โธพิ ตอน 5 (เรื่องสั้นขนาดยาว แฟนตาซีสำนวนกำลังภายใน)

กระทู้สนทนา
“ลูกหายไปไหนมาตอนที่มีพายุไฟฟ้าเมื่อกลางวัน”
    
มารดาเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะอาหารในตอนค่ำ
    
“ข้า...ข้ากลับมาไม่ทัน เลยหาที่หลบพายุอยู่ข้างนอก” โธพิ แก้ตัวออกไป มารดาเพียงจ้องมองมาโดยไม่เอ่ยถามอะไรอีก แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว หากมิใช่เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวพันกับความลับของอาจารย์ เขาคงบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
    
“เหตุใดพวกเราจึงไม่ย้ายไปอยู่กับท่านน้า” เขาถาม เพื่อคิดเปลี่ยนเรื่อง
    
มือที่กำลังตักอาหารหยุดค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนค่อยๆ วางลง นางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หากไร้ซึ่งแสงตะเกียงที่เผาไหม้ด้วยไขมันสัตว์ ส่งเขม่าสีดำให้ลอยขึ้นไปจับบนเพดานแล้ว ความมืดมิดจากภายนอกก็จะเข้ามาปกคลุมทุกสิ่ง การนั่งอยู่ในแสงสว่างทำให้ความมืดนั้นดูเหมือนอยู่ห่างไกล แม้จะถูกมันรายล้อมเอาไว้แล้วก็ตาม
    
ที่น่ากลัวคือการตกอยู่ในความมืด แต่กลับเข้าใจว่ามันคือแสงสว่าง คือเส้นทางเดินที่ถูกต้อง
    
จนเมื่อสายลมแผ่วเบาพัดให้เปลวไฟดับลง นั่นเองที่เราจะได้สัมผัสกับความมืดที่แท้จริง และพลังดึงดูดใจของมัน ในความมืดไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้ายที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ แต่มันยังปลุกเร้าสัตว์ร้ายกาจอีกชนิดที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของพวกเราเองให้ตื่นขึ้นมาด้วย
    
ที่น่ากลัวคือการรู้ตัวในที่สุดว่าตนเองกำลังอยู่ในความมืด แต่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นความมืดอีกต่อไป
    
'ขอให้ข้าคิดผิด เขาอาจไม่เปลี่ยนแปลงก็เป็นได้' แต่นางยังจดจำแววตาของเขาในตอนที่จากไปได้ดี นางเคยเห็นแววตาแบบนั้นมาแล้ว แววตาของผู้ที่เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจ สุดท้ายไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นคนเช่นใด ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ ผลประโยชน์ล้วนรอคอยอยู่ในทุกทางเลือก
    
นางชมชอบสิ่งต่างๆ ที่ทำขึ้นเอง หรือแลกมาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน มากกว่าสิ่งที่ได้มาด้วยวิธีการเช่นนั้น
    
“...แล้วเจ้าจะรู้เหตุผลเอง” นางตอบได้เพียงเท่านั้น
    
เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น
    
“บางที อาจเป็นน้าของเจ้า” นางคาดเดาด้วยหวังว่าเขาอาจจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
    
“เจ้าเป็นใครกัน” นางเอ่ยถามเมื่อเปิดประตูออกมาพบเจอกับหญิงสาวแปลกหน้า แต่เด็กหนุ่มจดจำได้ในทันทีว่านางคือแม่ค้าที่เขายังไม่ทันได้ถามชื่อเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง
    
“ข้าแวะมาขอบคุณลูกชายของท่านเกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนกลางวัน” นางบอกอย่างยิ้มแย้ม
    
มารดาหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ และเขารู้สึกว่าในหน้าของตนกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของนางเช่นนั้นด้วย
    
“เข้ามาก่อน ถ้าไม่รังเกียจก็นั่งลงร่วมกินอาหารกับพวกเรา” มารดากล่าวเชิญชวน พร้อมกับพยายามคาดเดาอายุของหญิงสาวผู้นี้ คิ้วทั้งสองของนางพลันขมวดเข้าหากัน
    
“ข้าเพียงมีเรื่องเล็กน้อย ไม่ขอรบกวนอาหารพวกท่าน”
    
“นั่งลงก่อนสิ” มารดากล่าวเมื่อนำพานางมาที่โต๊ะในตำแหน่งของน้าชายที่ว่างลงพอดี จนถึงตอนนี้เขาก็ยังพูดอะไรไม่ออก
    
“เมื่อกลางวันเจ้าช่วยข้าไว้มากทีเดียว” หญิงสาวยังคงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน นางเป็นดั่งสายลมปั่นป่วนที่เมื่อเริ่มพัดแล้วก็ไม่มีทางหยุดเช่นเดิม
    
มารดาหวนคิดถึงเรื่องที่เขาหายตัวไปในช่วงที่มีพายุไฟฟ้า และเข้าใจเอาเองว่าที่เขาไม่อยากบอกเล่าออกมานั้นเป็นเพราะนางผู้นี้ 'นี่นับเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาว บุตรธิดามิใช่สมบัติของพวกเรา' ถึงจะบอกกับตัวเองอย่างนั้น แต่มารดาก็ยังเป็นมารดาอยู่วันยังค่ำ
    
“ตอนนั้นข้ามิได้แนะนำตัว ทั้งยังไม่ได้ถามชื่อเจ้าอีกด้วย ดีที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่กว้างใหญ่นัก เพียงไต่ถามไม่กี่คำก็รู้แล้วว่าบ้านของเจ้าอยู่ในที่นี้” พอกล่าวจบนางก็ทำท่าแลบลิ้น ยกมือขึ้นเขกหัวตนเอง
    
“ข้าชื่อ ลิ้วเฮียง” ที่แท้ชื่อของนางก็คือ กลิ่นหอม สมกับที่เป็นสายลมหอมกรุ่นอย่างแท้จริง
    
“...ข้าชื่อโธพิ” นับเป็นคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากของเขาได้
    
“พวกเจ้าสองคนพูดคุยกันไปก่อน ข้าจะไปหาน้ำมาให้” หญิงสาวทำท่าห้ามปราม
    
“การต้อนรับแขก นับเป็นมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี” มารดาย้ำ
    
“ถ้าเช่นนั้นก็ ขอบคุณ” นางกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นคารวะ
    
“เจ้าไม่ควรมาที่นี่” เขารีบกระซิบเบาๆ เมื่อมารดาเดินเข้าไปด้านในแล้ว
    
“เหมือนที่ข้าไม่ควรเข้าไปในป่าต้องห้ามเมื่อตอนกลางวันใช่หรือไม่” เขาพบว่าน้ำเสียงของนางมีบางอย่างซ่อนอยู่
    
“เจ้าจะทำให้แม่ข้าเข้าใจผิด”
    
“เข้าใจผิดเรื่องอันใด” นางพูดพร้อมกับพยายามตีหน้าตาใสซื่อ ซึ่งทำให้เขารู้ในทันทีว่านางเองก็เข้าใจ และอาจจงใจแกล้งเขาก็เป็นได้
    
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีก” เขาคาดว่ามารดาคงกำลังจะกลับออกมาแล้ว
    
“ข้ามีบางอย่างคิดถาม เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าท่ามกลางพายุไฟฟ้าเมื่อตอนกลางวัน”
    
“ข้าไม่มีอะไรจะตอบเจ้า”
    
เขาพลันรู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้นมา มีบางอย่างผิดปกติ แต่เป็นเพราะการมาถึงของนางเมื่อครู่ ก่อก่วนให้เขาละเลยมันไป 'ทุกเวลาล้วนมีความสำคัญ ทุกลมหายใจล้วนมีความสำคัญ โดยเฉพาะในเวลาที่ทุกสิ่งดำเนินไปเป็นปกติ เพราะนั่นหมายถึงความไม่ปกติย่อมสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ' คำสั่งสอนของอาจารย์ผุดขึ้นสู่การรับรู้
    
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ยังคงอยู่ในท่านั่งแบบเดิม แต่ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไป นางรู้สึกได้ว่าร่างนั้นอาจจู่โจมเข้ามาได้ทุกเมื่อ
    
'ร้ายกาจเกินไปแล้ว'
    
“ถ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางก็อย่าได้เคลื่อนไหว ครั้งนี้เจ้าพลาดแล้ว” นางต้องรีบออกปากเตือน เพราะเกรงว่าเด็กหนุ่มจะตัดสินใจลงมือทำอะไรบุ่มบ่าม เป็นเหตุให้ทั้งหมดได้รับอันตราย รวมถึงตัวนางเองด้วย นางทราบว่าเขามีฝีมือกล้าแข็ง อาจบางทีเหนือกว่าที่นางคาดไว้ด้วยซ้ำ
    
เด็กหนุ่มยังคงนั่งอยู่ในที่เดิม มีเสียงอู้อี้ดังออกมาจากด้านในของตัวบ้าน ซึ่งมีประตูเล็กๆ อีกบานเชื่อมออกสู่ภายนอก ประตูที่เขาใช้หาบน้ำเข้าสู่ครัวทุกเช้า และตอนนี้ข้างในนั้นก็ไม่ได้มีเพียงมารดาอยู่ตามลำพัง
    
“พวกเจ้าไม่ใช่พ่อค้า”
    
“ไม่ พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นพ่อค้า พ่อค้าที่เกลียดการทอนเงินทอง หรือการต่อรองราคาใดใด คารวานพ่อค้าที่บางครั้งเดินทางในยามค่ำคืนภายใต้ชุดสีดำ พ่อค้าที่บางครั้งถูกพวกเจ้าเรียกว่าโจรจร”
    
ท่าทีของนางไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ถึงแม้จะพึ่งเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาก็ตาม
    
“ถ้าเจ้ายอมร่วมมือนั่งสนทนากับข้าอีกสักพัก รับรองว่านางจะปลอดภัย พวกเราเป็นพ่อค้า ไม่ใช่นักฆ่า การเสียลูกค้าไปย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการ” นางยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มที่ถากถาง ไม่ใช่รอยยิ้มเวทนา แต่เป็นรอยยิ้มที่จริงใจอย่างไม่น่าเชื่อ
    
“พวกเจ้ายังคงย้อนกลับมาปล้นหมู่บ้านของเรา”
    
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเจ้า” นางย้อน และเมื่อคิดดูแล้วมันก็ฟังดูมีเหตุผลจนทำให้เขาต้องก้มหน้าเงียบไป
    
“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายพวกเจ้าก็ต้องถูกปล้นอยู่ดี” นางพูดราวกับจะปลอบใจ “เพียงแต่ครั้งนี้พวกเราตัดสินใจปล้นหมู่บ้านทั้งหมดพร้อมกันเลยทีเดียว”
    
นางค่อยๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะ ถอยห่างออกมาช้าๆ ที่ต้องทำดังนี้เป็นเพราะนางไม่อาจทนรับความกดดันไร้สภาพที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาต่อไปได้ แต่นางพยายามทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ เพื่อรักษาหน้าของตนเอาไว้
    
“เจ้าเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรทั้งหมดนี้” เขาถามพร้อมกับคิดหาทางออก ถึงแม้คนอื่นอาจมองว่าเขาเป็นคนฉลาด แต่เขาไม่เคยคิดอย่างนั้น เขาไม่ฉลาด ออกจะโง่เสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่เขามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่มันเป็น
    
“ไม่ ข้าเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยเท่านั้น แต่เป็นหน่วยที่ดีที่สุด”
    
ความคิดบางอย่างรบกวนขึ้นภายใน 'มันไม่ใช่คำถามที่ถูกต้องในตอนนี้' เขาพลันจ้องหน้านาง ทบทวนความจำของตัวเองอีกครั้ง ก่อนตัดใจถามออกไป
    
“เจ้า...เจ้าใช่ผู้ที่ดวลดาบกับเราในค่ำคืนนั้นหรือไม่”
    
นางเพียงยิ้ม ไม่ยอมตอบคำถามนี้
    
“ตอนนี้ข้าเป็นฝ่ายตั้งคำถาม เจ้าต่างหากที่ต้องตอบมาแต่โดยดี ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นภายในป่าต้องห้ามกันแน่”
    
นางทบทวนถึงสิ่งที่แอบพบเห็นจากนอกแนวป่านั้นอีกครั้ง ภาพที่ถูกบดบังด้วยลำต้นไม้ ก่อเกิดเป็นภาพประหลาดที่ไม่ต่อเนื่อง จนนางไม่อาจแน่ใจว่าที่แท้แล้วตนเองได้พบเห็นสิ่งประหลาดใดกันแน่
    
“ข้า...พบเจอกับสัตว์ประหลาดในป่าต้องห้าม” เขาตอบพร้อมกับจ้องมองนาง
    
“เจ้าโกหก” ทั้งที่ในใจก็คิดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่นางได้พบเห็น แต่สัตว์ประหลาดเป็นเพียงความเชื่อของคนขี้ขลาด เป็นคำอธิบายต่อความกลัวอันไร้เหตุผลของตนเอง
    
'หรือไม่ใช่'
    
“ข้าตอบแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ และเจ้าเองก็ควรตอบคำถามของข้าบ้าง”
    
“เจ้าอยากรู้เพราะเหตุใด หรือคิดอยากย้ำเตือนว่าตนเองมีฝีมือเหนือกว่าคนผู้นั้นอย่างไร” นางย้อนอย่างยียวน
    
เขาก้มหน้าลงไม่อาจสบตา ใบหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่นางนึกไม่ถึง
    
“...มันสำคัญสำหรับข้า”
    
“เจ้า...”
    
นางเติบโตขึ้นท่ามกลางเหล่าบุรุษ ที่ผ่านมาย่อมหนีไม่พ้นการถูกเกี้ยวพาจากคนเหล่านั้น โจรจรย่อมมิได้รวบรวมไว้ด้วยบุรุษที่ดีงาม แต่เนื่องจากนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหัวหน้าโจรใหญ่ พร้อมด้วยวิชาฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใคร นางจึงไม่ค่อยกังวลมากนัก และที่ผ่านมานางก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตนเอง
    
นางไม่เคยมอบความรักให้ผู้ใดมาก่อน
    
นางเคลื่อนตัวออกห่างจากแสงไฟ เพื่อหลบซ่อนในเงามืด นางรู้ว่าใบหน้าของตนเองกำลังร้อนผ่าว นางที่มีอายุมากกว่าเขาหลายปีก็กำลังหน้าแดงเช่นกัน
    
ความรัก คำที่มีความหมายมากมาย และไร้เหตุผลอย่างที่สุด
    
แสงสว่างพลันสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง แสงอันเจิดจ้าราวกับการมาถึงของยามวันอย่างผิดเวลา ติดตามมาด้วยเสียงคำรามต่ำทุ้ม และการสั่นสะเทือนของผืนดิน ราวกับสัตว์ยักษ์ที่นอนหลับไหลอยู่ใต้ผืนปฐพีมาเนิ่นนาน พลันขยับเขยื้อนเคลื่อนกายตื่นขึ้น
    
ทุกกิจกรรมการปล้นที่ดำเนินอยู่พลันยุติลง
    
ทุกสายตาถูกชักนำให้แหงนมองขึ้นไปสู่เบื้องบน ส่วนท้องของสัตว์ประหลาดร่างใหญ่โตมหึมาลอยบดบังผืนฟ้าไปจนสิ้น แสงสว่างแปลกประหลาดพวกนั้นสาดส่องออกมาจากลูกแก้วจำนวนมากที่อยู่บริเวณใต้ท้อง การแหวกว่ายไปอย่างช้าๆ ของมันเป็นต้นเหตุของเสียงที่สั่นสะเทือนในแก้วหู และเขย่าผืนดินไปพร้อมๆ กัน
    
สมบัติ สิ่งนอกกายทั้งหลายที่เคยสำคัญล้วนถูกทอดทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจ อีกทั้งเรื่องดีร้ายที่เคยรบกวนจิตใจ สำหรับบางคนแล้วอาจยิ่งหนักอึ้ง แต่กับบางคน ความรู้สึกเหล่านั้นก็มิได้แตกต่างจากสมบัตินอกกายเลย
    
ที่แท้แล้วสิ่งสำคัญในชีวิตคืออันใดกันแน่
    
ลิ้วเฮียงรู้สึกถึงมือข้างหนึ่งที่เอื้อมมาจับ นางมิได้หันไปมองในทันที แต่รับรู้ได้ว่าเป็นมือของโธพิ
    
“เจ้าคือคนผู้นั้น” มันไม่ใช่คำถาม แต่ยังรู้สึกได้ถึงความลังเลบางอย่างที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน นางไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่นางคิดว่าชาญฉลาดกลับมีท่าทีต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแบบนี้
    
“มันยังสำคัญอีกหรือ” นางหันกลับไปประสานสายตา โดยมีมารดาของเด็กหนุ่มยืนห่างออกไปเล็กน้อย แสงสว่างที่สาดส่องลงมาจากลูกแก้วที่ท้องของสัตว์ประหลาดพลันเจิดจ้าถึงขีดสุด กลืนกินทุกสิ่งให้หายไปภายใน
    
เสี้ยววินาทีนั้น นางคิดว่าตนเองได้รับรู้คำตอบสำคัญบางสิ่ง ก่อนภาพที่เห็นทั้งหมดจะบิดเบี้ยวไปอย่างน่ากลัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่