บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/30905106
(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)
บทที่ ๒
กัญญาพยามยามตั้งสตินึกขอให้พระคุ้มครอง มองกระจกดูภาพเบื้องหลังอีกครั้งพบว่าร่างไร้หัวนั้นหายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจหล่อนยังเต้นรัวเมื่อกวาดตามองสองข้างทางมืดมิด
โทรศัพท์ส่งเสียงดังจากเบาะข้างกาย หล่อนคิดว่าต้องเป็นเมธาวัฒน์โทร.ย้อนกลับมา หากอารมณ์ตึงเครียดจากความกลัวทำให้หล่อนไม่สนใจรับโทรศัพท์
หล่อนจมกับความรู้สึกหวาดผวาอยู่นาน กระทั่งมองเห็นอาคารสีขาวซึ่งด้านหน้าติดกระจกไว้ตลอดความสูงเป็นโชว์รูมรถยนต์ญี่ปุ่นโดดเด่นอยู่กลางแสงไฟ ทำให้หล่อนใจชื้นขึ้นบ้าง เพราะแค่เพียงเลี้ยวรถเข้าในซอยข้างโชว์รูม ก็จะถึงย่านที่หล่อนพักอาศัย
เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าเขตชุมชนแล้ว กัญญาลดความเร็วลงพลางถอนใจยาวด้วยความโล่งอก สองข้างทางมีร้านขายของกินโต้รุ่งเปิดอยู่ประปราย ภาพผู้คนและมอเตอร์ไซค์สัญจรทำให้หล่อนคลายความกลัว หล่อนขับรถเรื่อยไปจนมองเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวโต้รุ่งเจ้าประจำอยู่ด้านขวามือจึงเลี้ยวรถเข้าซอยย่อยข้างร้านนั้น ใช้เวลาเพียงไม่นานกัญญาก็จอดรถอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง
ขณะนั้นใกล้เวลาสี่ทุ่มแล้ว กัญญาแลเห็นแสงไฟชั้นล่างในตัวบ้านยังเปิดอยู่ บ่งบอกว่าคนในบ้านยังไม่เข้านอน หล่อนยิ้มกับตัวเองเพราะนาทีนี้หล่อนคิดถึงอ้อมกอดของพ่อแม่เป็นที่สุด
หล่อนปิดแอร์ในรถ เลื่อนกระจกข้างลงแล้วซบหน้ากับพวงมาลัย ใคร่ครวญว่าควรจะเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญให้พวกท่านรับรู้หรือไม่
นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ แม้ยังคิดไม่ตกแต่กัญญาก็ยืดตัวขึ้นหันไปเปิดประตูก้าวสู่ภายนอก พบเจ้าแต้ม หมาพันธุ์ทางรูปร่างสูงประเปรียวยืนกระดิกหางส่งเสียงงี๊ดง๊าดอยู่หลังประตูด้านตรงข้าม หล่อนตั้งชื่อมันว่า ‘แต้ม’ ด้วยขนทั้งตัวเป็นสีขาว แต่มีจุดดำเป็นวงใหญ่แต้มกระจายอยู่บนลำตัวและหลัง
กัญญาเดินไปไขกุญแจประตูเล็กก่อนจัดการเปิดประตูใหญ่โดยหมาตัวนั้นคลอเคลียไม่ห่างกาย หล่อนยืนลูบหัวเจ้าแต้มและมันก็ยืนมองหน้าหล่อนโดยหางยังกระดิกไปมา
เพียงครู่เดียวเจ้าแต้มก็หางตกวิ่งกลับเข้าไปในลานบ้าน ยืนจังก้าแยกเขี้ยวขาวเห่ากรรโชกเสียงดังจนกัญญาต้องเหลียวมองด้านหลัง แต่หล่อนไม่เห็นมีคนหรือสัตว์อื่นผ่านไปแต่อย่างใด
ลมแรงพัดมาวูบหนึ่งทำให้กิ่งใบการเวกที่ปลูกเป็นซุ้มเชื่อมกับมุขหน้าบ้านส่ายไหว กัญญารีบกลับเข้าไปในรถเตรียมเข้าเกียร์เดินหน้า ขณะเหลือบตาดูกระจกมองหลังก็เห็นเงาดำรูปร่างคล้ายคนอยู่ตรงด้านหลังของหล่อน ทำให้กัญญาถึงกับตัวแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก
ต้นแขนของหล่อนรู้สึกเหมือนถูกของเย็นเข้าสัมผัส หากมันค่อย ๆ บีบรัดขึ้นเรื่อย ๆ จนหล่อนต้องก้มมอง เห็นมือมีหนังเหี่ยวย่นจับอยู่ตรงบริเวณจุดสัมผัสเยือกเย็นนั้น พร้อม ๆ กับบังเกิดเสียงพูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบข้างหูหล่อน
“ตาย...ต้องตาย...อีเนื้อแพร”
“กรี๊ดดด” กัญญาหวีดร้องด้วยสะพรึงกลัว ความรู้สึกเย็นที่ต้นแขนของหล่อนบัดนี้เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดคล้ายถูกปลายเล็บกดฝังลงในผิวเนื้อ ทำให้หล่อนสะดุ้งตกใจเหยียบคันเร่งพุ่งรถไปข้างหน้า
เจ้าแต้มยืนเห่ากระโชกถี่ขึ้น ทั้งขู่ทั้งเห่าแต่มันกลับไม่ยอมขยับตัวถอยหนีออกไปให้พ้นจากวิถีของรถที่กำลังพุ่งตรงเข้าหามัน
กัญญาเบิกตาโพลงเมื่อรถกระชั้นชิดกับร่างของเจ้าหมาแต้มดำ มันไม่ขยับตัวหนีรถ ได้แต่ส่งเสียงครางหงิง ๆ อยู่ครู่เดียวแล้วร้องเอ๊ง ๆ ดั่งแสดงความเจ็บปวด หล่อนรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากไร้เรี่ยวแรงแข็งขืน กระทั่งเสียงโพละดังขึ้นจากใต้ท้องรถซึ่งกำลังเคลื่อนไป แล้วเจ้าแต้มก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ อีกเลย
กัญญารู้สึกหนาวร้อนสลับกันจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว พยายามขยับตัวแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ หล่อนจึงหลับตาลงทั้งที่น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอหน่วยตา จ้องมองพระพุทธรูปองค์เล็กหน้ารถขอความช่วยเหลือ
“หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”
เมื่อลืมตาขึ้นหล่อนรู้สึกถึงเรี่ยวแรงกลับคืนมา แต่หล่อนก็พบว่าภาพเบื้องหน้าคือกำแพงด้านในของโรงรถ!
หล่อนเกร็งข้อเท้าเหยียบเบรกจนมิด เป็นผลให้ร่างกายปะทะเข้ากับพวงมาลัยอย่างแรง
โคมไฟผนังหน้าบ้านสว่างจ้าขึ้นทันใด ชายรูปร่างผอมสูง หน้าผากกว้าง มีเส้นริ้วรอยแห่งวัยลึกชัด เดินพ้นประตูไม้บานใหญ่ออกมายืนทำท่าเขม้นมองอยู่ตรงหน้ามุข แล้วเขาก็วิ่งถลันลงบันไดมายังลานบ้าน
กัญญาเปิดประตูพรวดออกจากรถวิ่งผวาเข้ากอดร่างนายกันต์พลผู้เป็นพ่อ
“พ่อขา กัญกลัว!” หล่อนบอกพลางร้องไห้ฟูมฟาย “ผีหลอก...ผีหลอกกัญค่ะพ่อ...พ่อช่วย...ช่วยกัญด้วย”
“ยายกัญ เป็นอะไรลูก เกิดอะไรขึ้น” นายกันต์พลรีบถาม
นางยุพินเดินตามหลังสามีลงบันไดมา แลเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นก็ถึงกับยกมือทาบอกร้องอุทานเสียงดัง
“พระช่วย! ยายกัญขับรถทับเจ้าแต้ม!”
กัญญาได้ฟังเสียงมารดาจึงผละจากอกของบิดา หล่อนหันกลับมาดูภาพกลางลานซีเมนต์ พบว่าเจ้าแต้มนอนลิ้นจุกปากหมดลมหายใจ ตาเบิกค้างด้วยช่องท้องแตก อวัยวะภายในสีแดงสดทะลักออกมากองพื้นดูน่าสังเวชใจยิ่งนัก
หล่อนโผเข้ากอดมารดา สะอื้นไห้จนกายไหว
“แม่ขา กัญ...กัญไม่ได้ตั้งใจ กัญไม่ได้...ตั้งใจ ผีหลอกกัญค่ะ กัญถูก...ถูกผีหลอก”
นางยุพินได้ฟังก็ถึงกับผงะ “อะไรนะยายกัญ!”
กัญญาค่อย ๆ ขยับกายถอยห่างจากมารดา หล่อนมองสบตาบุพการีทั้งสองราวจะยืนยันว่าสิ่งที่หล่อนจะพูดต่อไปคือเรื่องจริง
“กัญถูกผีหลอกกลางทางค่ะ แล้ว...แล้วมันก็ตามมาหลอกกัญในรถเมื่อกี้นี้อีก” หล่อนบอก หันไปมองรถซึ่งจอดสนิทแต่ประตูข้างคนขับยังเปิดค้างไว้ รู้สึกหนาวเยือกด้วยความกลัวขึ้นมาอีกคราว
หล่อนเบนสายตากลับมาที่ร่างของเจ้าแต้ม ขอบตาร้อนขึ้นจนหล่อนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้น ยื่นมือไปลูบหัวมันด้วยน้ำตานองหน้า
“ฉันขอโทษนะแต้ม ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หล่อนพูดกับเจ้าแต้ม ลูบเปลือกตาเบิกค้างนั้นให้ปิดลง อวัยวะภายในซึ่งทะลักออกมาส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไม่ได้ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนแต่อย่างใด หล่อนนึกกล่าวโทษตัวเองอยู่ในใจที่เป็นผู้กระทำให้เจ้าแต้มต้องมีสภาพดังที่เห็น
“เขาอยู่กับเราได้แค่นี้ อย่าเสียใจเลยลูก” นายกันต์พลพูดปลอบใจบุตรสาว
กัญญาลุกขึ้นยืนช้า ๆ ยกสองมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง
“พาลูกเข้าบ้านเถอะคุณ เดี๋ยวผมจัดการเอาศพเจ้าแต้มหลบให้พ้นทางก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยฝังมัน” เขาหันไปบอกภรรยา
นางยุพินจึงเข้าโอบไหล่ประคองร่างบุตรสาวเดินเข้าสู่ตัวบ้าน พาไปยังห้องโถงรับแขกมีชุดโซฟาไม้สีมะฮอกกานีวางเบาะรองนั่งเป็นหนังเทียมสีครีม
“กินอะไรมาหรือยัง นี่ก็ดึกแล้วนะลูก” นางยุพินถามเมื่อนั่งลงข้างกายบุตรสาว
“ยังค่ะแม่ แต่ตอนนี้กัญไม่รู้สึกหิวอะไรเลย” กัญญาบอกตามความรู้สึกแท้จริง เรื่องราวต่าง ๆ ประดังเข้ามาจนดูเหมือนจะทำให้กระเพาะอาหารของหล่อนไม่ทำงานไปเสียแล้ว
ครู่ใหญ่นายกันต์พลก็เดินเข้ามาในบ้าน ถือกระเป๋าสะพายใบย่อมสีฟ้าอ่อนตรงเข้ามาวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินผ่านห้องโถงเข้าไปล้างมือในห้องน้ำแล้วย้อนกลับออกมานั่งรวมกัน
“เรื่องเป็นยังไงลูก เล่าให้พ่อฟังได้มั้ย” เขาถามหลังจากนั่งบนโซฟาตัวยาวที่บุตรและภรรยานั่งอยู่ก่อน โดยเขาเลือกนั่งด้านซ้ายมือให้กัญญาอยู่ตรงกลาง
กัญญานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มเล่าเรื่องราวให้บุพการีทั้งสองฟัง หล่อนเล่าด้วยอาการขนลุกขนพอง คล้ายดังว่าหล่อนย้อนเวลากลับไปอยู่ในรถอีกครั้งตอนที่มองเห็นเงาตะคุ่มมายืนโบกมืออยู่ข้างถนน
“ทีแรกกัญกลัวว่าจะเป็นพวกคนร้ายมาโบกรถ แต่...แต่มันไม่ใช่ค่ะ” หล่อนพูดพลางยกมือลูบแขนตัวเอง “มันโผล่ขึ้นมารอบสองกัญก็ยังเข้าใจว่าเป็นคนร้ายอยู่นะคะ พอรถเข้าใกล้เท่านั้นเลยได้เห็นว่ามันไม่มีหัว!”
กัญญาต้องก้มหน้าเพราะน้ำตาแห่งความกลัวเอ่อขึ้นมา
“ขับต่อมาก็ไม่มีอะไร จนมาถึงหน้าบ้านเราเองนี่ละค่ะ” หล่อนหยุดเล่า ยกมือกอดอกเอนกายไปซบมารดา “มีเงาดำ ๆ อยู่ข้างหลังเบาะกัญ แล้วมันยังพูดใส่หูด้วยว่าจะเอาชีวิตกัญ”
นายกันต์พลมองสบตานางยุพินนิ่ง ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ข้างฝ่ายภรรยาจึงพูดขึ้นเสียเอง
“ลูกแน่ใจนะว่า...ว่า...ไม่ใช่คนน่ะ คือแม่จะพูดยังไงดีล่ะ ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงถึงจะถูก” นางถามกระอึกกระอัก
กัญญาไม่รู้จะหาคำอธิบายเหตุการณ์ระทึกขวัญที่หล่อนประสบมาได้อย่างไร หล่อนคิดว่าลึก ๆ แล้วในใจพ่อกับแม่อาจไม่เชื่อคำพูดของหล่อนก็เป็นได้
“พ่อเข้าไปดูในรถก็ไม่เห็นมีอะไรนะ” นายกันต์พลพูดเสียงเรียบ
“ไม่มีอะไรผิดสังเกตใช่มั้ยคะพ่อ” หล่อนถามหวาดหวั่น
“ไม่มีนะลูก ไม่มีอะไร รถคันนี้พ่อใช้มานาน ไม่เคยเจอเรื่องลึกลับอะไรแบบนี้”
กัญญารับช่วงใช้รถต่อจากบิดา โดยนายกันต์พลเป็นครูสอนขับรถให้หล่อนจนเชี่ยวชาญ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาเล่าเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับรถให้หล่อนฟัง
“แบบนี้จะให้ฉันเข้าใจว่ายังไงล่ะคุณ ไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผี” นางยุพินบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “หรือว่าเขามาขอส่วนบุญ ยายกัญอาจจะดวงไม่ดี เพราะเดือนหน้าก็จะครบยี่สิบห้าเต็มแล้วไม่ใช่หรือลูก”
ผีล่ากรรม ( บทที่ ๒ )
(ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึก ที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้)
บทที่ ๒
กัญญาพยามยามตั้งสตินึกขอให้พระคุ้มครอง มองกระจกดูภาพเบื้องหลังอีกครั้งพบว่าร่างไร้หัวนั้นหายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจหล่อนยังเต้นรัวเมื่อกวาดตามองสองข้างทางมืดมิด
โทรศัพท์ส่งเสียงดังจากเบาะข้างกาย หล่อนคิดว่าต้องเป็นเมธาวัฒน์โทร.ย้อนกลับมา หากอารมณ์ตึงเครียดจากความกลัวทำให้หล่อนไม่สนใจรับโทรศัพท์
หล่อนจมกับความรู้สึกหวาดผวาอยู่นาน กระทั่งมองเห็นอาคารสีขาวซึ่งด้านหน้าติดกระจกไว้ตลอดความสูงเป็นโชว์รูมรถยนต์ญี่ปุ่นโดดเด่นอยู่กลางแสงไฟ ทำให้หล่อนใจชื้นขึ้นบ้าง เพราะแค่เพียงเลี้ยวรถเข้าในซอยข้างโชว์รูม ก็จะถึงย่านที่หล่อนพักอาศัย
เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าเขตชุมชนแล้ว กัญญาลดความเร็วลงพลางถอนใจยาวด้วยความโล่งอก สองข้างทางมีร้านขายของกินโต้รุ่งเปิดอยู่ประปราย ภาพผู้คนและมอเตอร์ไซค์สัญจรทำให้หล่อนคลายความกลัว หล่อนขับรถเรื่อยไปจนมองเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวโต้รุ่งเจ้าประจำอยู่ด้านขวามือจึงเลี้ยวรถเข้าซอยย่อยข้างร้านนั้น ใช้เวลาเพียงไม่นานกัญญาก็จอดรถอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง
ขณะนั้นใกล้เวลาสี่ทุ่มแล้ว กัญญาแลเห็นแสงไฟชั้นล่างในตัวบ้านยังเปิดอยู่ บ่งบอกว่าคนในบ้านยังไม่เข้านอน หล่อนยิ้มกับตัวเองเพราะนาทีนี้หล่อนคิดถึงอ้อมกอดของพ่อแม่เป็นที่สุด
หล่อนปิดแอร์ในรถ เลื่อนกระจกข้างลงแล้วซบหน้ากับพวงมาลัย ใคร่ครวญว่าควรจะเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญให้พวกท่านรับรู้หรือไม่
นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ แม้ยังคิดไม่ตกแต่กัญญาก็ยืดตัวขึ้นหันไปเปิดประตูก้าวสู่ภายนอก พบเจ้าแต้ม หมาพันธุ์ทางรูปร่างสูงประเปรียวยืนกระดิกหางส่งเสียงงี๊ดง๊าดอยู่หลังประตูด้านตรงข้าม หล่อนตั้งชื่อมันว่า ‘แต้ม’ ด้วยขนทั้งตัวเป็นสีขาว แต่มีจุดดำเป็นวงใหญ่แต้มกระจายอยู่บนลำตัวและหลัง
กัญญาเดินไปไขกุญแจประตูเล็กก่อนจัดการเปิดประตูใหญ่โดยหมาตัวนั้นคลอเคลียไม่ห่างกาย หล่อนยืนลูบหัวเจ้าแต้มและมันก็ยืนมองหน้าหล่อนโดยหางยังกระดิกไปมา
เพียงครู่เดียวเจ้าแต้มก็หางตกวิ่งกลับเข้าไปในลานบ้าน ยืนจังก้าแยกเขี้ยวขาวเห่ากรรโชกเสียงดังจนกัญญาต้องเหลียวมองด้านหลัง แต่หล่อนไม่เห็นมีคนหรือสัตว์อื่นผ่านไปแต่อย่างใด
ลมแรงพัดมาวูบหนึ่งทำให้กิ่งใบการเวกที่ปลูกเป็นซุ้มเชื่อมกับมุขหน้าบ้านส่ายไหว กัญญารีบกลับเข้าไปในรถเตรียมเข้าเกียร์เดินหน้า ขณะเหลือบตาดูกระจกมองหลังก็เห็นเงาดำรูปร่างคล้ายคนอยู่ตรงด้านหลังของหล่อน ทำให้กัญญาถึงกับตัวแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก
ต้นแขนของหล่อนรู้สึกเหมือนถูกของเย็นเข้าสัมผัส หากมันค่อย ๆ บีบรัดขึ้นเรื่อย ๆ จนหล่อนต้องก้มมอง เห็นมือมีหนังเหี่ยวย่นจับอยู่ตรงบริเวณจุดสัมผัสเยือกเย็นนั้น พร้อม ๆ กับบังเกิดเสียงพูดแผ่วเบาราวเสียงกระซิบข้างหูหล่อน
“ตาย...ต้องตาย...อีเนื้อแพร”
“กรี๊ดดด” กัญญาหวีดร้องด้วยสะพรึงกลัว ความรู้สึกเย็นที่ต้นแขนของหล่อนบัดนี้เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดคล้ายถูกปลายเล็บกดฝังลงในผิวเนื้อ ทำให้หล่อนสะดุ้งตกใจเหยียบคันเร่งพุ่งรถไปข้างหน้า
เจ้าแต้มยืนเห่ากระโชกถี่ขึ้น ทั้งขู่ทั้งเห่าแต่มันกลับไม่ยอมขยับตัวถอยหนีออกไปให้พ้นจากวิถีของรถที่กำลังพุ่งตรงเข้าหามัน
กัญญาเบิกตาโพลงเมื่อรถกระชั้นชิดกับร่างของเจ้าหมาแต้มดำ มันไม่ขยับตัวหนีรถ ได้แต่ส่งเสียงครางหงิง ๆ อยู่ครู่เดียวแล้วร้องเอ๊ง ๆ ดั่งแสดงความเจ็บปวด หล่อนรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากไร้เรี่ยวแรงแข็งขืน กระทั่งเสียงโพละดังขึ้นจากใต้ท้องรถซึ่งกำลังเคลื่อนไป แล้วเจ้าแต้มก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ อีกเลย
กัญญารู้สึกหนาวร้อนสลับกันจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว พยายามขยับตัวแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ หล่อนจึงหลับตาลงทั้งที่น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอหน่วยตา จ้องมองพระพุทธรูปองค์เล็กหน้ารถขอความช่วยเหลือ
“หลวงพ่อช่วยลูกด้วย”
เมื่อลืมตาขึ้นหล่อนรู้สึกถึงเรี่ยวแรงกลับคืนมา แต่หล่อนก็พบว่าภาพเบื้องหน้าคือกำแพงด้านในของโรงรถ!
หล่อนเกร็งข้อเท้าเหยียบเบรกจนมิด เป็นผลให้ร่างกายปะทะเข้ากับพวงมาลัยอย่างแรง
โคมไฟผนังหน้าบ้านสว่างจ้าขึ้นทันใด ชายรูปร่างผอมสูง หน้าผากกว้าง มีเส้นริ้วรอยแห่งวัยลึกชัด เดินพ้นประตูไม้บานใหญ่ออกมายืนทำท่าเขม้นมองอยู่ตรงหน้ามุข แล้วเขาก็วิ่งถลันลงบันไดมายังลานบ้าน
กัญญาเปิดประตูพรวดออกจากรถวิ่งผวาเข้ากอดร่างนายกันต์พลผู้เป็นพ่อ
“พ่อขา กัญกลัว!” หล่อนบอกพลางร้องไห้ฟูมฟาย “ผีหลอก...ผีหลอกกัญค่ะพ่อ...พ่อช่วย...ช่วยกัญด้วย”
“ยายกัญ เป็นอะไรลูก เกิดอะไรขึ้น” นายกันต์พลรีบถาม
นางยุพินเดินตามหลังสามีลงบันไดมา แลเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นก็ถึงกับยกมือทาบอกร้องอุทานเสียงดัง
“พระช่วย! ยายกัญขับรถทับเจ้าแต้ม!”
กัญญาได้ฟังเสียงมารดาจึงผละจากอกของบิดา หล่อนหันกลับมาดูภาพกลางลานซีเมนต์ พบว่าเจ้าแต้มนอนลิ้นจุกปากหมดลมหายใจ ตาเบิกค้างด้วยช่องท้องแตก อวัยวะภายในสีแดงสดทะลักออกมากองพื้นดูน่าสังเวชใจยิ่งนัก
หล่อนโผเข้ากอดมารดา สะอื้นไห้จนกายไหว
“แม่ขา กัญ...กัญไม่ได้ตั้งใจ กัญไม่ได้...ตั้งใจ ผีหลอกกัญค่ะ กัญถูก...ถูกผีหลอก”
นางยุพินได้ฟังก็ถึงกับผงะ “อะไรนะยายกัญ!”
กัญญาค่อย ๆ ขยับกายถอยห่างจากมารดา หล่อนมองสบตาบุพการีทั้งสองราวจะยืนยันว่าสิ่งที่หล่อนจะพูดต่อไปคือเรื่องจริง
“กัญถูกผีหลอกกลางทางค่ะ แล้ว...แล้วมันก็ตามมาหลอกกัญในรถเมื่อกี้นี้อีก” หล่อนบอก หันไปมองรถซึ่งจอดสนิทแต่ประตูข้างคนขับยังเปิดค้างไว้ รู้สึกหนาวเยือกด้วยความกลัวขึ้นมาอีกคราว
หล่อนเบนสายตากลับมาที่ร่างของเจ้าแต้ม ขอบตาร้อนขึ้นจนหล่อนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้น ยื่นมือไปลูบหัวมันด้วยน้ำตานองหน้า
“ฉันขอโทษนะแต้ม ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หล่อนพูดกับเจ้าแต้ม ลูบเปลือกตาเบิกค้างนั้นให้ปิดลง อวัยวะภายในซึ่งทะลักออกมาส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไม่ได้ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนแต่อย่างใด หล่อนนึกกล่าวโทษตัวเองอยู่ในใจที่เป็นผู้กระทำให้เจ้าแต้มต้องมีสภาพดังที่เห็น
“เขาอยู่กับเราได้แค่นี้ อย่าเสียใจเลยลูก” นายกันต์พลพูดปลอบใจบุตรสาว
กัญญาลุกขึ้นยืนช้า ๆ ยกสองมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง
“พาลูกเข้าบ้านเถอะคุณ เดี๋ยวผมจัดการเอาศพเจ้าแต้มหลบให้พ้นทางก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยฝังมัน” เขาหันไปบอกภรรยา
นางยุพินจึงเข้าโอบไหล่ประคองร่างบุตรสาวเดินเข้าสู่ตัวบ้าน พาไปยังห้องโถงรับแขกมีชุดโซฟาไม้สีมะฮอกกานีวางเบาะรองนั่งเป็นหนังเทียมสีครีม
“กินอะไรมาหรือยัง นี่ก็ดึกแล้วนะลูก” นางยุพินถามเมื่อนั่งลงข้างกายบุตรสาว
“ยังค่ะแม่ แต่ตอนนี้กัญไม่รู้สึกหิวอะไรเลย” กัญญาบอกตามความรู้สึกแท้จริง เรื่องราวต่าง ๆ ประดังเข้ามาจนดูเหมือนจะทำให้กระเพาะอาหารของหล่อนไม่ทำงานไปเสียแล้ว
ครู่ใหญ่นายกันต์พลก็เดินเข้ามาในบ้าน ถือกระเป๋าสะพายใบย่อมสีฟ้าอ่อนตรงเข้ามาวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินผ่านห้องโถงเข้าไปล้างมือในห้องน้ำแล้วย้อนกลับออกมานั่งรวมกัน
“เรื่องเป็นยังไงลูก เล่าให้พ่อฟังได้มั้ย” เขาถามหลังจากนั่งบนโซฟาตัวยาวที่บุตรและภรรยานั่งอยู่ก่อน โดยเขาเลือกนั่งด้านซ้ายมือให้กัญญาอยู่ตรงกลาง
กัญญานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มเล่าเรื่องราวให้บุพการีทั้งสองฟัง หล่อนเล่าด้วยอาการขนลุกขนพอง คล้ายดังว่าหล่อนย้อนเวลากลับไปอยู่ในรถอีกครั้งตอนที่มองเห็นเงาตะคุ่มมายืนโบกมืออยู่ข้างถนน
“ทีแรกกัญกลัวว่าจะเป็นพวกคนร้ายมาโบกรถ แต่...แต่มันไม่ใช่ค่ะ” หล่อนพูดพลางยกมือลูบแขนตัวเอง “มันโผล่ขึ้นมารอบสองกัญก็ยังเข้าใจว่าเป็นคนร้ายอยู่นะคะ พอรถเข้าใกล้เท่านั้นเลยได้เห็นว่ามันไม่มีหัว!”
กัญญาต้องก้มหน้าเพราะน้ำตาแห่งความกลัวเอ่อขึ้นมา
“ขับต่อมาก็ไม่มีอะไร จนมาถึงหน้าบ้านเราเองนี่ละค่ะ” หล่อนหยุดเล่า ยกมือกอดอกเอนกายไปซบมารดา “มีเงาดำ ๆ อยู่ข้างหลังเบาะกัญ แล้วมันยังพูดใส่หูด้วยว่าจะเอาชีวิตกัญ”
นายกันต์พลมองสบตานางยุพินนิ่ง ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ข้างฝ่ายภรรยาจึงพูดขึ้นเสียเอง
“ลูกแน่ใจนะว่า...ว่า...ไม่ใช่คนน่ะ คือแม่จะพูดยังไงดีล่ะ ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงถึงจะถูก” นางถามกระอึกกระอัก
กัญญาไม่รู้จะหาคำอธิบายเหตุการณ์ระทึกขวัญที่หล่อนประสบมาได้อย่างไร หล่อนคิดว่าลึก ๆ แล้วในใจพ่อกับแม่อาจไม่เชื่อคำพูดของหล่อนก็เป็นได้
“พ่อเข้าไปดูในรถก็ไม่เห็นมีอะไรนะ” นายกันต์พลพูดเสียงเรียบ
“ไม่มีอะไรผิดสังเกตใช่มั้ยคะพ่อ” หล่อนถามหวาดหวั่น
“ไม่มีนะลูก ไม่มีอะไร รถคันนี้พ่อใช้มานาน ไม่เคยเจอเรื่องลึกลับอะไรแบบนี้”
กัญญารับช่วงใช้รถต่อจากบิดา โดยนายกันต์พลเป็นครูสอนขับรถให้หล่อนจนเชี่ยวชาญ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาเล่าเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับรถให้หล่อนฟัง
“แบบนี้จะให้ฉันเข้าใจว่ายังไงล่ะคุณ ไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผี” นางยุพินบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “หรือว่าเขามาขอส่วนบุญ ยายกัญอาจจะดวงไม่ดี เพราะเดือนหน้าก็จะครบยี่สิบห้าเต็มแล้วไม่ใช่หรือลูก”