ผีล่ากรรม ( บทที่ ๒ )

กระทู้สนทนา
บทที่  ๑  http://ppantip.com/topic/30905106

(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)







บทที่  ๒






          กัญญาพยามยามตั้งสตินึกขอให้พระคุ้มครอง   มองกระจกดูภาพเบื้องหลังอีกครั้งพบว่าร่างไร้หัวนั้นหายไปแล้ว  แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจหล่อนยังเต้นรัวเมื่อกวาดตามองสองข้างทางมืดมิด

          โทรศัพท์ส่งเสียงดังจากเบาะข้างกาย  หล่อนคิดว่าต้องเป็นเมธาวัฒน์โทร.ย้อนกลับมา    หากอารมณ์ตึงเครียดจากความกลัวทำให้หล่อนไม่สนใจรับโทรศัพท์

          หล่อนจมกับความรู้สึกหวาดผวาอยู่นาน  กระทั่งมองเห็นอาคารสีขาวซึ่งด้านหน้าติดกระจกไว้ตลอดความสูงเป็นโชว์รูมรถยนต์ญี่ปุ่นโดดเด่นอยู่กลางแสงไฟ  ทำให้หล่อนใจชื้นขึ้นบ้าง  เพราะแค่เพียงเลี้ยวรถเข้าในซอยข้างโชว์รูม  ก็จะถึงย่านที่หล่อนพักอาศัย

         เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าเขตชุมชนแล้ว  กัญญาลดความเร็วลงพลางถอนใจยาวด้วยความโล่งอก   สองข้างทางมีร้านขายของกินโต้รุ่งเปิดอยู่ประปราย  ภาพผู้คนและมอเตอร์ไซค์สัญจรทำให้หล่อนคลายความกลัว   หล่อนขับรถเรื่อยไปจนมองเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวโต้รุ่งเจ้าประจำอยู่ด้านขวามือจึงเลี้ยวรถเข้าซอยย่อยข้างร้านนั้น  ใช้เวลาเพียงไม่นานกัญญาก็จอดรถอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง

          ขณะนั้นใกล้เวลาสี่ทุ่มแล้ว  กัญญาแลเห็นแสงไฟชั้นล่างในตัวบ้านยังเปิดอยู่  บ่งบอกว่าคนในบ้านยังไม่เข้านอน     หล่อนยิ้มกับตัวเองเพราะนาทีนี้หล่อนคิดถึงอ้อมกอดของพ่อแม่เป็นที่สุด
  
         หล่อนปิดแอร์ในรถ  เลื่อนกระจกข้างลงแล้วซบหน้ากับพวงมาลัย  ใคร่ครวญว่าควรจะเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญให้พวกท่านรับรู้หรือไม่  
นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่   แม้ยังคิดไม่ตกแต่กัญญาก็ยืดตัวขึ้นหันไปเปิดประตูก้าวสู่ภายนอก  พบเจ้าแต้ม  หมาพันธุ์ทางรูปร่างสูงประเปรียวยืนกระดิกหางส่งเสียงงี๊ดง๊าดอยู่หลังประตูด้านตรงข้าม  หล่อนตั้งชื่อมันว่า ‘แต้ม’  ด้วยขนทั้งตัวเป็นสีขาว  แต่มีจุดดำเป็นวงใหญ่แต้มกระจายอยู่บนลำตัวและหลัง

           กัญญาเดินไปไขกุญแจประตูเล็กก่อนจัดการเปิดประตูใหญ่โดยหมาตัวนั้นคลอเคลียไม่ห่างกาย  หล่อนยืนลูบหัวเจ้าแต้มและมันก็ยืนมองหน้าหล่อนโดยหางยังกระดิกไปมา
  
          เพียงครู่เดียวเจ้าแต้มก็หางตกวิ่งกลับเข้าไปในลานบ้าน   ยืนจังก้าแยกเขี้ยวขาวเห่ากรรโชกเสียงดังจนกัญญาต้องเหลียวมองด้านหลัง  แต่หล่อนไม่เห็นมีคนหรือสัตว์อื่นผ่านไปแต่อย่างใด

          ลมแรงพัดมาวูบหนึ่งทำให้กิ่งใบการเวกที่ปลูกเป็นซุ้มเชื่อมกับมุขหน้าบ้านส่ายไหว   กัญญารีบกลับเข้าไปในรถเตรียมเข้าเกียร์เดินหน้า   ขณะเหลือบตาดูกระจกมองหลังก็เห็นเงาดำรูปร่างคล้ายคนอยู่ตรงด้านหลังของหล่อน  ทำให้กัญญาถึงกับตัวแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก  

          ต้นแขนของหล่อนรู้สึกเหมือนถูกของเย็นเข้าสัมผัส   หากมันค่อย ๆ บีบรัดขึ้นเรื่อย ๆ จนหล่อนต้องก้มมอง   เห็นมือมีหนังเหี่ยวย่นจับอยู่ตรงบริเวณจุดสัมผัสเยือกเย็นนั้น   พร้อม ๆ กับบังเกิดเสียงพูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบข้างหูหล่อน

         “ตาย...ต้องตาย...อีเนื้อแพร”

         “กรี๊ดดด”   กัญญาหวีดร้องด้วยสะพรึงกลัว   ความรู้สึกเย็นที่ต้นแขนของหล่อนบัดนี้เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดคล้ายถูกปลายเล็บกดฝังลงในผิวเนื้อ   ทำให้หล่อนสะดุ้งตกใจเหยียบคันเร่งพุ่งรถไปข้างหน้า

          เจ้าแต้มยืนเห่ากระโชกถี่ขึ้น   ทั้งขู่ทั้งเห่าแต่มันกลับไม่ยอมขยับตัวถอยหนีออกไปให้พ้นจากวิถีของรถที่กำลังพุ่งตรงเข้าหามัน
กัญญาเบิกตาโพลงเมื่อรถกระชั้นชิดกับร่างของเจ้าหมาแต้มดำ  มันไม่ขยับตัวหนีรถ  ได้แต่ส่งเสียงครางหงิง ๆ อยู่ครู่เดียวแล้วร้องเอ๊ง ๆ ดั่งแสดงความเจ็บปวด  หล่อนรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด  หากไร้เรี่ยวแรงแข็งขืน  กระทั่งเสียงโพละดังขึ้นจากใต้ท้องรถซึ่งกำลังเคลื่อนไป  แล้วเจ้าแต้มก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ อีกเลย

          กัญญารู้สึกหนาวร้อนสลับกันจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว  พยายามขยับตัวแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้  หล่อนจึงหลับตาลงทั้งที่น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอหน่วยตา  จ้องมองพระพุทธรูปองค์เล็กหน้ารถขอความช่วยเหลือ

         “หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”

         เมื่อลืมตาขึ้นหล่อนรู้สึกถึงเรี่ยวแรงกลับคืนมา  แต่หล่อนก็พบว่าภาพเบื้องหน้าคือกำแพงด้านในของโรงรถ!

         หล่อนเกร็งข้อเท้าเหยียบเบรกจนมิด  เป็นผลให้ร่างกายปะทะเข้ากับพวงมาลัยอย่างแรง

         โคมไฟผนังหน้าบ้านสว่างจ้าขึ้นทันใด  ชายรูปร่างผอมสูง หน้าผากกว้าง มีเส้นริ้วรอยแห่งวัยลึกชัด เดินพ้นประตูไม้บานใหญ่ออกมายืนทำท่าเขม้นมองอยู่ตรงหน้ามุข  แล้วเขาก็วิ่งถลันลงบันไดมายังลานบ้าน

         กัญญาเปิดประตูพรวดออกจากรถวิ่งผวาเข้ากอดร่างนายกันต์พลผู้เป็นพ่อ

         “พ่อขา  กัญกลัว!”  หล่อนบอกพลางร้องไห้ฟูมฟาย  “ผีหลอก...ผีหลอกกัญค่ะพ่อ...พ่อช่วย...ช่วยกัญด้วย”

         “ยายกัญ  เป็นอะไรลูก  เกิดอะไรขึ้น”  นายกันต์พลรีบถาม

         นางยุพินเดินตามหลังสามีลงบันไดมา   แลเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นก็ถึงกับยกมือทาบอกร้องอุทานเสียงดัง

         “พระช่วย!  ยายกัญขับรถทับเจ้าแต้ม!”

          กัญญาได้ฟังเสียงมารดาจึงผละจากอกของบิดา  หล่อนหันกลับมาดูภาพกลางลานซีเมนต์  พบว่าเจ้าแต้มนอนลิ้นจุกปากหมดลมหายใจ  ตาเบิกค้างด้วยช่องท้องแตก  อวัยวะภายในสีแดงสดทะลักออกมากองพื้นดูน่าสังเวชใจยิ่งนัก

          หล่อนโผเข้ากอดมารดา   สะอื้นไห้จนกายไหว

          “แม่ขา  กัญ...กัญไม่ได้ตั้งใจ  กัญไม่ได้...ตั้งใจ  ผีหลอกกัญค่ะ  กัญถูก...ถูกผีหลอก”

           นางยุพินได้ฟังก็ถึงกับผงะ   “อะไรนะยายกัญ!”

          กัญญาค่อย ๆ ขยับกายถอยห่างจากมารดา  หล่อนมองสบตาบุพการีทั้งสองราวจะยืนยันว่าสิ่งที่หล่อนจะพูดต่อไปคือเรื่องจริง

          “กัญถูกผีหลอกกลางทางค่ะ   แล้ว...แล้วมันก็ตามมาหลอกกัญในรถเมื่อกี้นี้อีก”  หล่อนบอก  หันไปมองรถซึ่งจอดสนิทแต่ประตูข้างคนขับยังเปิดค้างไว้  รู้สึกหนาวเยือกด้วยความกลัวขึ้นมาอีกคราว

          หล่อนเบนสายตากลับมาที่ร่างของเจ้าแต้ม  ขอบตาร้อนขึ้นจนหล่อนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้น  ยื่นมือไปลูบหัวมันด้วยน้ำตานองหน้า

         “ฉันขอโทษนะแต้ม  ฉันไม่ได้ตั้งใจ”  หล่อนพูดกับเจ้าแต้ม  ลูบเปลือกตาเบิกค้างนั้นให้ปิดลง   อวัยวะภายในซึ่งทะลักออกมาส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไม่ได้ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนแต่อย่างใด   หล่อนนึกกล่าวโทษตัวเองอยู่ในใจที่เป็นผู้กระทำให้เจ้าแต้มต้องมีสภาพดังที่เห็น  

           “เขาอยู่กับเราได้แค่นี้  อย่าเสียใจเลยลูก”  นายกันต์พลพูดปลอบใจบุตรสาว

           กัญญาลุกขึ้นยืนช้า ๆ  ยกสองมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง

          “พาลูกเข้าบ้านเถอะคุณ    เดี๋ยวผมจัดการเอาศพเจ้าแต้มหลบให้พ้นทางก่อน  พรุ่งนี้เช้าค่อยฝังมัน”   เขาหันไปบอกภรรยา
นางยุพินจึงเข้าโอบไหล่ประคองร่างบุตรสาวเดินเข้าสู่ตัวบ้าน  พาไปยังห้องโถงรับแขกมีชุดโซฟาไม้สีมะฮอกกานีวางเบาะรองนั่งเป็นหนังเทียมสีครีม

           “กินอะไรมาหรือยัง  นี่ก็ดึกแล้วนะลูก”  นางยุพินถามเมื่อนั่งลงข้างกายบุตรสาว

           “ยังค่ะแม่  แต่ตอนนี้กัญไม่รู้สึกหิวอะไรเลย”  กัญญาบอกตามความรู้สึกแท้จริง  เรื่องราวต่าง ๆ ประดังเข้ามาจนดูเหมือนจะทำให้กระเพาะอาหารของหล่อนไม่ทำงานไปเสียแล้ว

           ครู่ใหญ่นายกันต์พลก็เดินเข้ามาในบ้าน  ถือกระเป๋าสะพายใบย่อมสีฟ้าอ่อนตรงเข้ามาวางลงบนโต๊ะ  ก่อนจะเดินผ่านห้องโถงเข้าไปล้างมือในห้องน้ำแล้วย้อนกลับออกมานั่งรวมกัน

          “เรื่องเป็นยังไงลูก   เล่าให้พ่อฟังได้มั้ย”  เขาถามหลังจากนั่งบนโซฟาตัวยาวที่บุตรและภรรยานั่งอยู่ก่อน  โดยเขาเลือกนั่งด้านซ้ายมือให้กัญญาอยู่ตรงกลาง

           กัญญานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มเล่าเรื่องราวให้บุพการีทั้งสองฟัง  หล่อนเล่าด้วยอาการขนลุกขนพอง   คล้ายดังว่าหล่อนย้อนเวลากลับไปอยู่ในรถอีกครั้งตอนที่มองเห็นเงาตะคุ่มมายืนโบกมืออยู่ข้างถนน

          “ทีแรกกัญกลัวว่าจะเป็นพวกคนร้ายมาโบกรถ  แต่...แต่มันไม่ใช่ค่ะ”  หล่อนพูดพลางยกมือลูบแขนตัวเอง  “มันโผล่ขึ้นมารอบสองกัญก็ยังเข้าใจว่าเป็นคนร้ายอยู่นะคะ  พอรถเข้าใกล้เท่านั้นเลยได้เห็นว่ามันไม่มีหัว!”

            กัญญาต้องก้มหน้าเพราะน้ำตาแห่งความกลัวเอ่อขึ้นมา

           “ขับต่อมาก็ไม่มีอะไร   จนมาถึงหน้าบ้านเราเองนี่ละค่ะ”  หล่อนหยุดเล่า  ยกมือกอดอกเอนกายไปซบมารดา  “มีเงาดำ ๆ  อยู่ข้างหลังเบาะกัญ  แล้วมันยังพูดใส่หูด้วยว่าจะเอาชีวิตกัญ”

           นายกันต์พลมองสบตานางยุพินนิ่ง ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา  ข้างฝ่ายภรรยาจึงพูดขึ้นเสียเอง

           “ลูกแน่ใจนะว่า...ว่า...ไม่ใช่คนน่ะ   คือแม่จะพูดยังไงดีล่ะ  ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงถึงจะถูก”  นางถามกระอึกกระอัก

           กัญญาไม่รู้จะหาคำอธิบายเหตุการณ์ระทึกขวัญที่หล่อนประสบมาได้อย่างไร  หล่อนคิดว่าลึก ๆ แล้วในใจพ่อกับแม่อาจไม่เชื่อคำพูดของหล่อนก็เป็นได้

            “พ่อเข้าไปดูในรถก็ไม่เห็นมีอะไรนะ”  นายกันต์พลพูดเสียงเรียบ

           “ไม่มีอะไรผิดสังเกตใช่มั้ยคะพ่อ”  หล่อนถามหวาดหวั่น

            “ไม่มีนะลูก  ไม่มีอะไร  รถคันนี้พ่อใช้มานาน  ไม่เคยเจอเรื่องลึกลับอะไรแบบนี้”

            กัญญารับช่วงใช้รถต่อจากบิดา   โดยนายกันต์พลเป็นครูสอนขับรถให้หล่อนจนเชี่ยวชาญ  แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาเล่าเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับรถให้หล่อนฟัง

           “แบบนี้จะให้ฉันเข้าใจว่ายังไงล่ะคุณ  ไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผี”  นางยุพินบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก  “หรือว่าเขามาขอส่วนบุญ   ยายกัญอาจจะดวงไม่ดี  เพราะเดือนหน้าก็จะครบยี่สิบห้าเต็มแล้วไม่ใช่หรือลูก”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่