ผีล่ากรรม ( บทที่ ๑๑ )

กระทู้สนทนา
บทที่ ๑๐   http://ppantip.com/topic/31251762

ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึกที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้




บทที่  ๑๑




      กัญญาหันกลับไปมองที่เบาะหลัง แต่ไม่ปรากฏมีสิ่งใดหรืออะไรผิดปกติ หล่อนจึงถลันออกจากรถตรงรี่ไปหานายกันต์พล ซึ่งดูเขายังมีสติอยู่เพราะส่งเสียงร้องโอดโอย และครู่หนึ่งแม่ของหล่อนก็วิ่งเข้ามาถึงจุดเกิดเหตุ

     “แม่คะ ช่วยกันยกประตูก่อนค่ะ” กัญญาบอกมารดาด้วยสติมั่นคง

      ยุพินรีบช่วยบุตรสาวยกประตูเหล็กให้ลอยสูงขึ้นพ้นจากการกดทับร่างของสามี

     เมื่อกัญญารับรู้ถึงน้ำหนักของเหล็กประตู ทำให้หล่อนใจชื้นขึ้นบ้างว่าบิดาของหล่อนคงไม่เป็นอันตรายมากนัก ด้วยเป็นเพียงท่อเหล็กกลวงมีน้ำหนักไม่มาก รวมถึงความสูงเพียงเมตรกว่า ๆ ตลอดแนวความยาวเพียงแค่รถยนต์คันหนึ่งผ่านเข้าออกอย่างสะดวกเท่านั้น หากสิ่งที่หล่อนเป็นห่วงคือการล้มฟาดลงบนพื้นอย่างแรงของบิดา

     “พ่อคะ ขยับตัวได้มั้ยคะ” หญิงสาวร้องถามบิดา

     “คุณคะ ขยับออกมาให้พ้นประตูก่อน” ยุพินกล่าวเสริมด้วยท่าทางร้อนรนใจ

     นายกันต์พลนอนหน้าเผือดซีด หัวคิ้วขมวดเกร็ง มิได้ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เพียงแต่พลิกกายออกพ้นจากแนวเหล็กประตู

     “ค่อย ๆ วางลงพร้อมกันนะคะแม่” กัญญาบอกมารดาพลางย่อตัววางประตูเหล็กลงกับพื้น

     ยุพินปล่อยมือจากประตูแล้วเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างกายสามี

     “คุณคะ เป็นยังไง เจ็บหลังมั้ย เจ็บหัวมั้ย” นางรัวคำถาม แต่นายกันต์พลกลับมิได้เอ่ยอะไรออกมา

     “ช่วยพยุงพ่อขึ้นรถก่อนเถอะค่ะ กัญว่าเรารีบพาไปโรงพยาบาลดีกว่า”

     ยุพินสบตาบุตรสาวพลางพยักหน้าช้า ๆ แสดงความเห็นด้วย ถึงอย่างนั้นน้ำตาของนางก็เอ่อขึ้นมาเต็มตา

     กัญญามองหน้ามารดาแล้วหล่อนต้องเม้มริมฝีปากสะกดกลั้นความรู้สึกให้อยู่แต่เพียงภายใน หล่อนตระหนักดีว่ายามนี้หล่อนจะต้องเข้มแข็งเพื่อยืนเคียงข้างมารดา หากหล่อนมัวแต่ฟูมฟายหรือตีโพยตีพายไปด้วยอีกคน มารดาของหล่อนก็คงไม่เหลือหลักกำลังใจไว้ทรงกาย

     เพื่อนบ้านข้างเคียงที่เดินผ่านไปมาได้มองเห็นเหตุการณ์หน้าบ้านของกัญญาพากันเข้ามามุงดูพร้อมกับกระวีกระวาดให้ความช่วยเหลือ พยุงร่างของนายกันต์พลเข้าไปภายในรถ

     “เราไปโรงพยาบาลกันหมดแล้วใครจะดูบ้านคะ” กัญญาถามมารดาหลังจากเข้าไปนั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว

     ยุพินหันไปกล่าวฝากบ้านไว้กับหญิงสูงวัยบ้านหลังติดกัน และหันกลับมาพูดกับบุตรสาว

     “ใครจะเอาอะไรก็เอาไปเถอะลูก แม่เป็นห่วงพ่อ รีบออกรถเถอะ”

      นี่แหละหนอใจคน ต่อให้หวงห่วงสมบัติพัสถานอันเป็นของนอกกายมากสักเพียงใด เมื่อถึงคราวสูญเสียสิ้นไปก็คงไม่เจ็บปวดเท่าความรู้สึกสูญเสียเลือดเนื้อของผู้เป็นที่รักในครอบครัว

      กัญญาเลือกไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดเพราะมีขนาดใหญ่ พร้อมด้วยบุคลากรการแพทย์และเครื่องมือครบครัน หล่อนขับรถไปจอดเทียบช่องประตูรับผู้ป่วยของตึกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน

     บุรุษพยาบาลช่วยกันนำตัวนายกันต์พลออกจากรถส่งให้ขึ้นนอนบนเตียงพยาบาล แล้วเข็นเตียงเร็วรี่เข้าไปภายในตึกโดยยุพินติดตามไปอยู่ไม่ห่าง

     หญิงสาวขับรถไปหาที่จอดเรียบร้อยแล้วเดินย้อนกลับเข้าไปในตึก เห็นมารดากำลังตอบคำถามของพยาบาลสาวที่เข้ามาตรวจดูอาการของบิดาหล่อน หากด้วยเคยมีประวัติเป็นคนไข้ในของทางโรงพยาบาลอยู่แล้วจึงไม่ต้องซักประวัติอะไรมาก และเมื่อพยาบาลหันไปพูดกับคนเจ็บก็ดูเหมือนเขายังมีสติสมบูรณ์ ตอบอาการความรู้สึกของตัวเองได้แม้ด้วยเสียงแผ่วเบาและใบหน้าซีดเซียว

     “เชิญญาติออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ” พยาบาลสาวกล่าว

      “เราออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะค่ะ พ่อไม่เป็นอะไรมากหรอก” กัญญากล่าวปลอบใจมารดากับตัวเองอยู่ในที

     ยุพินยังทอดสายตามองสามีไม่วางตา ราวกับไม่อยากทิ้งเขาไว้ให้อยู่เพียงลำพัง นางโน้มตัวไปพูดกับสามีที่ข้างหู

     “ฉันจะไปรออยู่ข้างนอก คุณต้องเข็มแข็งไว้นะคะ”

      ระหว่างนั้นประตูหน้าถูกผลักเข้ามาตามด้วยทีมบุรุษพยาบาลกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายคน เร่งรีบเข็นเตียงคนเจ็บเป็นหนุ่มวัยรุ่นร่างโชกเลือดสองเตียงเข้ามาในห้อง ทำให้พยาบาลหลายคนต้องเข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บทั้งสองอย่างเร่งด่วน

       กัญญาจับมือยุพินพากันเดินออกจากห้องคัดกรองผู้ประสบอุบัติเหตุ หล่อนพามารดาไปนั่งที่เก้าอี้แถวยาว จัดตั้งไว้หลายแถวในโถงกว้างหน้าห้อง มีคนหลายระดับชั้นนั่งกระจายตัวกันอยู่ บางคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง ในขณะที่บางคนใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นเก่าโทรม หากทุกคนล้วนมีใบหน้าเศร้าสร้อยตรอมตรม และยังแสดงอาการผุดลุกผุดนั่งเดินไปเยี่ยมหน้ามองผ่านกระจกบานประตูแลเข้าไปภายในห้องคัดกรองอยู่บ่อย ๆ

      “ญาติเป็นอะไรหรือคะ” ยุพินถามหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ติดกัน

      “รถชนกันค่ะ มอเตอร์ไซค์ชนกับรถกระบะ” หญิงผิวคล้ำบอกด้วยเสียงสั่นเครือ

      กัญญาคาดว่านางคงเป็นญาติของเด็กหนุ่มสองรายที่เพิ่งถูกนำเข้าไปในห้องเมื่อสักครู่

     “พี่น้องสองคนไปด้วยกันค่ะ หนีโรงเรียนไปเที่ยวกัน กลับมาถูกรถชนที่หน้าปากซอย โธ่...ไม่น่าเล้ย” ว่าแล้วนางก็ยกมือปิดหน้าร้องไห้ฟูมฟาย “แลกชีวิตลูกกับฉันได้ก็เอาไปเถอะ”

     กัญญาน้ำตาซึมอย่างสุดจะกลั้น ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่ต้องมาเห็นลูกเจ็บปวดทรมานนั้นกระทบจิตใจของหล่อนอย่างสุดซึ้ง บุตรธิดาหลายคนมองไม่เห็นแง่งามแห่งความรักในดวงใจของบุพการี ประพฤติไม่ดีกับผู้ให้กำเนิด หากแม้เมื่อถึงวันที่พวกเขาได้รับทุกขเวทนาสาหัสนั้น คนที่เจ็บปวดมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่าก็คือผู้ให้กำเนินนั่นเอง

      ความรักของชายหญิงแม้ว่ายิ่งใหญ่สักเพียงใด หากเมื่อเทียบกับความรักบริสุทธิ์ของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแล้วยังห่างไกลกันยิ่งนัก

     ยุพินน้ำตารื้นแวววาวหันมองบุตรสาวแล้วเอนศีรษะอิงซบกันพลางจับมือประสานกันแน่น นั่งเงียบกันอยู่นานนางถึงได้มีคำถามแรกขึ้นมา

     “ลูกเห็นมั้ยว่าประตูมันล้มลงได้ยังไงน่ะ”

     “พ่อกำลังดันประตูให้เลื่อนเข้าไปแล้วมันก็ล้มลงมาเฉย ๆ ค่ะ” กัญญาตอบตามที่เห็นเหตุการณ์

     “เหล็กยึดตรงไหนมันคงหักผุไปละมั้ง” ยุพินพูดเฉื่อยชา สายตาเลื่อนลอย

    “ก็...อย่างนั้นมังคะ” หญิงสาวตอบไปเพียงนั้น แม่ของหล่อนเพิ่งเสียขวัญด้วยอุบัติเหตุจากไม้ระแนง มาบัดนี้พ่อของหล่อนก็ประสบอุบัติเหตุเข้าอีกคน หล่อนตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่า วิญญาณร้ายกำลังเล่นงานคนใกล้ตัวหล่อนจริง ๆ อย่างนั้นหรือ

    เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ โดยที่กัญญากับมารดาต้องลุกเดินไปหน้าประตูเพื่อมองดูนายกันต์พลอยู่บ่อยครั้ง  เห็นเขานอนอยู่บนเตียงโดยที่ยังไม่ได้รับการปฏิบัติเพิ่มเติมอะไรจากพยาบาล จนเกือบหนึ่งชั่วโมงหล่อนจึงได้เห็นหมอหนุ่มใหญ่เข้าไปยืนข้างเตียงของบิดา แล้วพยาบาลก็เข็นเตียงของเขาหายลับไปจากสายตาของกัญญา

     หญิงสาวกลับมานั่งรอต่อด้วยความกระวนกระวายใจ จนกระทั่งพยาบาลคนหนึ่งถือแฟ้มออกมาเรียกหาญาติของนายกันต์พล กัญญาจึงรีบแสดงตัว

     “คุณหมอสั่งให้คนไข้นอนโรงพยาบาลดูอาการก่อนนะคะ”

     “เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” ยุพินรีบถาม

     “คุณหมอส่งตัวเข้าห้องเอ็กซเรย์ดูผลตรวจอยู่ค่ะ” นางพยาบาลตอบคล่องแคล่ว

      “ดิฉันขอให้พักห้องพิเศษนะคะ” ยุพินแจ้งความประสงค์

    “ได้ค่ะ คุณนั่งรอสักพักแล้วติดต่อห้องทะเบียนด้านหน้าได้เลยค่ะ ว่าผู้ป่วยจะเข้าพักที่ห้องไหน” พยาบาลสาวพูดจบแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนเดินจากไป

     “แม่จะค้างอยู่กับพ่อเอง ลูกกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นมาให้แม่ก่อน เสร็จแล้วค่อยกลับไปอยู่เฝ้าบ้าน” ยุพินบอกบุตรสาว เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นว่า “ลูกอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่มั้ย”

     “ได้ค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก” กัญญาตอบหนักแน่น หล่อนต้องอยู่ได้ หล่อนบอกตัวเองเช่นนั้น

      หญิงสาวมิได้รอฟังผลจากห้องทะเบียน หล่อนรีบกลับบ้านเตรียมเสื้อผ้าและจัดหาอาหารเย็นให้มารดา พอขับรถถึงหน้าบ้านก็พบว่าประตูเหล็กถูกยกขึ้นตั้งเอนพิงไว้กับเสารั้ว หล่อนสำรวจดูแล้วเห็นว่ามีลวดเส้นหนาพันมัดไว้อย่างแน่นหนา

      ป้าสูงวัยข้างบ้านที่ได้บอกฝากบ้านไว้เปิดประตูเล็กจากข้างในออกมายืนอยู่ด้านหน้า

    “ป้าบอกให้พวกผู้ชายช่วยกันยกประตูตั้งให้น่ะ” นางชี้แจงโดยที่กัญญาไม่ได้เอ่ยถามแต่อย่างใด “บ้านไม่มีประตูเปิดไว้โล่ง ๆ แบบนั้นป้าไม่ค่อยไว้ใจ”

     “ขอบคุณมากเลยนะคะ กัญยังนึกอยู่ว่าจะทำยังไงดีกับประตูนี้”

     “แล้วพ่อเราเป็นยังไงมั่ง”

     “ต้องนอนโรงพยาบาลดูอาการก่อนค่ะ นี่ก็เลยต้องกลับมาเอาเสื้อผ้าให้แม่”

      “คงไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า คนดีพระต้องคุ้มครอง” ผู้สูงวัยจับมือกัญญาดุจจะปลอบใจ “แล้วจะให้ป้านั่งอยู่ที่บ้านนี่ก่อนมั้ย รอหนูกลับมาอีกทีก็ได้นะ”

     “มีประตูปิดไว้แบบนี้ก็คงไม่ต้องรบกวนคุณป้าแล้วละค่ะ เดี๋ยวกัญล็อกกุญแจประตูเล็กเอาไว้ก็พอค่ะ”

     “งั้นก็รีบไปเถอะหนู เดี๋ยวจะค่ำมืด”

      ขณะนั้นสิ้นแสงตะวันแล้ว ความมืดโรยตัวปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า แสงไฟสาธารณะตามจุดต่าง ๆ เริ่มทำงานทดแทนแสงตะวัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่