สวัสดีพี่น้องนักอ่านในเว็บพันทิปนะคะ อ้อยต้องขอโทษทุกท่านที่ติดตามพักตร์อสูรทางเว็บนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าอ้อยคงต้องหยุดการโพสต์ เนื่องจากในหน้าบอร์ดรวมไม่มีระบบการป้องกันก็อปปี้ซึ่งเหมาะสำหรับการพูดคุยตามที่รู้กันดีอยู่ และเป็นความผิดพลาดของอ้อยเองที่ตัดสินใจไม่ระมัดระวัง ขอโทษจริงๆ ค่ะ
ขอชี้แจงว่าก่อนหน้านี้มีกรณีที่จะคัดลอกผลงานเรื่องพักตร์อสูร อ้อยจึงทำการลบเนื้อหาบางส่วนในเว็บเด็กดีและเว็บเลิฟออกไป แต่ด้วยใจอยากให้พี่น้องนักอ่านบางท่านที่เข้ามาติดตามทีหลังได้อ่าน อ้อยจึงเข้ามาโพสต์ต่อในพันทิปนี้ แต่ก็เพิ่งจะฉุกใจว่าที่นี่ไม่มีระบบป้องกันเหมือนสองเว็บที่ว่ามาเพราะเป็นบอร์ดสาธารณะ อ้อยจึงต้องขอหยุดโพสต์นิยายเรื่องพักตร์อสูรที่เว็บพันทิปเพียงบทนี้เท่านั้นนะคะ และจากนี้จะโพสต์ไว้ที่แฟนเพจสุชาคริยาค่ะ
อ้อยขอขอบพระคุณทางเว็บพันทิปมากๆ ที่แบ่งปันพื้นที่ให้อ้อยได้ลงนิยายนะคะ ขอบพระคุณค่ะ และต้องขอโทษทุกท่านอีกครั้งนะคะ ขอบพระคุณมากๆ ที่ติดตามงานเขียนเรื่องนี้ค่ะ
อ้อย/สุชาคริยา
-------------------------------------------------
อ่าน 'พักตร์อสูร' ตอนเดิมได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30383088
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/30393758
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/30934208
บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/30938172
บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/30943480
บทที่ 6-8
http://ppantip.com/topic/30955238
บทที่ 9
http://ppantip.com/topic/30960645
บทที่ 10
http://ppantip.com/topic/30965367
บทที่ 11
http://ppantip.com/topic/30970069
-------------------------------------------------
หนึ่งปีต่อมา...
การเดินทางค้าขายครั้งที่สองนี้เรียบร้อยดีกว่าครั้งแรก อุษามันตราเริ่มมีลูกค้าเป็นของตนเองบ้างแล้ว อีกทั้งชื่อเสียงของท่านมะณิจันโทรับประกันได้ถึงคุณภาพของสินค้า แม้ว่าจะมีการกดราคาให้ต่ำลงกว่าราคาจริงในบางเมืองเพราะต้องการลดต้นทุนกับเจ้าที่ต้องเจรจาใหม่ แต่อุษามันตราก็ไม่สนใจ เธอยึดคติของดีจริงไม่มีราคาถูก
‘แม่นายน้อยอุษามันตราจักมิลดหย่อนให้ข้าพเจ้าบ้างดอกหรือ ราคาที่ท่านแจ้งมานั้น ยังสูงอยู่นะเจ้าข้า ขอลดลงตามที่ข้าพเจ้าขอเถิด’
นั่นคือคำพูดของคหบดีรายหนึ่งที่ค้าเกลือมาแต่เดิมและเธอเข้าไปเจรจา ตามข้อมูลที่มีพอทำให้รู้บ้างว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่ในเมื่อสินค้าของเธอมาจากแหล่งสินค้าหลัก ไม่ได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งยังขนส่งด้วยระยะที่เท่ากัน ดังนั้น ราคาที่เธอเสนอย่อมถือว่าต่ำกว่าเจ้าอื่นแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็ยังต้องการลูกค้าใหม่เพื่อสร้างฐานเอาไว้ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเธอเป็นเด็กและผู้มาด้วยไม่มีเชี่ยวชาญ อุษามันตราจึงตัดสินใจ
‘ข้าพเจ้าคงต้องขออภัย หากสินค้าของข้าพเจ้าไร้คุณภาพ มิสมราคา ก็คงมิอาจขายในราคานี้ได้นับแต่ออกจากไพศาลี จริงแล้วราคาที่ข้าพเจ้าบอกนั้นต่ำกว่าราคาอีกเจ้าหนึ่งที่ส่งสินค้าให้ท่านเสียอีก จริงหรือไม่เจ้าข้า แต่ด้วยข้าพเจ้าหวังมิตรแห่งท่าน จึงเจรจาค้าขาย ถ้าจะให้ตกลงในราคาที่ท่านว่ามา ให้ถือเสียว่าวันนี้ข้าพเจ้าแลคณะมาเยี่ยมเยียนและแนะนำตัว หากวันหน้ามีโอกาส เราคงได้ค้าขายกัน วันนี้ข้าพเจ้ารบกวนท่านมากเกินไปแล้ว ขอลาเจ้าข้า’
เมื่อเห็นว่าเธอตั้งท่าจะกลับจริง
‘ประเดี๋ยวก่อนเถิด แม่นายน้อยอุษามันตราจักมิตรองให้รอบคอบว่านี้หรือเจ้าข้า’
และตอบแบบไม่ต้องคิดว่า
‘ข้าพเจ้าตรองดีแล้วเจ้าข้า สินค้าของข้าพเจ้ารับจากคุณตามะณิจันโทโดยตรง ดูแลรักษาอย่างดี ต้นทุนสินค้าและเดินทางย่อมมีมากน้อยตามสัดส่วน แต่หากท่านต้องการตามราคาว่ามา ข้าพเจ้าก็ต้องขออภัยที่มิอาจจำหน่ายได้ คู่ค้าที่รอรับนั้นมีอยู่แล้ว แต่เป็นดั่งกล่าวมา ข้าพเจ้าหวังผูกไมตรี จะอย่างไรก็ต้องกลับเส้นทางนี้ จึงแวะมาเยี่ยมเยียนด้วยเห็นว่าสินค้านั้นพอสานไมตรีระหว่างเราได้ วันนี้ข้าพเจ้าขอลา หวังว่าสินค้าขบวนหน้า เราอาจได้ค้าขายกันเจ้าข้า’
จบคำก็เตรียมตัวถอยออกมา ให้สัญญาณคนของมนสิการว่าเตรียมออกเดินทางต่อ การเจรจายืดเยื้อเหมือนจะตกลงไม่ได้ก่อนหน้านั้นกลับถูกฝ่ายเจ้าเรือนเป็นผู้ตัดสิน
‘เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอรับไว้ตามราคาที่แม่นายน้อยอุษามันตราต้องการ เพื่อสานไมตรีระหว่างกัน คราหน้า จักมาเมื่อใดหรือเจ้าข้า’
‘ราวเดือนสี่เจ้าข้า’
นั่นคือเรื่องราวในครั้งแรกที่ผ่านมา พ่อค้าบางรายก็ยินดีผูกมิตรโดยไม่อิดออด เพราะส่วนมากสินค้าชนิดนี้นานทีจะผ่านมาครั้งหนึ่ง พ่อค้าที่มีอยู่ก็เล่นตัว บ้างกว่าจะมาถึงเกลือเสียหายก็มี ถูกปล้นก็มาก
สินค้าของท่านมะณิจันโทขึ้นชื่อว่าสะอาด คุณภาพดี แต่ส่วนมากมักกระจายในสายเหนือซึ่งคุณน้าของเธอเป็นผู้ดูแลอยู่ ส่วนเส้นทางจากไพศาลีมายังมิถิลานั้นเรียกว่าสายตะวันตกยังไม่มีขบวนสินค้าขนาดกลางและใหญ่ผ่านมาเป็นกิจจะลักษณะ มีเพียงผู้ค้ารายเล็ก จนกระทั่งโอกาสมาถึงเธอ
ครั้งนี้ตยาวดีไม่ได้ติดตามมาด้วยเพราะตั้งท้องได้เจ็ดเดือนเข้าเดือนที่แปด การขายเกลือระหว่างทางกลับมิถิลารอบนี้ได้กำไรงาม ขบวนผู้ติดตามจากเดิมสิบห้าคนได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว มีนักรบรับจ้างฝีมือดีอีกสิบไว้คุ้มกัน รวมทั้งหมดประมาณสี่สิบกว่าคน ถือว่าเป็นขบวนการค้าขนาดกลางเกือบใหญ่
ตอนนี้เกลือเหลืออยู่เพียงหนึ่งเกวียนจากทั้งหมดห้าเกวียน เธอจะนำไปขายที่ท่าวัดคุ้งเหนือ เก็บกำไรชุดสุดท้ายของขบวนสินค้าครั้งนี้ด้วยการขายปลีก โดยให้บ่าวที่ถูกคัดเลือกและไว้ใจได้เป็นผู้ไปจัดการหลังจากขายสินค้าราคาส่งตามเมืองต่างๆ และได้กำไรมาไว้ในมือแล้วชุดหนึ่ง เธอต้องขายเกลือให้หมดทันทีที่มาถึงมิถิลา ไม่สามารถเอากลับมาเก็บไว้ในอาณาเขตมนสิการ เพราะคราวก่อนโลหะในโรงหล่อที่เป็นแร่เหล็กเกิดสนิมเร็วมากจากความเค็มของเกลือทำให้กำไรจากการขายสินค้าได้ในรอบแรกหายไปเกือบครึ่งหนึ่งจนอยากบีบคอตัวเองนัก
ส่วนงานในโรงหล่อนั้นมีคนเก่าแก่ที่ไว้ใจได้ เธอนำระบบการทำงานในโลกสมัยใหม่มาใช้กับที่นี่ แบ่งเป็นชั้นตำแหน่งให้เป็นระบบ คนที่เป็นหัวหน้ามีความรับผิดชอบสูง ก็ตอบแทนตามความเหนื่อยยาก ข้อดีอีกอย่างของสังคมที่นี่คือต่อให้ความเป็นอยู่ของคนเป็นบ่าวดีขึ้นมากขนาดไหน เขาพวกนั้นก็ไม่ยอมแยกตัวออกไป ยินดีรับใช้ด้วยความภักดีและคิดว่าต้องสำนึกในบุญคุณของท่านโชติระเสที่ให้โอกาสตนเองและทำให้ครอบครัวของพวกเขาได้กินดีอยู่ดีมากขึ้น จนจำนวนประชากรและคนที่ทำงานให้แก่มนสิการก็มีเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเพียงแค่หนึ่งปี
อุษามันตรานั่งคำนวณตัวเลขค่าใช้จ่ายและกำไรอื่นๆ ในเกวียนไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้หยุดพัก คิดว่าการเดินทางครั้งหน้าควรติดอะไรจากมิถิลาไปขายเพื่อจะได้ไม่ต้องลากเกวียนเปล่าไปไพศาลีเพราะไม่ใช้การขนส่งทางเรือเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าทางบก
“วางลงก่อนเถิดอุษามันตรา ใกล้ถึงเรือนแล้วลูกเอ๋ย” ท่านโชติระเสบอก
เธอมองท่านโชติระเสแล้วยิ้มให้ วางสมุดขาวไว้ข้างตัว เปิดผ้าม่านหน้าต่างเกวียนออกนิดหนึ่ง อาณาเขตของมนสิการเห็นอยู่ไม่ไกล บอกไม่ถูกว่าดีใจขนาดไหนที่ถึงบ้าน ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าย่อมมีเป็นธรรมดา แต่แทบหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ถึงเรือน ป้าจิตรา พี่ศีลา และตยาวดีจะเตรียมข้าวปลาอาหารรสอร่อยไว้รอ อ้อมกอดนุ่มๆ ที่คุ้นชินทำให้เธอรักตยาวดีได้อย่างไม่มีคำบรรยาย ตลอดหลายปีที่อยู่ในร่างนี้ อยู่ในสังคมนี้ อยู่ที่นี่ ตัวตนของเพชรน้ำค้างได้ผสมผสานกับอุษามันตราเป็นหนึ่งเดียวอย่างแยกไม่ออก อุษามันตราคือตัวเธอเอง และเพชรน้ำค้างคือตัวเธอเองเช่นกัน วิถีแห่งโลกใหม่กลมกลืนจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับร่างกายนี้
ทันทีที่เกวียนจอดสนิท ท่านโชติระเสประคองเธอลง วันนี้เรือนใหญ่ดูแปลกไป ไม่มีใครลงมารับเธอ จนต้องมองไปรอบๆ เกวียนสินค้าและบ่าวส่วนหนึ่งแยกไปท่าวัดคุ้งเหนือตามคำสั่งโดยไม่แวะเข้ามนสิการก่อน
อุษามันตราเห็นจิตรารีบลงจากเรือนมาหา ตาบวมแดง ใบหน้าเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก็ทำให้นึกสงสัย
“นายท่านเจ้าข้า รีบขึ้นเรือนเถิดเจ้าข้า” หล่อนพูดเสียงสั่น
ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกโหวงเหวงในอกเช่นนี้กับสิ่งที่เห็นและได้ยิน ท่านโชติระเสเดินขึ้นไปอย่างเร็วผิดกับท่าเดินเนิบช้าสง่างามตามปกติ เธอเดินตามหลัง ศีลานั่งอยู่หน้าเรือนนอนของท่านโชติระเส เธอไม่เห็นตยาวดี รู้สึกว่าหัวใจหล่นวูบลงไปกองอยู่ปลายเท้า รีบเดินจนเกือบวิ่งอย่างไม่รั้งรอ
อุษามันตราเห็นท่านโชติระเสนั่งอยู่ตรงขอบเตียงเมื่อพ้นประตู ตยาวดีนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแต่ยังลืมตาอยู่บนเตียงไม้ปูด้วยฟูกนั้น มือของท่านโชติระเสกุมมือของตยาวดีไว้ แนบใบหน้าไว้กับหลังมือของหล่อน
อุษามันตราค่อยๆ เดินเข้าไป รู้สึกใจหายเมื่อเห็นน้ำตาท่านโชติระเสกำลังหยดลง เธอมองตยาวดี ใบหน้าหล่อนซีดเซียว หันมายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเธอเดินเข้าไป อาการก้าวขาไม่ออกกำลังเกิดขึ้น เธอเปลี่ยนใจเดินอ้อมไปยังปลายเตียงทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะไปยืนใกล้ท่านโชติระเส ร่างสูงใหญ่ของคุณพ่อเริ่มพ้นสายตาจึงเห็นว่าหน้าท้องเคยนูนของตยาวดีแฟบลง
‘น้องของเธออยู่ไหน...’
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจพร้อมกับมองไปรอบๆ เรือนนอน เธอไม่เห็นอะไรเพิ่มเติมเลย ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีแปลเด็ก ไม่มีเสียงร้องไห้ อุษามันตรามองหน้าตยาวดี น้ำตาของหล่อนกำลังไหลลงตามหางตา เธอหยุดยืนอยู่อีกฝั่งของท่านโชติระเส ยื่นมาไปเช็ดน้ำตาให้ตยาวดี พาตัวเองขึ้นไปนั่งข้างๆ จับมือที่ว่างของตยาวดีมากุมเอาไว้ด้วยสองมือของตัวเอง หัวใจบีบรัดจนเกือบหายใจไม่ออก อารมณ์ดีใจที่ได้กลับมาถึงบ้านและค้าขายได้กำไรงามมลายหายไปหมดสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าข้า คุณแม่”
อุษามันตราถาม น้ำตาเธอหยดอย่างไม่รู้ตัว เสียงสั่นระริกจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นเสียงของตัวเอง รอยยิ้มแสนหวานของตยาวดียังส่งมาให้ เธอรู้สึกว่ามันไม่เข้ากับใบหน้าซีดเซียวที่เห็น
ตยาวดีไม่ยอมตอบ หล่อนหลับตาแล้วปล่อยให้น้ำตารินไหล ท่านโชติระเสไม่พูดอะไร นอกเสียจากโน้มใบหน้าลงจูบหน้าผากของตยาวดีเนิ่นนาน
“สักวัน... เขาจะมาใหม่ ตยาวดีน้องเจ้าจงนอนพักเถิด พี่จักอยู่กับเจ้าเอง”
ท่านโชติระเสกล่าวอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลยิ่งนัก แรงบีบที่ฝ่ามือทำให้อุษามันตรารู้ว่าตยาวดีเจ็บปวดแม้หล่อนจะหลับตา หล่อนสะอื้นโดยไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน
อุษามันตรารู้ว่าตยาวดีเจ็บปวด ความหวังจะมีผู้สืบทอดของหล่อนคงแหลกสลาย นานมากเพียงใดกว่าความสัมพันธ์จะดีขึ้นมาจนถึงจุดนี้ แต่ทั้งหมดย่อมไม่เท่าความสูญเสียที่เกิดขึ้น เธอวางมือของตยาวดีไว้ข้างๆ ขยับมากราบเท้าเช่นทุกครั้งที่ได้กลับมาถึงเรือน
“ลูกกลับถึงเรือนแล้วเจ้าข้าคุณแม่”
กล่าวจบก็ยันกายกลับมา ขยับนอนกอดตยาวดีเบาๆ เท่าที่จะอำนวยเพราะไม่อยากให้หล่อนกระทบกระเทือน ตยาวดีใช้แขนที่ว่างกอดเธอแน่น น้ำเสียงสะอื้นนั้นเพิ่งได้ยิน ไม่มีใครพูดอะไร อุษามันตรารู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ธรรมดา หล่อนท้องได้นับแปดเดือนแล้วแต่กลับเกิดเหตุเช่นนี้ช่างผิดปกตินัก
ในหัวนั้นคิดหลายอย่างถึงสาเหตุวกวนไม่รู้จบจนเมื่อเห็นว่าตยาวดีสงบลงพอสมควร “ลูกจักออกไปดูบ่าวกับโรงหล่อก่อน คุณแม่อยู่กับคุณพ่อนะเจ้าข้า”
ตยาวดีพยักหน้าและเช็ดน้ำตาตัวเอง อุษามันตรามองท่านโชติระเสยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
เธอเดินออกมาจนถึงประตูเรือนนอนด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ การเดินบนเรือนไม้โดยไม่ให้เกิดเสียงกลายเป็นสิ่งง่ายดายและเคยชิน เธอปิดประตูแผ่วเบา ทิดศรสะดุ้งเมื่อเธอเข้าถึงตัว
“ลุงศรเรียกวายุขึ้นมาหาอุษาเดี๋ยวนี้ เรียกมาให้ครบทุกคนนะเจ้าข้า”
ถ้าจะบอกว่าน้ำเสียงที่พูดกับตยาวดีอ่อนหวาน น้ำเสียงที่พูดกับทิดศรแตกต่างกันอย่างลิบลับ อุษามันตราพยักหน้าบอกจิตราให้ตามมา มือผลักประตูหอตำราแผ่วเบาซึ่งมีความหมายว่าเฉพาะกิจเพราะเป็นห้องทำงานและเก็บเอกสารสำคัญ เธอหันไปบอกศีลาก่อนจะเดินข้ามธรณีประตูว่า
“พี่ศีลาลงไปเอาบันทึกคนเข้าออกที่โรงหล่อมาให้อุษาด้วยเจ้าข้า เดี๋ยวนี้เลย”
“เจ้าข้า” ศีลารับคำและลงจากเรือนไปจัดการเร็วไว
[นิยาย] พักตร์อสูร : บทที่ 12
ขอชี้แจงว่าก่อนหน้านี้มีกรณีที่จะคัดลอกผลงานเรื่องพักตร์อสูร อ้อยจึงทำการลบเนื้อหาบางส่วนในเว็บเด็กดีและเว็บเลิฟออกไป แต่ด้วยใจอยากให้พี่น้องนักอ่านบางท่านที่เข้ามาติดตามทีหลังได้อ่าน อ้อยจึงเข้ามาโพสต์ต่อในพันทิปนี้ แต่ก็เพิ่งจะฉุกใจว่าที่นี่ไม่มีระบบป้องกันเหมือนสองเว็บที่ว่ามาเพราะเป็นบอร์ดสาธารณะ อ้อยจึงต้องขอหยุดโพสต์นิยายเรื่องพักตร์อสูรที่เว็บพันทิปเพียงบทนี้เท่านั้นนะคะ และจากนี้จะโพสต์ไว้ที่แฟนเพจสุชาคริยาค่ะ
อ้อยขอขอบพระคุณทางเว็บพันทิปมากๆ ที่แบ่งปันพื้นที่ให้อ้อยได้ลงนิยายนะคะ ขอบพระคุณค่ะ และต้องขอโทษทุกท่านอีกครั้งนะคะ ขอบพระคุณมากๆ ที่ติดตามงานเขียนเรื่องนี้ค่ะ
อ้อย/สุชาคริยา
-------------------------------------------------
อ่าน 'พักตร์อสูร' ตอนเดิมได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/30383088
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30393758
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30934208
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30938172
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/30943480
บทที่ 6-8 http://ppantip.com/topic/30955238
บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/30960645
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/30965367
บทที่ 11 http://ppantip.com/topic/30970069
-------------------------------------------------
หนึ่งปีต่อมา...
การเดินทางค้าขายครั้งที่สองนี้เรียบร้อยดีกว่าครั้งแรก อุษามันตราเริ่มมีลูกค้าเป็นของตนเองบ้างแล้ว อีกทั้งชื่อเสียงของท่านมะณิจันโทรับประกันได้ถึงคุณภาพของสินค้า แม้ว่าจะมีการกดราคาให้ต่ำลงกว่าราคาจริงในบางเมืองเพราะต้องการลดต้นทุนกับเจ้าที่ต้องเจรจาใหม่ แต่อุษามันตราก็ไม่สนใจ เธอยึดคติของดีจริงไม่มีราคาถูก
‘แม่นายน้อยอุษามันตราจักมิลดหย่อนให้ข้าพเจ้าบ้างดอกหรือ ราคาที่ท่านแจ้งมานั้น ยังสูงอยู่นะเจ้าข้า ขอลดลงตามที่ข้าพเจ้าขอเถิด’
นั่นคือคำพูดของคหบดีรายหนึ่งที่ค้าเกลือมาแต่เดิมและเธอเข้าไปเจรจา ตามข้อมูลที่มีพอทำให้รู้บ้างว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่ในเมื่อสินค้าของเธอมาจากแหล่งสินค้าหลัก ไม่ได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งยังขนส่งด้วยระยะที่เท่ากัน ดังนั้น ราคาที่เธอเสนอย่อมถือว่าต่ำกว่าเจ้าอื่นแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็ยังต้องการลูกค้าใหม่เพื่อสร้างฐานเอาไว้ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเธอเป็นเด็กและผู้มาด้วยไม่มีเชี่ยวชาญ อุษามันตราจึงตัดสินใจ
‘ข้าพเจ้าคงต้องขออภัย หากสินค้าของข้าพเจ้าไร้คุณภาพ มิสมราคา ก็คงมิอาจขายในราคานี้ได้นับแต่ออกจากไพศาลี จริงแล้วราคาที่ข้าพเจ้าบอกนั้นต่ำกว่าราคาอีกเจ้าหนึ่งที่ส่งสินค้าให้ท่านเสียอีก จริงหรือไม่เจ้าข้า แต่ด้วยข้าพเจ้าหวังมิตรแห่งท่าน จึงเจรจาค้าขาย ถ้าจะให้ตกลงในราคาที่ท่านว่ามา ให้ถือเสียว่าวันนี้ข้าพเจ้าแลคณะมาเยี่ยมเยียนและแนะนำตัว หากวันหน้ามีโอกาส เราคงได้ค้าขายกัน วันนี้ข้าพเจ้ารบกวนท่านมากเกินไปแล้ว ขอลาเจ้าข้า’
เมื่อเห็นว่าเธอตั้งท่าจะกลับจริง
‘ประเดี๋ยวก่อนเถิด แม่นายน้อยอุษามันตราจักมิตรองให้รอบคอบว่านี้หรือเจ้าข้า’
และตอบแบบไม่ต้องคิดว่า
‘ข้าพเจ้าตรองดีแล้วเจ้าข้า สินค้าของข้าพเจ้ารับจากคุณตามะณิจันโทโดยตรง ดูแลรักษาอย่างดี ต้นทุนสินค้าและเดินทางย่อมมีมากน้อยตามสัดส่วน แต่หากท่านต้องการตามราคาว่ามา ข้าพเจ้าก็ต้องขออภัยที่มิอาจจำหน่ายได้ คู่ค้าที่รอรับนั้นมีอยู่แล้ว แต่เป็นดั่งกล่าวมา ข้าพเจ้าหวังผูกไมตรี จะอย่างไรก็ต้องกลับเส้นทางนี้ จึงแวะมาเยี่ยมเยียนด้วยเห็นว่าสินค้านั้นพอสานไมตรีระหว่างเราได้ วันนี้ข้าพเจ้าขอลา หวังว่าสินค้าขบวนหน้า เราอาจได้ค้าขายกันเจ้าข้า’
จบคำก็เตรียมตัวถอยออกมา ให้สัญญาณคนของมนสิการว่าเตรียมออกเดินทางต่อ การเจรจายืดเยื้อเหมือนจะตกลงไม่ได้ก่อนหน้านั้นกลับถูกฝ่ายเจ้าเรือนเป็นผู้ตัดสิน
‘เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอรับไว้ตามราคาที่แม่นายน้อยอุษามันตราต้องการ เพื่อสานไมตรีระหว่างกัน คราหน้า จักมาเมื่อใดหรือเจ้าข้า’
‘ราวเดือนสี่เจ้าข้า’
นั่นคือเรื่องราวในครั้งแรกที่ผ่านมา พ่อค้าบางรายก็ยินดีผูกมิตรโดยไม่อิดออด เพราะส่วนมากสินค้าชนิดนี้นานทีจะผ่านมาครั้งหนึ่ง พ่อค้าที่มีอยู่ก็เล่นตัว บ้างกว่าจะมาถึงเกลือเสียหายก็มี ถูกปล้นก็มาก
สินค้าของท่านมะณิจันโทขึ้นชื่อว่าสะอาด คุณภาพดี แต่ส่วนมากมักกระจายในสายเหนือซึ่งคุณน้าของเธอเป็นผู้ดูแลอยู่ ส่วนเส้นทางจากไพศาลีมายังมิถิลานั้นเรียกว่าสายตะวันตกยังไม่มีขบวนสินค้าขนาดกลางและใหญ่ผ่านมาเป็นกิจจะลักษณะ มีเพียงผู้ค้ารายเล็ก จนกระทั่งโอกาสมาถึงเธอ
ครั้งนี้ตยาวดีไม่ได้ติดตามมาด้วยเพราะตั้งท้องได้เจ็ดเดือนเข้าเดือนที่แปด การขายเกลือระหว่างทางกลับมิถิลารอบนี้ได้กำไรงาม ขบวนผู้ติดตามจากเดิมสิบห้าคนได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว มีนักรบรับจ้างฝีมือดีอีกสิบไว้คุ้มกัน รวมทั้งหมดประมาณสี่สิบกว่าคน ถือว่าเป็นขบวนการค้าขนาดกลางเกือบใหญ่
ตอนนี้เกลือเหลืออยู่เพียงหนึ่งเกวียนจากทั้งหมดห้าเกวียน เธอจะนำไปขายที่ท่าวัดคุ้งเหนือ เก็บกำไรชุดสุดท้ายของขบวนสินค้าครั้งนี้ด้วยการขายปลีก โดยให้บ่าวที่ถูกคัดเลือกและไว้ใจได้เป็นผู้ไปจัดการหลังจากขายสินค้าราคาส่งตามเมืองต่างๆ และได้กำไรมาไว้ในมือแล้วชุดหนึ่ง เธอต้องขายเกลือให้หมดทันทีที่มาถึงมิถิลา ไม่สามารถเอากลับมาเก็บไว้ในอาณาเขตมนสิการ เพราะคราวก่อนโลหะในโรงหล่อที่เป็นแร่เหล็กเกิดสนิมเร็วมากจากความเค็มของเกลือทำให้กำไรจากการขายสินค้าได้ในรอบแรกหายไปเกือบครึ่งหนึ่งจนอยากบีบคอตัวเองนัก
ส่วนงานในโรงหล่อนั้นมีคนเก่าแก่ที่ไว้ใจได้ เธอนำระบบการทำงานในโลกสมัยใหม่มาใช้กับที่นี่ แบ่งเป็นชั้นตำแหน่งให้เป็นระบบ คนที่เป็นหัวหน้ามีความรับผิดชอบสูง ก็ตอบแทนตามความเหนื่อยยาก ข้อดีอีกอย่างของสังคมที่นี่คือต่อให้ความเป็นอยู่ของคนเป็นบ่าวดีขึ้นมากขนาดไหน เขาพวกนั้นก็ไม่ยอมแยกตัวออกไป ยินดีรับใช้ด้วยความภักดีและคิดว่าต้องสำนึกในบุญคุณของท่านโชติระเสที่ให้โอกาสตนเองและทำให้ครอบครัวของพวกเขาได้กินดีอยู่ดีมากขึ้น จนจำนวนประชากรและคนที่ทำงานให้แก่มนสิการก็มีเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเพียงแค่หนึ่งปี
อุษามันตรานั่งคำนวณตัวเลขค่าใช้จ่ายและกำไรอื่นๆ ในเกวียนไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้หยุดพัก คิดว่าการเดินทางครั้งหน้าควรติดอะไรจากมิถิลาไปขายเพื่อจะได้ไม่ต้องลากเกวียนเปล่าไปไพศาลีเพราะไม่ใช้การขนส่งทางเรือเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าทางบก
“วางลงก่อนเถิดอุษามันตรา ใกล้ถึงเรือนแล้วลูกเอ๋ย” ท่านโชติระเสบอก
เธอมองท่านโชติระเสแล้วยิ้มให้ วางสมุดขาวไว้ข้างตัว เปิดผ้าม่านหน้าต่างเกวียนออกนิดหนึ่ง อาณาเขตของมนสิการเห็นอยู่ไม่ไกล บอกไม่ถูกว่าดีใจขนาดไหนที่ถึงบ้าน ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าย่อมมีเป็นธรรมดา แต่แทบหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ถึงเรือน ป้าจิตรา พี่ศีลา และตยาวดีจะเตรียมข้าวปลาอาหารรสอร่อยไว้รอ อ้อมกอดนุ่มๆ ที่คุ้นชินทำให้เธอรักตยาวดีได้อย่างไม่มีคำบรรยาย ตลอดหลายปีที่อยู่ในร่างนี้ อยู่ในสังคมนี้ อยู่ที่นี่ ตัวตนของเพชรน้ำค้างได้ผสมผสานกับอุษามันตราเป็นหนึ่งเดียวอย่างแยกไม่ออก อุษามันตราคือตัวเธอเอง และเพชรน้ำค้างคือตัวเธอเองเช่นกัน วิถีแห่งโลกใหม่กลมกลืนจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับร่างกายนี้
ทันทีที่เกวียนจอดสนิท ท่านโชติระเสประคองเธอลง วันนี้เรือนใหญ่ดูแปลกไป ไม่มีใครลงมารับเธอ จนต้องมองไปรอบๆ เกวียนสินค้าและบ่าวส่วนหนึ่งแยกไปท่าวัดคุ้งเหนือตามคำสั่งโดยไม่แวะเข้ามนสิการก่อน
อุษามันตราเห็นจิตรารีบลงจากเรือนมาหา ตาบวมแดง ใบหน้าเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก็ทำให้นึกสงสัย
“นายท่านเจ้าข้า รีบขึ้นเรือนเถิดเจ้าข้า” หล่อนพูดเสียงสั่น
ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกโหวงเหวงในอกเช่นนี้กับสิ่งที่เห็นและได้ยิน ท่านโชติระเสเดินขึ้นไปอย่างเร็วผิดกับท่าเดินเนิบช้าสง่างามตามปกติ เธอเดินตามหลัง ศีลานั่งอยู่หน้าเรือนนอนของท่านโชติระเส เธอไม่เห็นตยาวดี รู้สึกว่าหัวใจหล่นวูบลงไปกองอยู่ปลายเท้า รีบเดินจนเกือบวิ่งอย่างไม่รั้งรอ
อุษามันตราเห็นท่านโชติระเสนั่งอยู่ตรงขอบเตียงเมื่อพ้นประตู ตยาวดีนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแต่ยังลืมตาอยู่บนเตียงไม้ปูด้วยฟูกนั้น มือของท่านโชติระเสกุมมือของตยาวดีไว้ แนบใบหน้าไว้กับหลังมือของหล่อน
อุษามันตราค่อยๆ เดินเข้าไป รู้สึกใจหายเมื่อเห็นน้ำตาท่านโชติระเสกำลังหยดลง เธอมองตยาวดี ใบหน้าหล่อนซีดเซียว หันมายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเธอเดินเข้าไป อาการก้าวขาไม่ออกกำลังเกิดขึ้น เธอเปลี่ยนใจเดินอ้อมไปยังปลายเตียงทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะไปยืนใกล้ท่านโชติระเส ร่างสูงใหญ่ของคุณพ่อเริ่มพ้นสายตาจึงเห็นว่าหน้าท้องเคยนูนของตยาวดีแฟบลง
‘น้องของเธออยู่ไหน...’
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจพร้อมกับมองไปรอบๆ เรือนนอน เธอไม่เห็นอะไรเพิ่มเติมเลย ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีแปลเด็ก ไม่มีเสียงร้องไห้ อุษามันตรามองหน้าตยาวดี น้ำตาของหล่อนกำลังไหลลงตามหางตา เธอหยุดยืนอยู่อีกฝั่งของท่านโชติระเส ยื่นมาไปเช็ดน้ำตาให้ตยาวดี พาตัวเองขึ้นไปนั่งข้างๆ จับมือที่ว่างของตยาวดีมากุมเอาไว้ด้วยสองมือของตัวเอง หัวใจบีบรัดจนเกือบหายใจไม่ออก อารมณ์ดีใจที่ได้กลับมาถึงบ้านและค้าขายได้กำไรงามมลายหายไปหมดสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าข้า คุณแม่”
อุษามันตราถาม น้ำตาเธอหยดอย่างไม่รู้ตัว เสียงสั่นระริกจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นเสียงของตัวเอง รอยยิ้มแสนหวานของตยาวดียังส่งมาให้ เธอรู้สึกว่ามันไม่เข้ากับใบหน้าซีดเซียวที่เห็น
ตยาวดีไม่ยอมตอบ หล่อนหลับตาแล้วปล่อยให้น้ำตารินไหล ท่านโชติระเสไม่พูดอะไร นอกเสียจากโน้มใบหน้าลงจูบหน้าผากของตยาวดีเนิ่นนาน
“สักวัน... เขาจะมาใหม่ ตยาวดีน้องเจ้าจงนอนพักเถิด พี่จักอยู่กับเจ้าเอง”
ท่านโชติระเสกล่าวอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลยิ่งนัก แรงบีบที่ฝ่ามือทำให้อุษามันตรารู้ว่าตยาวดีเจ็บปวดแม้หล่อนจะหลับตา หล่อนสะอื้นโดยไม่มีเสียงใดให้ได้ยิน
อุษามันตรารู้ว่าตยาวดีเจ็บปวด ความหวังจะมีผู้สืบทอดของหล่อนคงแหลกสลาย นานมากเพียงใดกว่าความสัมพันธ์จะดีขึ้นมาจนถึงจุดนี้ แต่ทั้งหมดย่อมไม่เท่าความสูญเสียที่เกิดขึ้น เธอวางมือของตยาวดีไว้ข้างๆ ขยับมากราบเท้าเช่นทุกครั้งที่ได้กลับมาถึงเรือน
“ลูกกลับถึงเรือนแล้วเจ้าข้าคุณแม่”
กล่าวจบก็ยันกายกลับมา ขยับนอนกอดตยาวดีเบาๆ เท่าที่จะอำนวยเพราะไม่อยากให้หล่อนกระทบกระเทือน ตยาวดีใช้แขนที่ว่างกอดเธอแน่น น้ำเสียงสะอื้นนั้นเพิ่งได้ยิน ไม่มีใครพูดอะไร อุษามันตรารู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ธรรมดา หล่อนท้องได้นับแปดเดือนแล้วแต่กลับเกิดเหตุเช่นนี้ช่างผิดปกตินัก
ในหัวนั้นคิดหลายอย่างถึงสาเหตุวกวนไม่รู้จบจนเมื่อเห็นว่าตยาวดีสงบลงพอสมควร “ลูกจักออกไปดูบ่าวกับโรงหล่อก่อน คุณแม่อยู่กับคุณพ่อนะเจ้าข้า”
ตยาวดีพยักหน้าและเช็ดน้ำตาตัวเอง อุษามันตรามองท่านโชติระเสยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
เธอเดินออกมาจนถึงประตูเรือนนอนด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ การเดินบนเรือนไม้โดยไม่ให้เกิดเสียงกลายเป็นสิ่งง่ายดายและเคยชิน เธอปิดประตูแผ่วเบา ทิดศรสะดุ้งเมื่อเธอเข้าถึงตัว
“ลุงศรเรียกวายุขึ้นมาหาอุษาเดี๋ยวนี้ เรียกมาให้ครบทุกคนนะเจ้าข้า”
ถ้าจะบอกว่าน้ำเสียงที่พูดกับตยาวดีอ่อนหวาน น้ำเสียงที่พูดกับทิดศรแตกต่างกันอย่างลิบลับ อุษามันตราพยักหน้าบอกจิตราให้ตามมา มือผลักประตูหอตำราแผ่วเบาซึ่งมีความหมายว่าเฉพาะกิจเพราะเป็นห้องทำงานและเก็บเอกสารสำคัญ เธอหันไปบอกศีลาก่อนจะเดินข้ามธรณีประตูว่า
“พี่ศีลาลงไปเอาบันทึกคนเข้าออกที่โรงหล่อมาให้อุษาด้วยเจ้าข้า เดี๋ยวนี้เลย”
“เจ้าข้า” ศีลารับคำและลงจากเรือนไปจัดการเร็วไว