[นิยาย] พักตร์อสูร : บทที่ 5

กระทู้สนทนา
อ่าน 'พักตร์อสูร' ตอนเดิมได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ

บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/30383088
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30393758
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30934208
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30938172

---------------------------------------------------------------


    หนึ่งปีต่อมา

    เสียงปี่พาทย์โหยหวนชวนเศร้ายิ่งนัก หมดแล้วที่พึ่งของอุษามันตราเมื่อคุณปู่สิ้นบุญเมื่อสามวันก่อน ท่านหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก เป็นการเสียชีวิตที่ไม่เจ็บปวด ทว่ากะทันหันเหลือเกินสำหรับลูกหลานและคนในครอบครัว

    อุษามันตราหวั่นใจเหลือเกิน ที่ผ่านมาเธอได้พึ่งใบบุญท่านมหิทธิคุณา ความเมตตาที่ท่านให้ เป็นเกราะกำบังแก่เธอและแม่เป็นอย่างดี ซึ่งคุณพ่อเองก็ให้ความเมตตาแก่เธอเช่นกัน ทว่าไม่มากหากเทียบกับลูกชายอีกสี่คนของท่าน และนับจากนี้ อะไรอีกหลายอย่างคงเปลี่ยนไป

    เธอมองวาดที่กำลังนั่งเชิดหน้า หล่อนคงไม่รู้ว่าท่าทางแบบนี้มันน่าสมเพชขนาดไหน เมื่อคนบนเรือนใหญ่ต่างช่วยกันเตรียมงาน เตรียมดอกไม้เครื่องหอมและข้าวของกันอย่างขะมักเขม้นไม่มีว่าง จะมีก็เพียงหล่อนเท่านั้นที่ชูคอไม่ทำอะไร แต่ไม่มีใครว่าอะไรได้ ไม่มีใครกล้าว่าทั้งนั้นเมื่อคุณพ่อยังไม่พูดอะไรสักคำหนึ่ง ซึ่งวาดไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หรือจงใจไม่รู้ ว่าคนในอาณาจักรมนสิการล้วนไม่ค่อยชอบใจหล่อนเท่าไหร่นักกับการที่คุณปู่ยังไม่ทันจะเผา หล่อนก็ทำตัวเช่นนี้เสียแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของความรู้สึกสมเพชของเธอในตอนนี้

    และที่รู้แน่ชัดอีกอย่างก็คือ ทุกคนให้ความเคารพคุณแม่และป้าจิตตรามากกว่าเดิม และมิใช่เพราะตำแหน่งภริยาเอก ซึ่งนับจากนี้คือแม่นายใหญ่ของที่นี่ แต่เป็นเพราะความโอบอ้อมอารีมีเมตตาของตยาวดีต่างหากที่ทำให้คนเคารพ

    ‘จะคอยดูว่าจะยืดไปได้สักกี่น้ำ’

    อุษามันตรานึกแบบนั้นก็ยกมือขึ้นพนม วงปี่พาทย์หยุดบรรเลงเมื่อพระสงฆ์เดินขึ้นมาบนเรือนใหญ่ พิธีทางศาสนาพุทธดำเนินไปจนไม่รู้สึกแตกต่างมากนัก

    ไม่น่าเชื่อว่าในโลกประหลาดแห่งนี้ ก็มีบางอย่างที่ทำให้คุ้นเคย




    ข่าวเรื่องท่านโชติระเสยอมให้วาดและบ่าวคนสนิทเข้าออกที่โรงหล่อโลหะทำให้คนบนเรือนใหญ่เสียใจไม่น้อย แม้จะเพียงส่งสำรับอาหารทุกเช้าเย็นในวันที่คุณพ่อมิได้ค้างเรือนภริยาอื่น แต่ก็ถือว่าผิดประเพณีปฏิบัติของมนสิการ นั่นก็เพราะวาดไม่ใช่ผู้สืบทอดและไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของตระกูลที่จะอนุญาตให้เข้าไปได้ ความไม่พอใจของคนเก่าแก่และกลัวความวิบัติตามคำเล่าลือได้เริ่มขยายวงกว้าง แต่สำหรับวาดคงเป็นข่าวดีที่สุดของหล่อนเลยทีเดียว เพราะเมื่อไหร่ที่ได้เจอ หล่อนก็จะมีสีหน้ายิ้มกริ่ม ทำตัววางใหญ่วางโตไม่น้อยไม่ว่าจะกับใคร

    “แม่แจ่ม ข้าละกลัวนักเชียว นายท่านมหิทธิคุณามิเคยให้แม่หญิงคนใดเข้าใกล้แม้เพียงเงาของโรงหล่อ แต่นี่...นายท่านโชติระเสทำเช่นนี้ ข้ากลัวอาเพศนัก”

    บ่าวชายวัยชรากล่าวอย่างหนักใจกับแม่ครัวใหญ่ น้ำเสียงจะว่าดังก็ไม่ดัง จะว่าเบาก็ไม่เบา แต่อาการที่แสดงถึงความรักและเป็นห่วงมีมากล้นถึงสถานที่พักพิง อาศัยมาทั้งชีวิต

    อุษามันตราไม่ค่อยเชื่อเรื่องอาเพศอย่างที่ได้ยินตอนนี้นัก เพราะถ้าจะกลัว ก็น่าจะกลัวการบริหารคนบริหารงานของคุณพ่อมากกว่าว่าจะดูแลจัดการและควบคุมได้ดีขนาดไหน

    เสียงพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ ประหนึ่งสภากาแฟได้เริ่มต้นจากประโยคก่อนหน้านั้น เด็กน้อยวัยสี่ขวบที่ไม่มีใครสนใจกำลังนั่งวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินโดยไม่มีใครรู้ อุษามันตราแสร้งนั่งดูบ่าวหญิงจุดไฟซึ่งไม่บ่อยที่จะได้เห็น เพราะเมื่อไหร่ที่มาถึง ส่วนมากก็จัดการกันเรียบร้อยตั้งแต่เช้ามืดและจะต่อไฟในเตามากกว่าก่อใหม่ แต่ในบ่ายค่อนเย็นของวันนี้มีรายการพิเศษที่ต้องรมเนื้อสัตว์นอกโรงครัวเพื่อถนอมอาหารชุดใหญ่ เธอก็เลยได้แวะก่อนจะกลับเรือน

    คนที่นี่มืออาชีพมากในสายตาของเธอ การจุดไฟตามความถนัดของแต่ละคนในแบบต่างๆ ก็ทำให้สนุกเมื่อลุ้นว่าไฟจะติดตอนไหน ใครมีกรรมวิธีพิเศษอย่างไร ชีวิตวัยเด็กแต่กลายเป็นเด็กจริงๆ ก็ทำให้ไม่เบื่อเมื่อบ่าวแต่ละคนตั้งใจแสดงฝีมือเต็มที่เพื่ออวดเมื่อเห็นเธอจ้องมอง และเธอก็ปรบมือให้กำลังใจทุกครั้งเมื่อไฟติด

    อุษามันตราแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวระหว่างเก็บข้อมูลจากบ่าวทั้งหลาย ทว่าการพูดคุยถึงหัวข้อนั้นก็มีไม่นานนัก ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่

    “นางพี่เลี้ยงของอุษาไปไหนเสียเล่าแม่แจ่ม ปล่อยให้อยู่คนเดียว ประเดี๋ยวแม่จิตราก็ทำโทษดอก”

    ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร เพราะมีคนเดียวที่กล้าเรียกเธอด้วยชื่อสั้นๆ ประหนึ่งเรียกลูกของตนเอง ซึ่งหากใช้เรียกลูกที่เกิดจากภรรยารองอื่นๆ นั้นไม่ถือว่าผิด แต่สำหรับลูกภริยาเอกแล้ว ในสังคมนี้ให้การยกย่องนับถือว่าไม่ว่าจะเป็นลูกหญิงหรือลูกชาย ภรรยารองและลูกภรรยารองจะใช้สรรพนามเช่นนี้กับลูกภริยาเอกไม่ได้ เป็นการไม่ให้เกียรติอย่างยิ่ง

    “อุษา เจ้าทำสิ่งใดอยู่” วาดพูดซ้ำ แล้วนั่งลงใกล้กับที่เธอนั่งอยู่นี้

    อุษามันตรายิ้มหยันในใจโดยยังก้มหน้าไว้ แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เธอรู้ว่าวาดต้องการจะทำอะไร จะแสดงอะไร น้ำเสียงเหมือนเอ็นดูแต่คำพูดที่ใช้ผิดกาลเทศะและผิดปกติมันก็น่าขัน เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณพ่อหล่อนก็ยังเรียกเธอว่า ‘แม่นายน้อยอุษามันตรา’ ได้ ไฉนเมื่ออยู่ลับหลังและอยู่ต่อหน้าบ่าวจึงใช้คำพูดเช่นนี้ เธอเงยหน้าขึ้น ถามไปแบบสงสัยว่า

    “แม่วาดเรียกข้าพเจ้าหรือเจ้าข้า”

    พูดแล้วก็ตีหน้าซื่อ มองตาใส แสดงสีหน้าเป็นเชิงถามว่าเรียกจริงหรือไม่ เธอกำลังรอคำตอบนะ

    วาดเม้มปาก สองมือบีบกันแน่น นี่ถ้าเป็นน้องๆ ของเธอที่เกิดจากภรรยารองและใช้คำพูดแบบนี้ คงมิแคล้วว่าถูกวาดหยิกตีไปเรียบร้อย

    ท่าทางอยากจะตีก็ทำไม่ได้ อยากจะด่าก็ด่าไม่ออกของวาดทำให้อุษามันตราอดสะใจนิดๆ ในส่วนลึกไม่ได้เช่นกัน และเมื่อมองเลยไปทางบ่าว พวกนั้นก็ก้มหน้าหลบกันจ้าละหวั่น บ้างก็แสร้งเดินหนีแต่แผ่นหลังสั่นไหวคล้ายกลั้นหัวเราะ

    วาดหันไปมองรอบข้าง แล้วหยุดอยู่ที่เธออีกครั้ง “เหตุใดเจ้าจึงเรียกข้าเช่นนี้”

    ในเมื่ออยากรู้ เธอก็จะตอบให้หายสงสัย อุษามันตราทำหน้าไม่เข้าใจคำพูดของวาดกึ่งถามว่าเธอผิดหรือ “ก็ในมนสิการ มีแต่คนเรียกข้าพเจ้าว่าแม่นายน้อยอุษามันตรานี่เจ้าข้า ก่อนนี้แม่วาดก็เรียกแม่นายน้อยอุษามันตรา จึงมิรู้ว่าแม่วาดเรียกผู้ใดเจ้าข้า”

    ทำหน้าเหมือนงงกับคำพูดของวาดไม่หายแล้วลุกขึ้นยืน เอามือปัดฝุ่นผงที่ก้น แล้วเดินออกมา แกล้งทำเป็นพูดกับฟ้ากับลมว่า “พี่ศีลาไปไหน อุษาอยากกลับเรือนแล้วเจ้าข้า”

    แต่เมื่อยังไม่เห็นคนเรียกหาจึงเดินเข้าไปใกล้แม่ครัวใหญ่ “ป้าแจ่มเจ้าข้า อุษาจะกลับเรือนใหญ่แล้ว ให้บ่าวไปส่งอุษาด้วยเจ้าข้า”

    โดยทั้งหลายทั้งปวงนับตั้งแต่ลุกขึ้น อุษามันตราไม่ได้หันกลับไปมองวาดอีกเลย การส่งคำเตือนให้รู้ว่าหล่อนไม่ได้มีความสำคัญอะไร และอย่าได้ข่มเหงกันง่ายๆ แบบนี้ วาดจงรู้ว่าตัวเองเป็นใครและเธอเป็นใคร จะมาทำเหมือนกับที่เสียงดังข่มคุณแม่ของเธอไม่ได้ผลหรอก มันคนละคนกัน ถึงจะถูกเลี้ยงและสั่งสอนในแบบสังคมนี้ก็เถอะ แต่เธอก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองที่ติดมาจากโลกเดิมไม่เปลี่ยน

    ศีลารีบเดินเข้ามาหา หน้าตาตื่นเมื่อรู้ว่าอุษามันตราเรียก “ศีลามาแล้วเจ้าข้าแม่นายน้อยอุษามันตรา” พูดทั้งที่อยู่ใกล้ๆ แล้วคุกเข่า “อิฉันไปขอปันใบมะพร้าวครู่เดียว แม่นายน้อยอุษามันตราจะขึ้นเรือนแล้วหรือเจ้าข้า”

    “เจ้าข้า”

    บอกแล้วก็กอดคอของศีลา เด็กพี่เลี้ยงก็ทำหน้าเหลอหลาเมื่อหันไปทางวาดและเห็นสายตาที่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้

    “กลับเรือนเถิดเจ้าข้าพี่ศีลา คิดถึงป้าจิตรา คิดถึงคุณแม่แล้วเจ้าข้า”

    พูดเร่งแล้วก็ซบบ่าเด็กพี่เลี้ยงที่ความสูงไล่เลี่ยกัน แม้ตัวของศีลาจะไม่สูงใหญ่นัก แต่ก็แข็งแรงพอที่จะอุ้มเธอได้สบาย อุษามันตราไม่ได้มองวาดอีกเลย ทว่าหางตาก็ยังเห็นคู่กรณีหันไปทำท่าฮึดฮัดกับคนรอบข้าง ใจหนึ่งก็สงสารอยู่หรอกที่คนไม่รู้เรื่องต้องมาโดนแบบนี้ แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ

    ‘ให้มันรู้ซะมั่งว่ามายุ่งกับใคร’

    แม้ในใจจะคิดแบบนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นกับอนาคต อุษามันตรารู้ดีว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ

    “พวกเจ้ามองสิ่งใดกันรึ”

    เสียงของวาดตวาดลั่นอยู่ข้างหลัง อุษามันตราไม่รู้ว่าคุณพ่อรักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร ลับหลังหล่อนออกจะร้ายกาจ แต่อีกใจหนึ่งก็เถียงว่าคิดแบบนั้นก็คงไม่ถูก เพราะคุณพ่อท่านคงเห็นเพียงเบื้องหน้าที่แสนดีและช่างเอาอกเอาใจของวาด ส่วนเธอกับคนบนเรือนใหญ่ก็ต้องพลอยตั้งรับสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะเพลี่ยงพล้ำเพราะรู้เบื้องหลัง ที่สำคัญคือขออย่าถูกใส่ร้ายก็เป็นพอ

    ‘แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอ’

    เฮ้อ... ความคิดจ๋า จะให้ฝันหวานสักหน่อยก็มิได้

    ครั้นมาถึงเรือนใหญ่ได้เพียงครู่

    “ตยาวดีน้องเจ้า ทราบข่าวเรื่องอุษามันตราล่วงเกินแม่วาดรึไม่”

    ตยาวดีและจิตราตกใจ หันหน้ามามองอุษามันตราที่กำลังนั่งสานปลาตะเพียนตามที่ศีลาสอน อุษามันตรามองโชติระเส มองนิ่งๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

    “อุษามันตรายังเล็กนัก เหตุใดจึงล่วงเกินแม่วาดได้เล่าเจ้าข้าคุณพี่ น้องมิเคยสั่งสอนลูกให้ก้าวร้าวผู้ใด”

    “แต่แม่วาดบอกพี่ อุษามันตราพูดกับแม่วาดเช่นพูดกับบ่าว”

    โชติระเสพูดกับตยาวดีจบก็หันมาหาอุษามันตราอีกครั้ง สีหน้าเรียบเฉยของอุษามันตราคล้ายไม่รู้เรื่อง ได้ถ่วงดุลความเชื่อของโชติระเสเช่นกัน เพราะในส่วนลึกเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าลูกจะทำเช่นนั้นได้ แต่ก็ต้องหาความกระจ่าง

    “เป็นไปได้หรือเจ้าข้านายท่าน แม่นายน้อยอุษาอายุเพียงเท่านี้”

    จิตราพูดยังไม่ทันจบ วาดก็เดินอาดๆ เข้ามา แล้วกล่าวว่า

    “จะอายุเท่าใดใช่สำคัญดอกแม่จิตรา ข้าพเจ้าพูดออกไปไยต้องกล่าวเท็จ บ่าวในโรงครัวล้วนได้ยินกันทั้งสิ้น สั่งสอนกันเยี่ยงไรจึงกล้าทำเช่นนี้”

    “แม่วาดหยุดก่อน พี่ไม่อนุญาต เหตุใดเจ้าจึงขึ้นมาบนเรือนใหญ่” โชติระเสเอ่ย

    “น้องอยากเห็นด้วยตาว่าคุณพี่จะจัดการให้น้องจริงๆ เจ้าข้า”

    น้ำเสียงของวาดที่เอ่ยกับนายท่านโชติระเสช่างอ่อนหวานผิดกันลิบลับกับประโยคพูดก่อนนั้น

    จิตราตัวสั่นเพราะความโกรธ แค่ขึ้นมาบนเรือนใหญ่ก็ถือว่าหยามกันมากแล้ว ยังมากล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้อีก ตยาวดีส่ายหน้าเมื่อเห็นจิตราทำท่าจะเถียง

    วาดย่อกายนั่งพับเพียบใกล้ๆ กับท่านโชติระเส “น้องเรียกบ่าวในครัวมาด้วยเจ้าข้า” แล้วก็หันหน้าไปทางบันไดหน้าเรือนที่ประตูสลักลายลูกฟักได้เปิดไว้ “พวกเจ้าขึ้นมา”

    เสียงสั่งการช่างใหญ่โตเหลือเกิน ในความรู้สึกผู้เป็นเจ้าเรือน โชติระเสวางสีหน้านิ่ง มองไปทางบ่าวที่กล้าๆ กลัวๆ ไม่ยอมขึ้นมา

    “พวกเจ้าขึ้นมา ข้าจะชำระความ”

    “กับเด็กแค่สี่ขวบปีนี่นะรึเจ้าข้านายท่าน”

    สายตานิ่งๆ ของท่านโชติระเสที่มองทำให้จิตราหยุดพูดทันที ทุกคนเริ่มกดดัน ไม่บ่อยนักที่ท่านโชติระเสจะมีอาการเช่นนี้ อุษามันตราเห็นทุกอย่างโดยไม่พูดหรือทำอะไร กำลังไตร่ตรองว่าเรื่องราวมันจะลุกลามไปมากขนาดไหนจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    ‘นึกแล้วเชียวว่ายายวาดมันต้องบ้าอำนาจขึ้นมาสักวัน ช่างเร็วทันใจจริงๆ’ นึกในใจแบบนั้นก็คอยดูสถานการณ์ต่อไป บ่าวแต่ละคนนั่งก้มหน้ากับพื้น

    “สิ่งที่แม่วาดกล่าวเรื่องอุษามันตราล่วงเกิน เหตุเพราะใช้คำพูดเช่นคุยกับบ่าว พวกเจ้าได้ยินจริงรึไม่”

    หลายคนอึกอัก เสียงตอบหรอมแหรมขึ้นมาว่า “บ่าวไม่ทันได้ยินเจ้าข้านายท่าน” “ข้าพเจ้าก็หาได้ยินไม่เจ้าข้านายท่าน”

    “แต่บ่าวได้ยินเต็มสองหูเจ้าข้า” บ่าวคนสนิทของวาดยืนยันเสียงแข็ง หันไปถลึงตาใส่บ่าวในครัว

    อุษามันตราอยากจะเบ้ปากใส่ แต่ก็ทำไม่ได้ นายบ่าวช่างไม่ผิดกันเลย

    “แม่แจ่ม แม่วาดบอกว่าแม่แจ่มอยู่ใกล้ที่สุด แลได้ยินทั้งหมด จงตอบมาว่าอุษามันตราใช้คำพูดใดเมื่อตอบแม่วาด” โชติระเสสั่ง

    แม่ครัวใหญ่แห่งมนสิการสบตาโชติระเสครั้ง ตยาวดีครั้ง จิตราครั้ง และอุษามันตราครั้งหนึ่ง ถอนหายใจ แล้วตอบว่า “แม่นายน้อยอุษามันตรากล่าวว่า ‘แม่วาดมีอะไรกับข้าพเจ้าหรือเจ้าข้า’ เพียงเท่านี้เจ้าข้า นายท่าน”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่