เมื่อต้องโปรยดินฝังกลบร่างของมัน
หล่อนกับพ่อกลับเข้าบ้านแล้วต่างแยกย้ายกันอาบน้ำชำระร่างกาย จนได้เวลาแปดนาฬิกาก็นั่งโต๊ะกินข้าวพร้อมหน้ากันโดยไม่มีใครเอ่ยถึงเจ้าแต้มขึ้นมาอีก
--------------------------
เมธาวัฒน์ลืมตาตื่นนอนขึ้นมาก็ได้แต่จ้องมองโทรศัพท์ เขาหยิบมันมาถือแล้ววางลงหลายครั้ง ด้วยความคิดชั่งใจว่าไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายตั้งแต่ยามเช้า
จากการสนทนากับกัญญาเมื่อคืนวานทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ปกติหล่อนเป็นคนร่าเริงและช่างพูดยามคุยโทรศัพท์กับเขา แต่หลังจากหล่อนโทร.หาเขาตอนขับรถแล้วนิ่งไปเสียเฉย ๆ ทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างมาก โทร.ย้อนกลับไปอีกหลายครั้งแต่หล่อนไม่ยอมรับสาย ในครั้งสุดท้ายที่เขาลองโทร.กลับไปก็ได้พูดคุยกับหล่อน แต่หล่อนไม่ได้เล่าอะไรมากมาย เขารู้เพียงว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับหล่อน เลยทำให้เขานอนคิดวาดภาพไปต่าง ๆ นานา
เขาตัดสินใจโทร.หาหล่อนในตอนสาย
“ตื่นนอนหรือยังครับ” เขาถามเป็นคำถามแรกเมื่อหล่อนรับสาย เกรงใจว่าจะเป็นการรบกวนเช้าวันพักผ่อนของหล่อน
“ตื่นตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ” หล่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแจ่มใส
“ผมจะโทร.หาตั้งแต่เช้า กลัวคุณยังไม่ตื่น” เขาบอกแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรหรือไม่ เมื่อเห็นหล่อนยังเงียบอยู่เขาจึงเป็นฝ่ายถามเสียเองว่า “เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ เล่าให้ผมฟังได้มั้ย”
ปลายสายนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา “มันน่ากลัวมากค่ะเมธ กัญไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดี”
“ตอนที่โทร.หาผม กัญบอกว่า...” เขาหยุดนึกหาคำพูดว่าควรเลือกใช้คำไหนดี “เจอเรื่องลี้ลับใช่มั้ยครับ”
“เรื่องลี้ลับของเมธน่ะ ถ้าจะให้กัญพูดตรง ๆ ก็คือ กัญถูกผีหลอกค่ะเมธ” หล่อนตอบราวกับเดาความคิดเขาได้ “กัญเจอผีหัวขาดที่ข้างทาง พอกลับถึงบ้านก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีกค่ะ”
“ทำไมครับ เกิดอะไรขึ้นอีก แล้วกัญไม่เป็นอะไรนะครับ” เมธาวัฒน์รัวคำถามด้วยใจร้อนรน
“ไม่ค่ะ กัญไม่เป็นอะไร แต่...เจ้าแต้ม หมาของกัญตายแล้วค่ะ กัญขับรถทับมันตายคาที่เลย”
เขาฟังแล้วใจหายวูบ หล่อนเคยพูดถึงความแสนรู้ของเจ้าแต้มให้เขาฟังอยู่บ่อย ๆ จนเขาได้เห็นหน้ามันตอนไปบ้านกัญญา มันแสดงความเป็นมิตรกับเขาด้วยการเข้ามาคลอเคลียราวรู้จักกันมานาน บางครั้งตอนเลิกงานเขายังซื้อฮอทดอกทอดฝากให้กัญญานำไปให้เจ้าแต้มเพราะหล่อนบอกว่าเป็นของโปรดของมัน เขาไม่คิดว่าหญิงคนรักของเขาตั้งใจขับรถทับมันอย่างแน่นอน
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ ถ้ากัญไม่อยากพูดถึงตอนนี้ยังไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
หล่อนบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง
เมธาวัฒน์ฟังแล้วขนลุกเกรียว เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวเป็นอื่นไปได้เลยนอกเสียจากว่า กัญญากำลังเผชิญกับสิ่งลี้ลับบางอย่าง และเจ้าแต้มอาจเป็นเหยื่อที่ใช้ข่มขวัญหล่อน หรืออาจเป็นผู้รับเคราะห์แทนหล่อนก็เป็นได้
“ไปวัดทำบุญกันมั้ยครับ เดี๋ยวผมขับรถไปให้” เมธาวัฒน์นึกถึงพระกับวัดขึ้นมาทันที “ยังไม่เก้าโมงเลย เราไปถวายเพลก็ได้นะครับ ชวนคุณป้าไปด้วย”
“ก็ดีนะคะ ถือว่าไปทำบุญให้เจ้าแต้มด้วยเลย กัญไม่ได้คิดเลยค่ะ ฝังศพเจ้าแต้มแล้วช่วยแม่ทำงานบ้าน คิดแต่ว่าไม่อยากอยู่ว่าง ๆ ให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้า”
“ไม่นึกถึงผมเลยหรือครับ” เขาแกล้งทำเสียงตัดพ้อ และก็ได้ยินเสียงหล่อนหัวเราะออกมา “มีสุข มีทุกข์อะไรก็ขอให้บอกผมนะครับ ผมจะยืนเคียงข้างคุณเสมอ”
“ขอบคุณมากค่ะเมษ”
เขาไม่ได้พูดเพียงเพื่อให้หล่อนฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่เขากลั่นกรองคำพูดนี้ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ