อ่าน 'พักตร์อสูร' ตอนเดิมได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30383088
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/30393758
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/30934208
บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/30938172
บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/30943480
บทที่ 6-8
http://ppantip.com/topic/30955238
บทที่ 9
http://ppantip.com/topic/30960645
บทที่ 10
http://ppantip.com/topic/30965367
ตอบเม้นท์ >>>
คุณลิลลี่สีกุหลาบ = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ดีใจจริงๆ จุ๊บๆๆๆ ^^
คุณ pramexyuri = ขอบพระคุณค่ะ ^^
คุณ สมาชิกหมายเลข 957799 = ขอบพระคุณค่ะ จุ๊บๆ ม๊วฟๆๆ ดอกไม้สวยมากๆ ค่ะ o^,^o
---------------------------------------------------------------
บทที่ 11
การเดินทางผ่านไปแล้วถึงเก้าวัน ที่ผ่านมา... อุษามันตราได้ข้อมูลหลายอย่างตามต้องการ ของฝากและการเยี่ยมเยียนสร้างความประทับใจแก่เจ้าเรือนทั้งหลายที่เป็นคู่ค้า มิตร สหาย ได้อย่างงดงาม นับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับการฟื้นฟูและสานความสัมพันธ์ให้แนบแน่น
อุษามันตราเลิกผ้าม่านผืนหนาของหน้าต่างเกวียนขึ้นเพียงนิด มองเรือนไทยหมู่หลังงามมีขนาดใกล้เคียงกับเรือนใหญ่ของมนสิการแต่ย่อมกว่าอย่างสนใจ ที่นี่เป็นเรือนของท่านอะนุตตะเร สหายคหบดีแห่งมคธของท่านโชติระเส บัดนี้บ่าวในเรือนหลังที่เห็นวุ่นวายไม่น้อยเมื่อคณะเดินทางของเธอมาถึง
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าข้าคุณพ่อ”
อุษามันตราถาม สายตายังคงมองความวุ่นวายนั้นอยู่ ท่านโชติระเสไม่ได้ตอบ แต่ค่อยๆ ลงไปจากเกวียน บ่าวของที่นี่พยายามไม่แสดงความอลหม่านให้ผู้มาเยือนเห็น แต่ก็รู้ได้ไม่ยาก เมื่อสีหน้าแต่ละคนนั้นตกใจไม่น้อย ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้มคนหนึ่งเร่งรีบออกจากเรือนลงมาต้อนรับ ไม่นานนัก บ่าวคนหนึ่งของมนสิการส่งเสียงพอให้ได้ยินว่า
“นายท่านให้แม่นายตยาวดีกับแม่นายน้อยอุษามันตราลงไปเจ้าข้า”
อุษามันตราและตยาวดีพากันลงไป ชายคนที่เห็นก่อนนี้น่าจะเป็นท่านอะนุตตะเร ไม่ผิดแน่ เพราะการยืนเคียงคู่ สีหน้าท่าทางแสดงความสนิทสนมนั้นเดาได้ไม่ยาก เขาเป็นชายวัยใกล้เคียงกับคุณพ่อ สีผิวดำแดงคล้ายสัมฤทธิ์ ใบหน้าบึกบึนน่าเกรงขาม ริมฝีปากหนา ดวงตาโต แววตาใจดีขี้เล่น รูปร่างความสูงของทั้งคู่ไล่เลี่ยใกล้กัน
เขาหันมายกมือรับไหว้เธอกับตยาวดีที่เดินเข้าไป รอยยิ้มแบบไม่เห็นฟันแต่รู้ว่ายิ้มกว้างส่งมาให้ เขาหันไปหาท่านโชติระเส แล้วพูดว่า
“ข้าพเจ้ามิได้ใบบอกความเลย...ท่านโชติระเสสหายรัก เชิญขึ้นเรือนก่อนเถิด” แล้วหันไปบอกบ่าวใกล้ตัวว่า “พวกเจ้าตระเตรียมให้ไว ตั้งสำรับที่เรือนใหญ่สี่วง”
คำว่าสี่วงก็คือจัดอาหารขึ้นมาสี่ชุดนั่นเอง ท่านอะนุตตะเรกอดเอวท่านโชติระเส โดยคุณพ่อของเธอก็โอบไหล่อีกฝ่าย แสดงความสนิทสนมชิดเชื้อไม่น้อย คนของมนสิการเดินตามขึ้นมา เรือนแห่งนี้มีลักษณะผังตัวเรือนคล้ายกับเรือนใหญ่ของมนสิการมาก
“อุษามันตรา มากราบท่านลุงอะนุตตะเรก่อน” ท่านโชติระเสบอก
อุษามันตราขัดเข่าเข้าไป กราบตรงหน้าสหายของคุณพ่อที่นั่งพับเพียบอยู่ใกล้กันนี้
“เรียกอาก็พอ หลานเอ๋ย ยังมิอยากเป็นลุงดอก ให้บิดาเจ้าเป็นลุงไปนั่นแล เจริญๆ เถิดหลาน”
อดขำไม่ได้กับคำพูดที่ได้ยิน ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนหรือที่ไหนก็ไม่มีใครอยากแก่ เธอหันไปมองท่านโชติระเส คุณพ่อหัวเราะในลำคอเพียงนิดด้วยเกรงเสียมารยาท
“เงยหน้าของเจ้าให้อาดูหน่อยเถิดอุษามันตรา”
เธอหันกลับมา ทำตามคำบอกนั้น จึงเห็นสีหน้าอมยิ้มเอ็นดู
“งาม... งามนัก ถอดพิมพ์ส่วนอันงามเลิศของบิดาเจ้ามาเลยเทียว เจริญๆ ยิ่งเถิดนะหลานเอ๋ย ขอให้มีสุข มีโชค มีชัย แข็งแรงทั้งกายแลใจ เป็นมิ่งขวัญของพ่อแลแม่เทอญ”
อุษามันตราก้มกราบอีกครั้ง เขาลูบที่ศีรษะเธอ อุษามันตราค่อยๆ ถอยออกมา การแสดงออกของท่านอะนุตตะเรทำให้รู้ว่าชายคนนี้เป็นเพื่อนรักของท่านโชติระเสอย่างถูกต้องที่สุด เพราะเขาแสดงความเอ็นดูและทักทายด้วยกิริยาอาการแตกต่างจากทุกเรือนที่ไปเยี่ยมเยียน เมื่อปกติท่านโชติระเสแทบไม่ให้ใครเข้าใกล้เธอหรือยอมให้เธอเข้าใกล้ใคร
ท่านโชติระเสยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปพูดกับท่านอะนุตตะเรว่า
“ข้าพเจ้าส่งพิราบสื่อสารนับแต่ก่อนออกจากมนสิการ คะเนว่าสักสิบสองวันมาแล้ว ท่านมิได้ใบบอกความดอกหรือ”
“พิโธ่...ท่านโชติระเส หากข้าพเจ้าทราบความ ฤๅได้ใบบอก จักเตรียมการดูแลสหายรักเยี่ยงท่านให้เอิกเกริกมิน้อยหน้าผู้ใดเทียว”
และจากนั้น... บทสนทนาอีกต่างๆ มากมายก็ตามมา การพูดคุยดั่งว่าไม่มีใครเข้าสู่โลกของทั้งสองได้เริ่มขึ้น
ในใจของอุษามันตรากำลังคิดว่าข้อบกพร่องของการสื่อสารในยุคนี้มีจุดอ่อนจนเกิดความผิดพลาด และคงไม่ดี... หากความผิดพลาดเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับการค้าของเธอในอนาคตที่จะมาถึง
หลังจากเดินทางมาสิบห้าวัน ตอนนี้คณะของมนสิการมาถึงใจกลางเมืองไพศาลี ถนนในเมืองหลวงของที่นี่ปูด้วยศิลาแลงก้อนใหญ่ ผู้คนมากมาย ดูพลุกพล่านมากกว่าทุกเมืองที่ผ่านมา สมกับเป็นเมืองค้าขายและเมืองท่าสำคัญ
ตยาวดีโน้มใบหน้าลงมา กระซิบบอกเธอว่า
“ถัดจากตลาดกลางเมืองนี้ ก็จะถึงเรือนคุณตาแล้ว อุษามันตราลูกแม่”
อุษามันตราเลิกผ้าม่านหน้าต่างเกวียนขึ้นนิดหนึ่ง ตลาดที่นี่คึกคัก สภาพความเป็นอยู่เหมือนยุคไทยโบราณ หน้าร้านบางร้านก็มีหลังคายื่นออกมา มุงด้วยหญ้าคา ฝาเป็นไม่ไผ่รวกผ่าซีกสอดสลับ สานกั้นพอให้เป็นสัดส่วน เรียงรายเต็มสองฟากฝั่งถนนขนาดกว้าง เกวียนสวนทางได้สบาย ร้านขายผลไม้สดหลากชนิดมีเพิงหญ้าคายื่นออกมาเหมือนผ้าใบ บางร้านก็ใช้ฝ้าไม้เนื้อแข็งและเป็นเรือนสองชั้น บ่งบอกฐานะการเงินผู้เป็นเจ้าของ มีทั้งร้านค้าเนื้อ ร้านขายผ้า หรือแม้แต่เครื่องเงิน หม้อไห บ้างก็เดินเร่ขาย ดูคึกคักยิ่งนัก
“เราจะมาเที่ยวที่นี่กันได้หรือไม่เจ้าข้าคุณแม่”
เธอถาม เพราะอยากเห็นความเป็นอยู่ อยากรู้วัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนในเมืองนี้จนต้องชะโงกออกไปดู ทว่าแสงบางอย่างก็กระทบตา เธอเห็นว่ามันอยู่ไกลพอสมควร จนต้องถามตยาวดีว่า
“ตรงนั้น... คืออะไรหรือเจ้าข้าคุณแม่ สะท้อนแสงดีนักเจ้าข้า”
ทว่าท่านโชติระเสกลับเป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้ามองตาม “นั่นคือวังหลวงของไพศาลี อุษามันตรา” และเป็นคนให้คำตอบแทน
เธอคิดว่าพระราชวังหลวงของไพศาลีอาจประดับตกแต่งด้วยทองคำหรือไม่ก็อัญมณีขนาดใหญ่ เพราะคงไม่มีอะไรสะท้อนแสงได้ดีและไกลถึงเพียงนี้นอกจากสิ่งที่ว่ามา
คิดไป... พระราชวังของที่นี่น่าจะแตกต่างจากพระราชวังของมิถิลา ที่นั่นสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เธอไม่มีความรู้เรื่องไม้มากนัก แต่ถ้าให้เดา ก็คงเป็นไม้เนื้อแข็งมีราคา ฝีมือการฉลุลายเท่าที่เห็นจากนอกกำแพงประณีตอ่อนช้อยงดงาม แม้แต่พระราชวังมัณฑะเลย์ของพม่าอย่างเคยเห็นในรูปถ่ายก่อนถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดว่าสวยแล้ว ก็ยังสู้พระราชวังของมิถิลาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
‘อยากรู้ว่าพระราชวังของเมืองไพศาลีจะเป็นแบบไหนกันนะ’ เธอถามตัวเองในใจ และคิดไว้ว่าต้องหาโอกาสไปสัมผัสด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งหนึ่ง
ขบวนเกวียนผ่านพ้นตลาดใจกลางเมืองไพศาลีไม่มากนัก เรือนไทยหมู่ขนาดใหญ่เท่ากับมนสิการก็ปรากฏให้เห็น อันเป็นข้อสรุปได้ว่าในสังคมนี้ หากเป็นเรือนของคหบดีหรือชนชั้นที่มีฐานะดี ลักษณะของเรือนก็เป็นเรือนหมู่ขนาดใหญ่เช่นเดียวกับมนสิการ
อุษามันตราพยายามมองโดยรอบ อาณาบริเวณกว้างขวางยิ่งใหญ่ หากจะบอกว่ามนสิการเป็นอาณาจักรแห่งการหล่อโลหะอันเลื่องชื่อ ที่นี่ก็คงจะเป็นอาณาจักรแห่งการค้าขายสินค้าอันเลื่องชื่อเช่นกัน
ผู้คนเกือบเจ็ดสิบนั่งพับเพียบกับพื้นหญ้าหน้าเรือนอย่างเป็นระเบียบ มีเพียงชายอาวุโสผิวขาวเหลือง ร่างอวบสมบูรณ์ ผมมวยปักปิ่นทองคำ สวมครอบผมลายวิจิตรตรงฐานผม นุ่งผ้านุ่งสีเข้มทอลายประณีตพับหน้าแบบลอยชายกำลังยืนเอามือไพล่หลัง คอตั้งตรง ไม่ใส่เสื้อ ยืนเด่นเป็นสง่า เส้นผมของเขามีสีขาวแซมสลับ อายุคงประมาณห้าสิบห้าปี แววตา... ริ้วรอยบนใบหน้า บ่งบอกประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมามากครั้ง เขากำลังจ้องเธอขณะลงจากเกวียน แต่ทั้งหมดนั้นก็คือ เขาเป็นชายที่ดูมีสง่าราศี มีอำนาจอย่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
นี่นะหรือ...ท่านมะณิจันโท คุณตาของเธอ
คนที่นั่งอยู่ต่างยกมือขึ้นไหว้ ตยาวดีและท่านโชติระเสรับไหว้แล้วจับมือของเธอเดินเข้าไป ตยาวดีย่อกายลงเมื่อเหลือระยะห่างประมาณหนึ่งเมตร อุษามันตรายืนนิ่ง มองตยาวดีขัดเข่าเข้าไปหาชายอาวุโสคนเดียวที่ยืนอยู่นั้น แล้วกราบแทบเท้า ช่างเป็นกิริยาที่งามนัก งามจับจิตจับใจ
“กราบคุณพ่อเจ้าข้า” เสียงหวานของตยาวดีดังให้ได้ยิน
ท่านมะณิจันโทค่อยๆ ย่อกายลง สองมือประคองไหล่ตยาวดี ดวงตาของท่านนั้นมีน้ำตาเอ่อคลอ ทำให้รู้ว่ารักคุณแม่ของเธอมากขนาดไหน โดยเฉพาะรอยยิ้มของท่านที่ได้มอบให้และเธอเห็นในขณะนี้
“โชคดีมีชัยเถิด ตยาวดีลูกพ่อ”
ตยาวดีถอยห่างออกมา ท่านโชติระเสขัดเข่าเข้าไป และกราบในแบบเดียวกัน ดูสง่างามและเหมาะสมกับตยาวดียิ่งนักเมื่อมองจากจุดที่เธอยืนอยู่ สองมือของท่านมะณิจันโทประคองต้นแขนของท่านโชติระเส
“โชคดีมีโชค สุขสวัสดิ์เถิด โชติระเส ลูกพ่อ”
คำทักทายของท่านแต่ละคำนั้นฟังแล้วขนลุก เหมือนพรอันประเสริฐสุดกำลังประพรมศีรษะ ให้ผลดีซึมซับแก่ลูกหลาน แววตาท่านมะณิจันโทที่มองท่านโชติระเสหาได้มีแววแค้นเคืองหรือโกรธสักนิด ทั้งที่ทราบอะไรเป็นอย่างดี
อุษามันตราเลื่อมใส อีกใจก็บอกว่าท่านมะณิจันโทคงโปรดเขยคนนี้ไม่น้อย
ตยาวดีพยักหน้าให้เธอเข้าไป ท่านโชติระเสขัดเข่าถอยออกมานิดหนึ่งเพื่อเปิดทาง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาท่านมะณิจันโทอย่างไม่ตั้งใจ เชื่อหรือไม่...ความยินดีที่ปรากฏบนสีหน้าแววตาของท่านนั้น กำลังทำให้เธอตื้นตัน
อุษามันตราขัดเข่าไป มือน้อยๆ กราบแทบเท้าท่านอย่างตั้งใจที่สุด
“เจริญยิ่งๆ เถิด พรใดอันประเสริฐ ขอจงถึงเจ้า ผู้เป็นหลานตาทุกประการ...อุษามันตรา”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วร่างกายเมื่อได้ยิน มือสากด้านของท่านจับต้นแขนทั้งสองของเธอ พรที่ท่านกล่าวนั้นช่างอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยเหลือจะกล่าว เป็นพรที่รับด้วยความรู้สึกและสัมผัสได้ถึงใจของเธอจนเอิบอาบความรักนี้อย่างท่วมท้น
อุษามันตราค่อยๆ ลุกนั่ง สิ่งที่เห็นไม่ได้ผิดไป น้ำตาของท่านคลอเบ้าไม่ต่างจากเธอ รอยยิ้มของท่านมะณิจันโทนั้นแสดงความดีใจอย่างที่สุด
“ตานึกว่าจักมิทันได้เห็นหน้าเจ้าเสียแล้ว ได้เห็นเจ้าเมื่อตอนเกิดใหม่ ตอนนั้นตัวเจ้าเล็ก แลซีดเซียวนัก บัดนี้ตัวเจ้าใหญ่แลเก่งกาจ ตามข่าวที่แม่เจ้าบอกความมา ครั้นงานท่านมหิทธิคุณา ตาก็เจ็บไข้ เดินทางไม่สะดวก จนล่วงมาถึงวันนี้ หลานเอ๋ย... ตาก็คิดถึงเจ้าเหลือเกิน ใคร่พบปะแต่ไว วันนี้ได้สมใจตาแล้ว อุษามันตรา”
กล่าวจบก็ดึงเธอเข้าไปกอด อ้อมแขนของท่านอบอุ่นเหลือเกิน นี่หรือ...คือความรักของคนในสังคมนี้ ความรัก...ที่ให้ด้วยใจ และคนรับก็รับรู้ด้วยใจอย่างแท้จริง เธอกอดคุณตาไว้เช่นกัน ท่านหอมที่ศีรษะนี้เบาๆ เนิ่นนาน บอกให้รู้ว่าท่านนั้นรักลูกหลานมากเพียงใด
“ขึ้นเรือนเถิด”
ท่านมะณิจันโทบอก มองหน้าตยาวดีและท่านโชติระเสก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เธอ รอยยิ้มนั้นมีไม่เสื่อมคลาย มือด้านสากของท่านจับจูงมือเธอเดินขึ้นไปบนเรือนด้วยกัน
อุษามันตราได้รู้ว่าคุณปู่มหิทธิคุณาและคุณตามะณิจันโทเป็นเพื่อนรัก เป็นเพื่อนร่วมสำนักเรียนกันมา รักใคร่ชอบพอจนตกลงว่าจะเป็นทองแผ่นเดียวกันเมื่อต่างฝ่ายมีลูกชายและลูกหญิง ทั้งสองท่านมีบางอย่างคล้ายคลึงกันคือ แม้สิ้นภริยาเอก ก็ไม่รับอนุภรรยาคนไหนขึ้นมาเป็นภริยาเอกแทน
หลังรับสำรับเย็นตรงหอนั่ง ตอนนี้เธอนั่งอยู่กับคุณตา คุณพ่อ และคุณแม่ โดยมีทิดศรกับบ่าวคนสนิทของคุณตาเท่านั้นที่อยู่บนเรือนใหญ่ ทราบว่าคุณน้าของเธอและเป็นน้องชายถัดจากคุณแม่เป็นผู้สืบทอดกิจการทั้งหมด เขาไปกิจธุระสำคัญต่างเมือง จึงไม่ได้อยู่ต้อนรับในวันนี้
บทสนทนามากมายถึงความเป็นมาก่อนมาถึงไพศาลีถูกถ่ายทอดจนครบถ้วน ไม่มีคำต่อว่าใดๆ จากท่านมะณิจันโท เมื่อท่านโชติระเสได้บอกกล่าวทุกอย่าง ทุกข้อมูล ไม่ปกปิดสิ่งใดที่เคยเสียหายหรือเพลี่ยงพล้ำ บอกเล่าทุกอย่าง...อย่างซื่อตรงเช่นชายชาตรีพึงกระทำ
ท่านมะณิจันโทไม่มีท่าทีใดนอกจากรับฟ
[นิยาย] พักตร์อสูร : บทที่ 11
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/30383088
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30393758
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30934208
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30938172
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/30943480
บทที่ 6-8 http://ppantip.com/topic/30955238
บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/30960645
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/30965367
ตอบเม้นท์ >>>
คุณลิลลี่สีกุหลาบ = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ดีใจจริงๆ จุ๊บๆๆๆ ^^
คุณ pramexyuri = ขอบพระคุณค่ะ ^^
คุณ สมาชิกหมายเลข 957799 = ขอบพระคุณค่ะ จุ๊บๆ ม๊วฟๆๆ ดอกไม้สวยมากๆ ค่ะ o^,^o
---------------------------------------------------------------
บทที่ 11
การเดินทางผ่านไปแล้วถึงเก้าวัน ที่ผ่านมา... อุษามันตราได้ข้อมูลหลายอย่างตามต้องการ ของฝากและการเยี่ยมเยียนสร้างความประทับใจแก่เจ้าเรือนทั้งหลายที่เป็นคู่ค้า มิตร สหาย ได้อย่างงดงาม นับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับการฟื้นฟูและสานความสัมพันธ์ให้แนบแน่น
อุษามันตราเลิกผ้าม่านผืนหนาของหน้าต่างเกวียนขึ้นเพียงนิด มองเรือนไทยหมู่หลังงามมีขนาดใกล้เคียงกับเรือนใหญ่ของมนสิการแต่ย่อมกว่าอย่างสนใจ ที่นี่เป็นเรือนของท่านอะนุตตะเร สหายคหบดีแห่งมคธของท่านโชติระเส บัดนี้บ่าวในเรือนหลังที่เห็นวุ่นวายไม่น้อยเมื่อคณะเดินทางของเธอมาถึง
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าข้าคุณพ่อ”
อุษามันตราถาม สายตายังคงมองความวุ่นวายนั้นอยู่ ท่านโชติระเสไม่ได้ตอบ แต่ค่อยๆ ลงไปจากเกวียน บ่าวของที่นี่พยายามไม่แสดงความอลหม่านให้ผู้มาเยือนเห็น แต่ก็รู้ได้ไม่ยาก เมื่อสีหน้าแต่ละคนนั้นตกใจไม่น้อย ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้มคนหนึ่งเร่งรีบออกจากเรือนลงมาต้อนรับ ไม่นานนัก บ่าวคนหนึ่งของมนสิการส่งเสียงพอให้ได้ยินว่า
“นายท่านให้แม่นายตยาวดีกับแม่นายน้อยอุษามันตราลงไปเจ้าข้า”
อุษามันตราและตยาวดีพากันลงไป ชายคนที่เห็นก่อนนี้น่าจะเป็นท่านอะนุตตะเร ไม่ผิดแน่ เพราะการยืนเคียงคู่ สีหน้าท่าทางแสดงความสนิทสนมนั้นเดาได้ไม่ยาก เขาเป็นชายวัยใกล้เคียงกับคุณพ่อ สีผิวดำแดงคล้ายสัมฤทธิ์ ใบหน้าบึกบึนน่าเกรงขาม ริมฝีปากหนา ดวงตาโต แววตาใจดีขี้เล่น รูปร่างความสูงของทั้งคู่ไล่เลี่ยใกล้กัน
เขาหันมายกมือรับไหว้เธอกับตยาวดีที่เดินเข้าไป รอยยิ้มแบบไม่เห็นฟันแต่รู้ว่ายิ้มกว้างส่งมาให้ เขาหันไปหาท่านโชติระเส แล้วพูดว่า
“ข้าพเจ้ามิได้ใบบอกความเลย...ท่านโชติระเสสหายรัก เชิญขึ้นเรือนก่อนเถิด” แล้วหันไปบอกบ่าวใกล้ตัวว่า “พวกเจ้าตระเตรียมให้ไว ตั้งสำรับที่เรือนใหญ่สี่วง”
คำว่าสี่วงก็คือจัดอาหารขึ้นมาสี่ชุดนั่นเอง ท่านอะนุตตะเรกอดเอวท่านโชติระเส โดยคุณพ่อของเธอก็โอบไหล่อีกฝ่าย แสดงความสนิทสนมชิดเชื้อไม่น้อย คนของมนสิการเดินตามขึ้นมา เรือนแห่งนี้มีลักษณะผังตัวเรือนคล้ายกับเรือนใหญ่ของมนสิการมาก
“อุษามันตรา มากราบท่านลุงอะนุตตะเรก่อน” ท่านโชติระเสบอก
อุษามันตราขัดเข่าเข้าไป กราบตรงหน้าสหายของคุณพ่อที่นั่งพับเพียบอยู่ใกล้กันนี้
“เรียกอาก็พอ หลานเอ๋ย ยังมิอยากเป็นลุงดอก ให้บิดาเจ้าเป็นลุงไปนั่นแล เจริญๆ เถิดหลาน”
อดขำไม่ได้กับคำพูดที่ได้ยิน ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนหรือที่ไหนก็ไม่มีใครอยากแก่ เธอหันไปมองท่านโชติระเส คุณพ่อหัวเราะในลำคอเพียงนิดด้วยเกรงเสียมารยาท
“เงยหน้าของเจ้าให้อาดูหน่อยเถิดอุษามันตรา”
เธอหันกลับมา ทำตามคำบอกนั้น จึงเห็นสีหน้าอมยิ้มเอ็นดู
“งาม... งามนัก ถอดพิมพ์ส่วนอันงามเลิศของบิดาเจ้ามาเลยเทียว เจริญๆ ยิ่งเถิดนะหลานเอ๋ย ขอให้มีสุข มีโชค มีชัย แข็งแรงทั้งกายแลใจ เป็นมิ่งขวัญของพ่อแลแม่เทอญ”
อุษามันตราก้มกราบอีกครั้ง เขาลูบที่ศีรษะเธอ อุษามันตราค่อยๆ ถอยออกมา การแสดงออกของท่านอะนุตตะเรทำให้รู้ว่าชายคนนี้เป็นเพื่อนรักของท่านโชติระเสอย่างถูกต้องที่สุด เพราะเขาแสดงความเอ็นดูและทักทายด้วยกิริยาอาการแตกต่างจากทุกเรือนที่ไปเยี่ยมเยียน เมื่อปกติท่านโชติระเสแทบไม่ให้ใครเข้าใกล้เธอหรือยอมให้เธอเข้าใกล้ใคร
ท่านโชติระเสยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปพูดกับท่านอะนุตตะเรว่า
“ข้าพเจ้าส่งพิราบสื่อสารนับแต่ก่อนออกจากมนสิการ คะเนว่าสักสิบสองวันมาแล้ว ท่านมิได้ใบบอกความดอกหรือ”
“พิโธ่...ท่านโชติระเส หากข้าพเจ้าทราบความ ฤๅได้ใบบอก จักเตรียมการดูแลสหายรักเยี่ยงท่านให้เอิกเกริกมิน้อยหน้าผู้ใดเทียว”
และจากนั้น... บทสนทนาอีกต่างๆ มากมายก็ตามมา การพูดคุยดั่งว่าไม่มีใครเข้าสู่โลกของทั้งสองได้เริ่มขึ้น
ในใจของอุษามันตรากำลังคิดว่าข้อบกพร่องของการสื่อสารในยุคนี้มีจุดอ่อนจนเกิดความผิดพลาด และคงไม่ดี... หากความผิดพลาดเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับการค้าของเธอในอนาคตที่จะมาถึง
หลังจากเดินทางมาสิบห้าวัน ตอนนี้คณะของมนสิการมาถึงใจกลางเมืองไพศาลี ถนนในเมืองหลวงของที่นี่ปูด้วยศิลาแลงก้อนใหญ่ ผู้คนมากมาย ดูพลุกพล่านมากกว่าทุกเมืองที่ผ่านมา สมกับเป็นเมืองค้าขายและเมืองท่าสำคัญ
ตยาวดีโน้มใบหน้าลงมา กระซิบบอกเธอว่า
“ถัดจากตลาดกลางเมืองนี้ ก็จะถึงเรือนคุณตาแล้ว อุษามันตราลูกแม่”
อุษามันตราเลิกผ้าม่านหน้าต่างเกวียนขึ้นนิดหนึ่ง ตลาดที่นี่คึกคัก สภาพความเป็นอยู่เหมือนยุคไทยโบราณ หน้าร้านบางร้านก็มีหลังคายื่นออกมา มุงด้วยหญ้าคา ฝาเป็นไม่ไผ่รวกผ่าซีกสอดสลับ สานกั้นพอให้เป็นสัดส่วน เรียงรายเต็มสองฟากฝั่งถนนขนาดกว้าง เกวียนสวนทางได้สบาย ร้านขายผลไม้สดหลากชนิดมีเพิงหญ้าคายื่นออกมาเหมือนผ้าใบ บางร้านก็ใช้ฝ้าไม้เนื้อแข็งและเป็นเรือนสองชั้น บ่งบอกฐานะการเงินผู้เป็นเจ้าของ มีทั้งร้านค้าเนื้อ ร้านขายผ้า หรือแม้แต่เครื่องเงิน หม้อไห บ้างก็เดินเร่ขาย ดูคึกคักยิ่งนัก
“เราจะมาเที่ยวที่นี่กันได้หรือไม่เจ้าข้าคุณแม่”
เธอถาม เพราะอยากเห็นความเป็นอยู่ อยากรู้วัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนในเมืองนี้จนต้องชะโงกออกไปดู ทว่าแสงบางอย่างก็กระทบตา เธอเห็นว่ามันอยู่ไกลพอสมควร จนต้องถามตยาวดีว่า
“ตรงนั้น... คืออะไรหรือเจ้าข้าคุณแม่ สะท้อนแสงดีนักเจ้าข้า”
ทว่าท่านโชติระเสกลับเป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้ามองตาม “นั่นคือวังหลวงของไพศาลี อุษามันตรา” และเป็นคนให้คำตอบแทน
เธอคิดว่าพระราชวังหลวงของไพศาลีอาจประดับตกแต่งด้วยทองคำหรือไม่ก็อัญมณีขนาดใหญ่ เพราะคงไม่มีอะไรสะท้อนแสงได้ดีและไกลถึงเพียงนี้นอกจากสิ่งที่ว่ามา
คิดไป... พระราชวังของที่นี่น่าจะแตกต่างจากพระราชวังของมิถิลา ที่นั่นสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เธอไม่มีความรู้เรื่องไม้มากนัก แต่ถ้าให้เดา ก็คงเป็นไม้เนื้อแข็งมีราคา ฝีมือการฉลุลายเท่าที่เห็นจากนอกกำแพงประณีตอ่อนช้อยงดงาม แม้แต่พระราชวังมัณฑะเลย์ของพม่าอย่างเคยเห็นในรูปถ่ายก่อนถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดว่าสวยแล้ว ก็ยังสู้พระราชวังของมิถิลาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
‘อยากรู้ว่าพระราชวังของเมืองไพศาลีจะเป็นแบบไหนกันนะ’ เธอถามตัวเองในใจ และคิดไว้ว่าต้องหาโอกาสไปสัมผัสด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งหนึ่ง
ขบวนเกวียนผ่านพ้นตลาดใจกลางเมืองไพศาลีไม่มากนัก เรือนไทยหมู่ขนาดใหญ่เท่ากับมนสิการก็ปรากฏให้เห็น อันเป็นข้อสรุปได้ว่าในสังคมนี้ หากเป็นเรือนของคหบดีหรือชนชั้นที่มีฐานะดี ลักษณะของเรือนก็เป็นเรือนหมู่ขนาดใหญ่เช่นเดียวกับมนสิการ
อุษามันตราพยายามมองโดยรอบ อาณาบริเวณกว้างขวางยิ่งใหญ่ หากจะบอกว่ามนสิการเป็นอาณาจักรแห่งการหล่อโลหะอันเลื่องชื่อ ที่นี่ก็คงจะเป็นอาณาจักรแห่งการค้าขายสินค้าอันเลื่องชื่อเช่นกัน
ผู้คนเกือบเจ็ดสิบนั่งพับเพียบกับพื้นหญ้าหน้าเรือนอย่างเป็นระเบียบ มีเพียงชายอาวุโสผิวขาวเหลือง ร่างอวบสมบูรณ์ ผมมวยปักปิ่นทองคำ สวมครอบผมลายวิจิตรตรงฐานผม นุ่งผ้านุ่งสีเข้มทอลายประณีตพับหน้าแบบลอยชายกำลังยืนเอามือไพล่หลัง คอตั้งตรง ไม่ใส่เสื้อ ยืนเด่นเป็นสง่า เส้นผมของเขามีสีขาวแซมสลับ อายุคงประมาณห้าสิบห้าปี แววตา... ริ้วรอยบนใบหน้า บ่งบอกประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมามากครั้ง เขากำลังจ้องเธอขณะลงจากเกวียน แต่ทั้งหมดนั้นก็คือ เขาเป็นชายที่ดูมีสง่าราศี มีอำนาจอย่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
นี่นะหรือ...ท่านมะณิจันโท คุณตาของเธอ
คนที่นั่งอยู่ต่างยกมือขึ้นไหว้ ตยาวดีและท่านโชติระเสรับไหว้แล้วจับมือของเธอเดินเข้าไป ตยาวดีย่อกายลงเมื่อเหลือระยะห่างประมาณหนึ่งเมตร อุษามันตรายืนนิ่ง มองตยาวดีขัดเข่าเข้าไปหาชายอาวุโสคนเดียวที่ยืนอยู่นั้น แล้วกราบแทบเท้า ช่างเป็นกิริยาที่งามนัก งามจับจิตจับใจ
“กราบคุณพ่อเจ้าข้า” เสียงหวานของตยาวดีดังให้ได้ยิน
ท่านมะณิจันโทค่อยๆ ย่อกายลง สองมือประคองไหล่ตยาวดี ดวงตาของท่านนั้นมีน้ำตาเอ่อคลอ ทำให้รู้ว่ารักคุณแม่ของเธอมากขนาดไหน โดยเฉพาะรอยยิ้มของท่านที่ได้มอบให้และเธอเห็นในขณะนี้
“โชคดีมีชัยเถิด ตยาวดีลูกพ่อ”
ตยาวดีถอยห่างออกมา ท่านโชติระเสขัดเข่าเข้าไป และกราบในแบบเดียวกัน ดูสง่างามและเหมาะสมกับตยาวดียิ่งนักเมื่อมองจากจุดที่เธอยืนอยู่ สองมือของท่านมะณิจันโทประคองต้นแขนของท่านโชติระเส
“โชคดีมีโชค สุขสวัสดิ์เถิด โชติระเส ลูกพ่อ”
คำทักทายของท่านแต่ละคำนั้นฟังแล้วขนลุก เหมือนพรอันประเสริฐสุดกำลังประพรมศีรษะ ให้ผลดีซึมซับแก่ลูกหลาน แววตาท่านมะณิจันโทที่มองท่านโชติระเสหาได้มีแววแค้นเคืองหรือโกรธสักนิด ทั้งที่ทราบอะไรเป็นอย่างดี
อุษามันตราเลื่อมใส อีกใจก็บอกว่าท่านมะณิจันโทคงโปรดเขยคนนี้ไม่น้อย
ตยาวดีพยักหน้าให้เธอเข้าไป ท่านโชติระเสขัดเข่าถอยออกมานิดหนึ่งเพื่อเปิดทาง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาท่านมะณิจันโทอย่างไม่ตั้งใจ เชื่อหรือไม่...ความยินดีที่ปรากฏบนสีหน้าแววตาของท่านนั้น กำลังทำให้เธอตื้นตัน
อุษามันตราขัดเข่าไป มือน้อยๆ กราบแทบเท้าท่านอย่างตั้งใจที่สุด
“เจริญยิ่งๆ เถิด พรใดอันประเสริฐ ขอจงถึงเจ้า ผู้เป็นหลานตาทุกประการ...อุษามันตรา”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วร่างกายเมื่อได้ยิน มือสากด้านของท่านจับต้นแขนทั้งสองของเธอ พรที่ท่านกล่าวนั้นช่างอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยเหลือจะกล่าว เป็นพรที่รับด้วยความรู้สึกและสัมผัสได้ถึงใจของเธอจนเอิบอาบความรักนี้อย่างท่วมท้น
อุษามันตราค่อยๆ ลุกนั่ง สิ่งที่เห็นไม่ได้ผิดไป น้ำตาของท่านคลอเบ้าไม่ต่างจากเธอ รอยยิ้มของท่านมะณิจันโทนั้นแสดงความดีใจอย่างที่สุด
“ตานึกว่าจักมิทันได้เห็นหน้าเจ้าเสียแล้ว ได้เห็นเจ้าเมื่อตอนเกิดใหม่ ตอนนั้นตัวเจ้าเล็ก แลซีดเซียวนัก บัดนี้ตัวเจ้าใหญ่แลเก่งกาจ ตามข่าวที่แม่เจ้าบอกความมา ครั้นงานท่านมหิทธิคุณา ตาก็เจ็บไข้ เดินทางไม่สะดวก จนล่วงมาถึงวันนี้ หลานเอ๋ย... ตาก็คิดถึงเจ้าเหลือเกิน ใคร่พบปะแต่ไว วันนี้ได้สมใจตาแล้ว อุษามันตรา”
กล่าวจบก็ดึงเธอเข้าไปกอด อ้อมแขนของท่านอบอุ่นเหลือเกิน นี่หรือ...คือความรักของคนในสังคมนี้ ความรัก...ที่ให้ด้วยใจ และคนรับก็รับรู้ด้วยใจอย่างแท้จริง เธอกอดคุณตาไว้เช่นกัน ท่านหอมที่ศีรษะนี้เบาๆ เนิ่นนาน บอกให้รู้ว่าท่านนั้นรักลูกหลานมากเพียงใด
“ขึ้นเรือนเถิด”
ท่านมะณิจันโทบอก มองหน้าตยาวดีและท่านโชติระเสก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เธอ รอยยิ้มนั้นมีไม่เสื่อมคลาย มือด้านสากของท่านจับจูงมือเธอเดินขึ้นไปบนเรือนด้วยกัน
อุษามันตราได้รู้ว่าคุณปู่มหิทธิคุณาและคุณตามะณิจันโทเป็นเพื่อนรัก เป็นเพื่อนร่วมสำนักเรียนกันมา รักใคร่ชอบพอจนตกลงว่าจะเป็นทองแผ่นเดียวกันเมื่อต่างฝ่ายมีลูกชายและลูกหญิง ทั้งสองท่านมีบางอย่างคล้ายคลึงกันคือ แม้สิ้นภริยาเอก ก็ไม่รับอนุภรรยาคนไหนขึ้นมาเป็นภริยาเอกแทน
หลังรับสำรับเย็นตรงหอนั่ง ตอนนี้เธอนั่งอยู่กับคุณตา คุณพ่อ และคุณแม่ โดยมีทิดศรกับบ่าวคนสนิทของคุณตาเท่านั้นที่อยู่บนเรือนใหญ่ ทราบว่าคุณน้าของเธอและเป็นน้องชายถัดจากคุณแม่เป็นผู้สืบทอดกิจการทั้งหมด เขาไปกิจธุระสำคัญต่างเมือง จึงไม่ได้อยู่ต้อนรับในวันนี้
บทสนทนามากมายถึงความเป็นมาก่อนมาถึงไพศาลีถูกถ่ายทอดจนครบถ้วน ไม่มีคำต่อว่าใดๆ จากท่านมะณิจันโท เมื่อท่านโชติระเสได้บอกกล่าวทุกอย่าง ทุกข้อมูล ไม่ปกปิดสิ่งใดที่เคยเสียหายหรือเพลี่ยงพล้ำ บอกเล่าทุกอย่าง...อย่างซื่อตรงเช่นชายชาตรีพึงกระทำ
ท่านมะณิจันโทไม่มีท่าทีใดนอกจากรับฟ