ท้องฟ้าดำมืดไร้เมฆหมอก แสงดาวส่องประกายระยิบระยับ ผิดกับท้องฟ้าที่เพชรน้ำค้างเคยเห็น เธอนั่งมองดวงดาวผ่านหน้าต่างของห้องนี้มานานมาก ความคิดล่องลอยไปไกล ว่าทำไมความฝันนี้ยังไม่จบสิ้นลง เธอมารู้ตัวว่าอยู่ที่นี่ก็น่าจะบ่ายแก่ๆ ของวัน จนตอนนี้ดึกมากแล้ว ตามตำแหน่งของพระจันทร์ที่ลอยเกินครึ่งท้องฟ้า ‘มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ’ พลางกระชับผ้าผืนใหญ่ที่เอามาห่อคลุมร่างกายเพราะรู้สึกหนาว
เธอมองไปยังสาวน้อยที่ชื่อตยาวดี หล่อนยังหลับอยู่เช่นเดียวกับจิตรานางพี่เลี้ยงที่นอนอยู่หน้าห้อง เครื่องเรือนของใช้และสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่แตกต่างจากเมืองไทยในอดีตเมื่อกวาดตามองอีกครั้งหนึ่ง เพชรน้ำค้างถอนหายใจ อะไรที่ทำให้มาพบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดนี่กันหนอ ฉับพลัน ก็นึกย้อนไปถึงตอนเย็นของวันที่เธอเริ่มพิสูจน์บางอย่าง
“ตยาวดี” เพชรน้ำค้างเรียกคนที่กำลังจะเดินออกไป
หล่อนเดินกลับเข้ามา
“ลูกเอ๋ย ลูกต้องเรียกแม่ว่า ‘คุณแม่’ ตยาวดีชื่อของแม่นั้น ผู้ใหญ่ท่านจักเรียก พูดสิเจ้า คนดีของแม่ ‘คุณแม่’ ”
รอยยิ้มบนใบหน้าหวานซึ้งทว่าแววตาเศร้าสร้อยกำลังรอฟัง เพชรน้ำค้างกระอักกระอ่วนใจ เมื่อความจริงเธออายุมากกว่าตยาวดีนับสิบปี แต่ก็ไม่มีทางเลือกนักเมื่อเจ้าของร่างนี้เป็นลูกของหล่อนจริงๆ
“คุณแม่”
“ลูกเป็นหญิง หางเสียง ‘เจ้าข้า’ ต้องมีพร้อม ความเป็นกุลสตรีอย่าให้บกพร่อง จักมีคนต่อว่าแม่ได้ เรียกใหม่สิเจ้า”
เพชรน้ำค้างอยากจะบอกว่าที่ที่เธอเคยอยู่ไม่จำเป็นต้องมีความเป็นกุลสตรีให้มากสักนิด เพราะในยุคที่สิทธิส่วนบุคคล สิทธิสตรี และสิทธิในการใช้ชีวิตส่วนตัวสูง ย่อมเป็นของใครของมัน ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีใครบังคับใคร ฉับพลัน ในส่วนลึกก็แย้งขึ้นมาว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เดิมที่เคยอยู่ และตยาวดีก็ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกของหล่อนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีมาก ตัวเธอไม่ควรคิดอะไรแบบนั้น สภาพสังคมที่นี่เป็นแบบไหนก็ยังไม่รู้แน่ชัด ไม่ควรตั้งป้อมปฏิเสธสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือใช้อคติกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดถ้าหากอยากจะรอดเพื่อกลับไปหาพ่อไกรกับแม่สร้อย เธอก็ต้องเป็นไผ่ลู่ไปตามลม จะแข็งขืนคงไม่ดี
เพชรน้ำค้างเม้มปากเข้าหากันนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดว่า “คุณแม่เจ้าข้า”
“ลูกแม่เก่งเหลือเกิน” ตยาวดีพูดอย่างภาคภูมิใจและกอดเธอไว้แน่น “เจ้าไม่ยอมพูดจาเลยนับแต่เกิด ครั้นพอเจ้าพูดได้วันนี้ ก็พูดรู้เรื่องเช่นเด็กโต ผิดกับเด็กวัยเดียวกันนัก”
หล่อนหอมแก้มเธออีกฟอด ก็มันจะเหมือนเด็กได้อย่างไรกันล่ะ อายุเธอปาเข้าไปยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดแล้ว นี่ถ้าหล่อนรู้ว่าคนที่พูดด้วยและอยู่ในร่างนี้ไม่ใช่วิญญาณหรือตัวตนแท้จริงของลูกสาวหล่อน เจ้าตัวจะว่าอย่างไร
เพชรน้ำค้างพยายามยิ้มให้นิดๆ เมื่อตยาวดีจ้องมา และตัดสินใจถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“ที่นี่... คือที่ไหนเจ้าข้า”
“เรือนของเรา...ลูกเอ๋ย”
สีหน้าแปลกใจของตยาวดีแสดงออกชัดเจนกับคำถาม แต่หล่อนก็ยิ้มแย้ม เพชรน้ำค้างแกล้งยิ้มตาม ทำตาใสให้สมกับวัยเจ้าของร่างนี้ เพราะไม่อยากให้ตยาวดีรับรู้ความผิดปกติ เธอยังต้องการข้อมูลให้มากที่สุด
“เรือนของเรา อยู่ในเมืองอะไร คุณแม่เจ้าข้า”
แม่เด็กคนนี้ยิ้มกว้าง ความภาคภูมิใจฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา เพชรน้ำค้างคาดว่าความรู้สึกดีใจคงเบียดบังข้อกังขาบางอย่างและกลบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกสาว เพราะตยาวดียังยิ้มและตอบว่า
“อุษามันตราลูกแม่ เรือนของเรา อยู่ในมิถิลานคร”
หา! มิถิลา! มันอยู่ส่วนไหนของโลกกันเนี่ย เพชรน้ำค้างอยากจะเป็นลม ที่คิดว่าฝันซ้อนฝันก็แปลกประหลาดมากพออยู่แล้ว นี่ดันมาอยู่ในเมืองมีชื่อคล้ายนิทานปรัมปราเสียได้ ตอนแรกคิดว่าอาจเจอเหตุการณ์เหมือนในนิยายหรือละครหลายเรื่องที่ย้อนไปในอดีตของประเทศที่ตัวละครเคยอยู่ แต่นี่เธอมาโผล่ที่ไหนกันเนี่ย
เพชรน้ำค้างส่งรอยยิ้มที่เหมือนแยกเขี้ยวให้ตยาวดีที่ยังยิ้มและมองมา รู้สึกว่าทั้งมือและเนื้อตัวชาไปหมดจนแทบทำอะไรไม่ถูก
‘ฝันแน่ๆ ละเมอแน่ๆ รีบตื่นเถอะน้ำค้าง จะอยู่รอดได้ยังไงกันแบบนี้ แกชักจะจินตนาการสูงเกินไปแล้ว สงสัยเป็นเพราะทำงานทั้งเจ็ดวันแบบไม่ได้พักผ่อน เลยเอาบทละครในกองถ่ายมาฝันได้เหมือนจริงสุดๆ’
“ไปอาบน้ำกันเถิด”
เพชรน้ำค้างปล่อยให้ตยาวดีอุ้มเพราะยังมึนงงไม่หาย แต่เมื่อนึกขึ้นได้
“เดี๋ยวเจ้าข้า! ผ้าคลุม...ลูกหนาว”
ตยาวดีพยักหน้าให้กับจิตรา นางพี่เลี้ยงไปหยิบผ้าแพรมาห่อตัวเธอโดยตยาวดียังอุ้มอยู่ หล่อนหอมที่ศีรษะทุยนี้
“เดี๋ยวอิฉันจะพาแม่นายน้อยอุษาอาบน้ำเองเจ้าข้า แม่นายตยา”
จิตราบอก เพิ่งสังเกตว่าจิตราเรียกตยาวดีไม่เหมือนคนอื่น ตยาวดีพยักหน้าแต่ก็ยังอุ้มเธอลงจากเรือน เพชรน้ำค้างพิจารณาสิ่งที่เห็น
‘นี่มันบ้านเรือนไทยภาคกลางแบบเรือนหมู่ชัดๆ แต่ผิวพรรณ หน้าตาของผู้คนไม่ค่อยเหมือนคนไทยสักเท่าไหร่ รูปหน้าคมคายกันมาก จะว่าคนไทยแท้ๆ ก็ไม่ใช่ เพราะมีดั้งจมูก จะว่าคล้ายพวกแขกขาวก็ไม่เชิงอีก เพราะบางคนผิวก็เข้มตามแบบฉบับคนไทย ดูๆ แล้วลักษณะคล้ายพวกลูกผสมหรือลูกครึ่งมากกว่า’
ระหว่างที่พินิจพิจารณาสิ่งที่เห็น เพชรน้ำค้างก็รู้ว่าระยะห่างจากบ้านกับที่อาบน้ำอยู่ไม่ไกลกัน ที่อาบน้ำเป็นท่า ปูพื้นด้วยไม้ และทำเป็นขั้นบันไดลงไปในคลอง คนไม่พลุกพล่านหรือที่จริงคือไม่มีใครเลย ความเป็นอยู่ของที่นี่คล้ายเมืองไทยในอดีตที่เคยเรียนและรู้มามากทีเดียว
จิตราเดินตามมา หล่อนนุ่งผ้าถุงกระโจมอกพร้อมกับถือขันเงินในมือมาหนึ่งใบ ร่างของเด็กน้อยถูกส่งตัวให้นางพี่เลี้ยงเมื่อหล่อนลงไปอยู่ในคลอง
“ไม่!” เพชรน้ำค้างห้ามเสียงหลง เพราะถูกปลดผ้าท้าลมท้าแดด ก่อนจะพูดแบบก้มหน้าเพราะทั้งสองต่างจ้องเธอเป็นตาเดียว “อายเจ้าข้า” ก็เธออายจริงๆ นี่ แม้ว่าร่างกายนี้เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกก็เถอะ จะอย่างไรก็ไม่เอาด้วยหรอก
ทั้งสองคนแอบหัวเราะ
“แม่นายน้อยอุษาเจ้าข้า แม่นายน้อยอุษายังเล็กนัก รู้จักอายแล้วรึเจ้าข้า ดีจริง อิฉันจะได้เรียกแม่นายอุษาให้ชินปากแต่เนิ่น มิต้องรอให้แตกเนื้อสาวอย่างบุตรีบ้านอื่น”
เพชรน้ำค้างทำหูทวนลม มือยังจับผ้าแพรไว้แน่นขณะค่อยๆ เดินลงตามขั้นบันได นี่ถ้าไม่มีมือของจิตราช่วยพยุงไว้ งานนี้อาจมีการพุ่งหลาวลงน้ำเพราะสะดุดผ้าแน่ๆ
“แม่นายน้อยอุษาค่อยๆ ก้าวนะเจ้าข้า อิฉันจะประคอง”
และเมื่อเธอนั่งตรงกะไดเรียบร้อย
“วันนี้แม่นายน้อยอุษาของจิตราเก่งเหลือเกินเจ้าข้า รู้เรื่องนัก จิตราดีใจ คงหายเจ็บหายไข้ ลงมาวิ่งเล่นได้เสียทีนะเจ้าข้า”
จิตราพูดไปยิ้มไปและพยักหน้าให้เธอไปไม่หยุดเหมือนว่าคุยกับเด็ก
‘ก็ร่างนี้เป็นเด็กจริงๆ นี่น้ำค้าง’
นึกแล้วก็แอบเซ็ง นี่เธอจะต้องพยายามปรับตัวอย่างไรดีเพื่อไม่ให้คนสงสัย ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากความฝันนี่
เพชรน้ำค้างนั่งนิ่งๆ ยอมให้จิตราขัดเนื้อตัวด้วยมะขามเปียกและมะกรูดผ่าซีกเพราะความคิดกำลังล่องลอยไปไกล นางพี่เลี้ยงจัดการขัดถูได้เร็วมากจนเพชรน้ำค้างห้ามไม่ทันว่าอย่าแตะ ‘ตรงนั้น’
“ล้างเองได้” ได้แต่พูดพูดเสียงอ่อยพร้อมกับอาการขนลุกขนพอง เมื่อหันไปมองตยาวดีที่จ้องและทำตาดุเหมือนทำอะไรผิด จึงพูดว่า “เจ้าข้า” ตามมา ตอนนี้รู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองนั้นร้อนผ่าว สงสัยคงจะแดงไม่น้อย เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนคงไม่มีใครคิดอะไรกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งแน่นอน
แต่สำหรับเธอ... มันต้องใช้เวลาทำใจ
จิตราพาเธอลงไปล้างตัว หล่อนว่ายน้ำเก่งมากจนรู้สึกสนุกไปด้วย แต่ไม่นานก็มีเสียงวี้ดว้ายของตยาวดีและนางพี่เลี้ยงดังให้ได้ยินพร้อมกับเสียง ‘จ๋อม’ เบาๆ ควบคู่กับการจมดิ่งลงสู่ก้นคลองแห่งนี้
เพชรน้ำค้างรีบกลั้นหายใจหลังจากสำลักน้ำเพราะไม่ทันตั้งตัว น้ำที่นี่ลึกมากทีเดียว ร่างกายใหม่ทำให้ไม่ถนัดนักกับการตีขา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมาก โชคดีที่เธอว่ายน้ำเป็นเลยไม่ลำบากมากตอนจม ที่สำคัญคือยังตั้งสติได้และพาตัวเองให้พ้นน้ำ รีบสูดอากาศเข้าเต็มปอดและมาพร้อมกับอาการแสบจมูกปวดหัว
“ได้ตัวแล้วเจ้าข้า แม่นายตยา” เสียงของจิตราสั่นมากขณะกอดเธอไว้แน่น
ตยาวดีรับเธอเข้าสู่อ้อมอก มือและตัวของหล่อนสั่นมาก จูบหน้าผากจูบแก้มทั้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ลูกแม่ เจ้าเพิ่งพูดกับแม่ได้ ไยเจ้าจะจากแม่ไปอีก”
อยากจะบอกว่าเธอก็ยังไม่อยากตายหรอก แต่มันดันหลุดมือของนางพี่เลี้ยงเอง ขณะเดียวกันจิตราก็รีบคลานตามขึ้นมา ร้องไห้พลางลูบเนื้อลูบตัวเธอทั้งที่มือยังสั่นไม่หยุดเช่นกัน
“เอะอะอะไรกันเจ้าข้า แม่นายตยาวดี”
เสียงไม่พอใจของใครคนหนึ่งดังชัดเจน เพชรน้ำค้างมองไม่เห็นเพราะตยาวดียังกอดไม่ปล่อย เธอเห็นขาของผู้หญิงและเด็กๆ อีกสามคนยืนอยู่ไม่ไกล
ในจังหวะที่ตยาวดีหันไปมอง เธอจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงคือหญิงสาววัยประมาณยี่สิบ ผมของหล่อนแสกกลางยาวประบ่า หน้าตาสวยคม ผิวเข้ม ดวงตาเรียวแลดูร้ายกาจ แตกต่างจากตยาวดีที่ดวงตากลมโตสวยหวานซึ้ง ดูบริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย
ความไม่ชอบมาพากลท่ามกลางความเงียบนั้นเพชรน้ำค้างรู้สึกได้ โดยเฉพาะตยาวดี เหมือนหล่อนจะไม่ค่อยสู้คน นั่นก็เพราะหล่อนยังกอดร่างเล็กๆ นี้พลางเช็ดน้ำตา ไม่มองหน้าคนถามขณะตอบกลับไปว่า
“ฉันกำลังจะขึ้นเรือน”
แต่สำหรับจิตรานั้นไม่ใช่ เพราะหล่อนพูดว่า “แม่นายตยายังใช้ท่าไม่เสร็จ เหตุใดแม่วาดจึงเข้ามาล่ะเจ้าข้า บ่าวมันมิได้บอกรึ” คำพูดไม่เท่ากับน้ำเสียงไม่พอใจ ทว่านั่นเทียบไม่ได้กับสายตาที่จิตราใช้มอง
ผู้หญิงชื่อวาดมีอาการฮึดฮัด สายตาของสองคนที่มองกันยิ่งกว่าการประดาบจนประกายไฟลุกพรึบ
‘ไม่กินเส้นกันนี่หว่า’ เพชรน้ำค้างนึก ลืมอาการไอและแสบจมูกเพราะสำลักน้ำก่อนนั้นเสียสนิท
“ข้าร้อน อยากอาบน้ำแต่ไว”
ผู้หญิงชื่อวาดพูดไปก็แสร้งมองทางอื่น เพชรน้ำค้างมองนิ่ง ตยาวดีอุ้มเธอขึ้นมาพร้อมกับดึงแขนของจิตรา แล้วทำปากขมุบขมิบว่า ‘ช่างเถอะ’ ยิ่งทำให้รู้นิสัยของตยาวดีชัดเจน
‘ถ้าอยู่ที่นี่นาน จะรอดตายได้ไงเนี่ย ถ้ามีแม่แบบนี้’ เพชรน้ำค้างคิด เพราะตยาวดีดูเป็นกุลสตรีมีสกุลรุนชาติ ไม่เถียงคน เงียบ และยังยอมให้ผู้หญิงคนนี้ข่มด้วยคำพูดและกิริยาอาการ ดีที่ว่าจิตรายังสู้และปกป้องเจ้านายได้ ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่
เพชรน้ำค้างมอง และเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้
‘อ๋อ วาด แม่วาด ใช่คนที่พ่อเด็กนี่บอกว่าวันนี้จะไปอยู่ด้วยใช่หรือเปล่า’
อาการโคลงเคลงไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองเป้าหมายและเก็บข้อมูล ขณะค่อยๆ ห่างออกมา
‘มิน่าล่ะ ก่อนนี้ตยาวดีถึงได้ร้องไห้ฟูมฟาย ก็เพราะเป็นเมียเอกแต่ดันถูกเมียรองจิกได้ มันก็น่าเสียใจอยู่หรอกนะ เฮ้อ ปวดหัว’
และยิ่งปวดหัวหนักขึ้นเมื่อเข้ามาถึงในห้อง เสื้อผ้าของเธอดูเหมือนเธอจะมีแค่จับปิ้งคู่ใจ จนต้องเข้าไปนั่งใกล้ๆ ตยาวดีที่กำลังหยิบผ้าออกมาวางไว้ข้างๆ เตรียมผลัดเปลี่ยนให้ตัวเอง เธอเอามือวางไว้บนเข่าของตยาวดี ไม่สนใจจิตราที่ตามมาเช็ดตัวให้อย่างเบามือไม่หยุด แหงนมองแม่และยิ้มตาใส ส่งเสียงเล็กๆ ออกไปว่า
“คุณแม่เจ้าข้า ลูกอยากใส่เสื้อเจ้าค่ะ ไม่เอาอันนี้”
พร้อมกับชูสร้อยจับปิ้งให้ดู
ตยาวดีก้มมองอย่างไม่อยากเชื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าหวานซึ้งปรากฏแทนความหม่นเศร้าพร้อมกับเอามือปัดน้ำตาบนแก้ม หล่อนอุ้มร่างน้อยๆ นี้วางไว้บนตัก เกยคางไว้บนกลางกระหม่อมที่เปียกม่อลอกม่อแลกของลูกและโยกตัวไปมาดั่งเห่กล่อม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“แม่มีผ้าอยู่หลายผืน เย็บปักเตรียมไว้ให้เจ้าแล้วอุษามันตรา แต่วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว ใส่จับปิ้งจักดีกว่านะเจ้า”
เอาละหวา เธอจะใส่ไอ้เจ้าสามเหลี่ยมชิ้นเล็กรูปหัวใจเพียงชิ้นเดียวบนร่างกายได้ยังไงกัน ถึงมันจะสวย เป็นแฟชั่นคลายร้อนสุดฮิตของเด็กตามสมัยนิยม แถมยังฝังอัญมณีบ่งบอกฐานะ แต่เธอก็ไม่เอาด้วยหรอก เป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องหาผ้านุ่ง ไม่ขอแก้ผ้าหรือใส่จับปิ้งที่เหมือนจีสตริงนี่เด็ดขาด
เพชรน้ำค้างไม่พูดอะไร นิ่งเงียบเอาไว้ จนกระทั่งจิตราเอ่ย...
“แม่นายตยาเจ้าข้า ให้แม่นายน้อยอุษาใส่เถิดเจ้าข้า ก่อนนี้เรากลัวว่าแม่นายน้อยอุษาจะไม่...” จิตราหยุดพูด เหลือบมองตยาวดีนิดหนึ่งเหมือนสื่อความหมายบางอย่างที่รู้กัน “จะอย่างไรเสีย แม่นายน้อยอุษาก็สดชื่นแจ่มใสผิดกับหลายวันที่ผ่านมานัก ผ้าที่เราเคยเย็บเคยตัด จักให้แม่นายน้อยอุษาใส่เสียแต่วันนี้ ก็ถือว่าเป็นฤกษ์ดีนักเจ้าข้า”
[นิยาย] พักตร์อสูร : บทที่ 2
เธอมองไปยังสาวน้อยที่ชื่อตยาวดี หล่อนยังหลับอยู่เช่นเดียวกับจิตรานางพี่เลี้ยงที่นอนอยู่หน้าห้อง เครื่องเรือนของใช้และสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่แตกต่างจากเมืองไทยในอดีตเมื่อกวาดตามองอีกครั้งหนึ่ง เพชรน้ำค้างถอนหายใจ อะไรที่ทำให้มาพบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดนี่กันหนอ ฉับพลัน ก็นึกย้อนไปถึงตอนเย็นของวันที่เธอเริ่มพิสูจน์บางอย่าง
“ตยาวดี” เพชรน้ำค้างเรียกคนที่กำลังจะเดินออกไป
หล่อนเดินกลับเข้ามา
“ลูกเอ๋ย ลูกต้องเรียกแม่ว่า ‘คุณแม่’ ตยาวดีชื่อของแม่นั้น ผู้ใหญ่ท่านจักเรียก พูดสิเจ้า คนดีของแม่ ‘คุณแม่’ ”
รอยยิ้มบนใบหน้าหวานซึ้งทว่าแววตาเศร้าสร้อยกำลังรอฟัง เพชรน้ำค้างกระอักกระอ่วนใจ เมื่อความจริงเธออายุมากกว่าตยาวดีนับสิบปี แต่ก็ไม่มีทางเลือกนักเมื่อเจ้าของร่างนี้เป็นลูกของหล่อนจริงๆ
“คุณแม่”
“ลูกเป็นหญิง หางเสียง ‘เจ้าข้า’ ต้องมีพร้อม ความเป็นกุลสตรีอย่าให้บกพร่อง จักมีคนต่อว่าแม่ได้ เรียกใหม่สิเจ้า”
เพชรน้ำค้างอยากจะบอกว่าที่ที่เธอเคยอยู่ไม่จำเป็นต้องมีความเป็นกุลสตรีให้มากสักนิด เพราะในยุคที่สิทธิส่วนบุคคล สิทธิสตรี และสิทธิในการใช้ชีวิตส่วนตัวสูง ย่อมเป็นของใครของมัน ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีใครบังคับใคร ฉับพลัน ในส่วนลึกก็แย้งขึ้นมาว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เดิมที่เคยอยู่ และตยาวดีก็ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกของหล่อนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีมาก ตัวเธอไม่ควรคิดอะไรแบบนั้น สภาพสังคมที่นี่เป็นแบบไหนก็ยังไม่รู้แน่ชัด ไม่ควรตั้งป้อมปฏิเสธสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือใช้อคติกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดถ้าหากอยากจะรอดเพื่อกลับไปหาพ่อไกรกับแม่สร้อย เธอก็ต้องเป็นไผ่ลู่ไปตามลม จะแข็งขืนคงไม่ดี
เพชรน้ำค้างเม้มปากเข้าหากันนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดว่า “คุณแม่เจ้าข้า”
“ลูกแม่เก่งเหลือเกิน” ตยาวดีพูดอย่างภาคภูมิใจและกอดเธอไว้แน่น “เจ้าไม่ยอมพูดจาเลยนับแต่เกิด ครั้นพอเจ้าพูดได้วันนี้ ก็พูดรู้เรื่องเช่นเด็กโต ผิดกับเด็กวัยเดียวกันนัก”
หล่อนหอมแก้มเธออีกฟอด ก็มันจะเหมือนเด็กได้อย่างไรกันล่ะ อายุเธอปาเข้าไปยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดแล้ว นี่ถ้าหล่อนรู้ว่าคนที่พูดด้วยและอยู่ในร่างนี้ไม่ใช่วิญญาณหรือตัวตนแท้จริงของลูกสาวหล่อน เจ้าตัวจะว่าอย่างไร
เพชรน้ำค้างพยายามยิ้มให้นิดๆ เมื่อตยาวดีจ้องมา และตัดสินใจถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“ที่นี่... คือที่ไหนเจ้าข้า”
“เรือนของเรา...ลูกเอ๋ย”
สีหน้าแปลกใจของตยาวดีแสดงออกชัดเจนกับคำถาม แต่หล่อนก็ยิ้มแย้ม เพชรน้ำค้างแกล้งยิ้มตาม ทำตาใสให้สมกับวัยเจ้าของร่างนี้ เพราะไม่อยากให้ตยาวดีรับรู้ความผิดปกติ เธอยังต้องการข้อมูลให้มากที่สุด
“เรือนของเรา อยู่ในเมืองอะไร คุณแม่เจ้าข้า”
แม่เด็กคนนี้ยิ้มกว้าง ความภาคภูมิใจฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา เพชรน้ำค้างคาดว่าความรู้สึกดีใจคงเบียดบังข้อกังขาบางอย่างและกลบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกสาว เพราะตยาวดียังยิ้มและตอบว่า
“อุษามันตราลูกแม่ เรือนของเรา อยู่ในมิถิลานคร”
หา! มิถิลา! มันอยู่ส่วนไหนของโลกกันเนี่ย เพชรน้ำค้างอยากจะเป็นลม ที่คิดว่าฝันซ้อนฝันก็แปลกประหลาดมากพออยู่แล้ว นี่ดันมาอยู่ในเมืองมีชื่อคล้ายนิทานปรัมปราเสียได้ ตอนแรกคิดว่าอาจเจอเหตุการณ์เหมือนในนิยายหรือละครหลายเรื่องที่ย้อนไปในอดีตของประเทศที่ตัวละครเคยอยู่ แต่นี่เธอมาโผล่ที่ไหนกันเนี่ย
เพชรน้ำค้างส่งรอยยิ้มที่เหมือนแยกเขี้ยวให้ตยาวดีที่ยังยิ้มและมองมา รู้สึกว่าทั้งมือและเนื้อตัวชาไปหมดจนแทบทำอะไรไม่ถูก
‘ฝันแน่ๆ ละเมอแน่ๆ รีบตื่นเถอะน้ำค้าง จะอยู่รอดได้ยังไงกันแบบนี้ แกชักจะจินตนาการสูงเกินไปแล้ว สงสัยเป็นเพราะทำงานทั้งเจ็ดวันแบบไม่ได้พักผ่อน เลยเอาบทละครในกองถ่ายมาฝันได้เหมือนจริงสุดๆ’
“ไปอาบน้ำกันเถิด”
เพชรน้ำค้างปล่อยให้ตยาวดีอุ้มเพราะยังมึนงงไม่หาย แต่เมื่อนึกขึ้นได้
“เดี๋ยวเจ้าข้า! ผ้าคลุม...ลูกหนาว”
ตยาวดีพยักหน้าให้กับจิตรา นางพี่เลี้ยงไปหยิบผ้าแพรมาห่อตัวเธอโดยตยาวดียังอุ้มอยู่ หล่อนหอมที่ศีรษะทุยนี้
“เดี๋ยวอิฉันจะพาแม่นายน้อยอุษาอาบน้ำเองเจ้าข้า แม่นายตยา”
จิตราบอก เพิ่งสังเกตว่าจิตราเรียกตยาวดีไม่เหมือนคนอื่น ตยาวดีพยักหน้าแต่ก็ยังอุ้มเธอลงจากเรือน เพชรน้ำค้างพิจารณาสิ่งที่เห็น
‘นี่มันบ้านเรือนไทยภาคกลางแบบเรือนหมู่ชัดๆ แต่ผิวพรรณ หน้าตาของผู้คนไม่ค่อยเหมือนคนไทยสักเท่าไหร่ รูปหน้าคมคายกันมาก จะว่าคนไทยแท้ๆ ก็ไม่ใช่ เพราะมีดั้งจมูก จะว่าคล้ายพวกแขกขาวก็ไม่เชิงอีก เพราะบางคนผิวก็เข้มตามแบบฉบับคนไทย ดูๆ แล้วลักษณะคล้ายพวกลูกผสมหรือลูกครึ่งมากกว่า’
ระหว่างที่พินิจพิจารณาสิ่งที่เห็น เพชรน้ำค้างก็รู้ว่าระยะห่างจากบ้านกับที่อาบน้ำอยู่ไม่ไกลกัน ที่อาบน้ำเป็นท่า ปูพื้นด้วยไม้ และทำเป็นขั้นบันไดลงไปในคลอง คนไม่พลุกพล่านหรือที่จริงคือไม่มีใครเลย ความเป็นอยู่ของที่นี่คล้ายเมืองไทยในอดีตที่เคยเรียนและรู้มามากทีเดียว
จิตราเดินตามมา หล่อนนุ่งผ้าถุงกระโจมอกพร้อมกับถือขันเงินในมือมาหนึ่งใบ ร่างของเด็กน้อยถูกส่งตัวให้นางพี่เลี้ยงเมื่อหล่อนลงไปอยู่ในคลอง
“ไม่!” เพชรน้ำค้างห้ามเสียงหลง เพราะถูกปลดผ้าท้าลมท้าแดด ก่อนจะพูดแบบก้มหน้าเพราะทั้งสองต่างจ้องเธอเป็นตาเดียว “อายเจ้าข้า” ก็เธออายจริงๆ นี่ แม้ว่าร่างกายนี้เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกก็เถอะ จะอย่างไรก็ไม่เอาด้วยหรอก
ทั้งสองคนแอบหัวเราะ
“แม่นายน้อยอุษาเจ้าข้า แม่นายน้อยอุษายังเล็กนัก รู้จักอายแล้วรึเจ้าข้า ดีจริง อิฉันจะได้เรียกแม่นายอุษาให้ชินปากแต่เนิ่น มิต้องรอให้แตกเนื้อสาวอย่างบุตรีบ้านอื่น”
เพชรน้ำค้างทำหูทวนลม มือยังจับผ้าแพรไว้แน่นขณะค่อยๆ เดินลงตามขั้นบันได นี่ถ้าไม่มีมือของจิตราช่วยพยุงไว้ งานนี้อาจมีการพุ่งหลาวลงน้ำเพราะสะดุดผ้าแน่ๆ
“แม่นายน้อยอุษาค่อยๆ ก้าวนะเจ้าข้า อิฉันจะประคอง”
และเมื่อเธอนั่งตรงกะไดเรียบร้อย
“วันนี้แม่นายน้อยอุษาของจิตราเก่งเหลือเกินเจ้าข้า รู้เรื่องนัก จิตราดีใจ คงหายเจ็บหายไข้ ลงมาวิ่งเล่นได้เสียทีนะเจ้าข้า”
จิตราพูดไปยิ้มไปและพยักหน้าให้เธอไปไม่หยุดเหมือนว่าคุยกับเด็ก
‘ก็ร่างนี้เป็นเด็กจริงๆ นี่น้ำค้าง’
นึกแล้วก็แอบเซ็ง นี่เธอจะต้องพยายามปรับตัวอย่างไรดีเพื่อไม่ให้คนสงสัย ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากความฝันนี่
เพชรน้ำค้างนั่งนิ่งๆ ยอมให้จิตราขัดเนื้อตัวด้วยมะขามเปียกและมะกรูดผ่าซีกเพราะความคิดกำลังล่องลอยไปไกล นางพี่เลี้ยงจัดการขัดถูได้เร็วมากจนเพชรน้ำค้างห้ามไม่ทันว่าอย่าแตะ ‘ตรงนั้น’
“ล้างเองได้” ได้แต่พูดพูดเสียงอ่อยพร้อมกับอาการขนลุกขนพอง เมื่อหันไปมองตยาวดีที่จ้องและทำตาดุเหมือนทำอะไรผิด จึงพูดว่า “เจ้าข้า” ตามมา ตอนนี้รู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองนั้นร้อนผ่าว สงสัยคงจะแดงไม่น้อย เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนคงไม่มีใครคิดอะไรกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งแน่นอน
แต่สำหรับเธอ... มันต้องใช้เวลาทำใจ
จิตราพาเธอลงไปล้างตัว หล่อนว่ายน้ำเก่งมากจนรู้สึกสนุกไปด้วย แต่ไม่นานก็มีเสียงวี้ดว้ายของตยาวดีและนางพี่เลี้ยงดังให้ได้ยินพร้อมกับเสียง ‘จ๋อม’ เบาๆ ควบคู่กับการจมดิ่งลงสู่ก้นคลองแห่งนี้
เพชรน้ำค้างรีบกลั้นหายใจหลังจากสำลักน้ำเพราะไม่ทันตั้งตัว น้ำที่นี่ลึกมากทีเดียว ร่างกายใหม่ทำให้ไม่ถนัดนักกับการตีขา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมาก โชคดีที่เธอว่ายน้ำเป็นเลยไม่ลำบากมากตอนจม ที่สำคัญคือยังตั้งสติได้และพาตัวเองให้พ้นน้ำ รีบสูดอากาศเข้าเต็มปอดและมาพร้อมกับอาการแสบจมูกปวดหัว
“ได้ตัวแล้วเจ้าข้า แม่นายตยา” เสียงของจิตราสั่นมากขณะกอดเธอไว้แน่น
ตยาวดีรับเธอเข้าสู่อ้อมอก มือและตัวของหล่อนสั่นมาก จูบหน้าผากจูบแก้มทั้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ลูกแม่ เจ้าเพิ่งพูดกับแม่ได้ ไยเจ้าจะจากแม่ไปอีก”
อยากจะบอกว่าเธอก็ยังไม่อยากตายหรอก แต่มันดันหลุดมือของนางพี่เลี้ยงเอง ขณะเดียวกันจิตราก็รีบคลานตามขึ้นมา ร้องไห้พลางลูบเนื้อลูบตัวเธอทั้งที่มือยังสั่นไม่หยุดเช่นกัน
“เอะอะอะไรกันเจ้าข้า แม่นายตยาวดี”
เสียงไม่พอใจของใครคนหนึ่งดังชัดเจน เพชรน้ำค้างมองไม่เห็นเพราะตยาวดียังกอดไม่ปล่อย เธอเห็นขาของผู้หญิงและเด็กๆ อีกสามคนยืนอยู่ไม่ไกล
ในจังหวะที่ตยาวดีหันไปมอง เธอจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงคือหญิงสาววัยประมาณยี่สิบ ผมของหล่อนแสกกลางยาวประบ่า หน้าตาสวยคม ผิวเข้ม ดวงตาเรียวแลดูร้ายกาจ แตกต่างจากตยาวดีที่ดวงตากลมโตสวยหวานซึ้ง ดูบริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย
ความไม่ชอบมาพากลท่ามกลางความเงียบนั้นเพชรน้ำค้างรู้สึกได้ โดยเฉพาะตยาวดี เหมือนหล่อนจะไม่ค่อยสู้คน นั่นก็เพราะหล่อนยังกอดร่างเล็กๆ นี้พลางเช็ดน้ำตา ไม่มองหน้าคนถามขณะตอบกลับไปว่า
“ฉันกำลังจะขึ้นเรือน”
แต่สำหรับจิตรานั้นไม่ใช่ เพราะหล่อนพูดว่า “แม่นายตยายังใช้ท่าไม่เสร็จ เหตุใดแม่วาดจึงเข้ามาล่ะเจ้าข้า บ่าวมันมิได้บอกรึ” คำพูดไม่เท่ากับน้ำเสียงไม่พอใจ ทว่านั่นเทียบไม่ได้กับสายตาที่จิตราใช้มอง
ผู้หญิงชื่อวาดมีอาการฮึดฮัด สายตาของสองคนที่มองกันยิ่งกว่าการประดาบจนประกายไฟลุกพรึบ
‘ไม่กินเส้นกันนี่หว่า’ เพชรน้ำค้างนึก ลืมอาการไอและแสบจมูกเพราะสำลักน้ำก่อนนั้นเสียสนิท
“ข้าร้อน อยากอาบน้ำแต่ไว”
ผู้หญิงชื่อวาดพูดไปก็แสร้งมองทางอื่น เพชรน้ำค้างมองนิ่ง ตยาวดีอุ้มเธอขึ้นมาพร้อมกับดึงแขนของจิตรา แล้วทำปากขมุบขมิบว่า ‘ช่างเถอะ’ ยิ่งทำให้รู้นิสัยของตยาวดีชัดเจน
‘ถ้าอยู่ที่นี่นาน จะรอดตายได้ไงเนี่ย ถ้ามีแม่แบบนี้’ เพชรน้ำค้างคิด เพราะตยาวดีดูเป็นกุลสตรีมีสกุลรุนชาติ ไม่เถียงคน เงียบ และยังยอมให้ผู้หญิงคนนี้ข่มด้วยคำพูดและกิริยาอาการ ดีที่ว่าจิตรายังสู้และปกป้องเจ้านายได้ ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่
เพชรน้ำค้างมอง และเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้
‘อ๋อ วาด แม่วาด ใช่คนที่พ่อเด็กนี่บอกว่าวันนี้จะไปอยู่ด้วยใช่หรือเปล่า’
อาการโคลงเคลงไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองเป้าหมายและเก็บข้อมูล ขณะค่อยๆ ห่างออกมา
‘มิน่าล่ะ ก่อนนี้ตยาวดีถึงได้ร้องไห้ฟูมฟาย ก็เพราะเป็นเมียเอกแต่ดันถูกเมียรองจิกได้ มันก็น่าเสียใจอยู่หรอกนะ เฮ้อ ปวดหัว’
และยิ่งปวดหัวหนักขึ้นเมื่อเข้ามาถึงในห้อง เสื้อผ้าของเธอดูเหมือนเธอจะมีแค่จับปิ้งคู่ใจ จนต้องเข้าไปนั่งใกล้ๆ ตยาวดีที่กำลังหยิบผ้าออกมาวางไว้ข้างๆ เตรียมผลัดเปลี่ยนให้ตัวเอง เธอเอามือวางไว้บนเข่าของตยาวดี ไม่สนใจจิตราที่ตามมาเช็ดตัวให้อย่างเบามือไม่หยุด แหงนมองแม่และยิ้มตาใส ส่งเสียงเล็กๆ ออกไปว่า
“คุณแม่เจ้าข้า ลูกอยากใส่เสื้อเจ้าค่ะ ไม่เอาอันนี้”
พร้อมกับชูสร้อยจับปิ้งให้ดู
ตยาวดีก้มมองอย่างไม่อยากเชื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าหวานซึ้งปรากฏแทนความหม่นเศร้าพร้อมกับเอามือปัดน้ำตาบนแก้ม หล่อนอุ้มร่างน้อยๆ นี้วางไว้บนตัก เกยคางไว้บนกลางกระหม่อมที่เปียกม่อลอกม่อแลกของลูกและโยกตัวไปมาดั่งเห่กล่อม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“แม่มีผ้าอยู่หลายผืน เย็บปักเตรียมไว้ให้เจ้าแล้วอุษามันตรา แต่วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว ใส่จับปิ้งจักดีกว่านะเจ้า”
เอาละหวา เธอจะใส่ไอ้เจ้าสามเหลี่ยมชิ้นเล็กรูปหัวใจเพียงชิ้นเดียวบนร่างกายได้ยังไงกัน ถึงมันจะสวย เป็นแฟชั่นคลายร้อนสุดฮิตของเด็กตามสมัยนิยม แถมยังฝังอัญมณีบ่งบอกฐานะ แต่เธอก็ไม่เอาด้วยหรอก เป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องหาผ้านุ่ง ไม่ขอแก้ผ้าหรือใส่จับปิ้งที่เหมือนจีสตริงนี่เด็ดขาด
เพชรน้ำค้างไม่พูดอะไร นิ่งเงียบเอาไว้ จนกระทั่งจิตราเอ่ย...
“แม่นายตยาเจ้าข้า ให้แม่นายน้อยอุษาใส่เถิดเจ้าข้า ก่อนนี้เรากลัวว่าแม่นายน้อยอุษาจะไม่...” จิตราหยุดพูด เหลือบมองตยาวดีนิดหนึ่งเหมือนสื่อความหมายบางอย่างที่รู้กัน “จะอย่างไรเสีย แม่นายน้อยอุษาก็สดชื่นแจ่มใสผิดกับหลายวันที่ผ่านมานัก ผ้าที่เราเคยเย็บเคยตัด จักให้แม่นายน้อยอุษาใส่เสียแต่วันนี้ ก็ถือว่าเป็นฤกษ์ดีนักเจ้าข้า”