ส่วนใหญ่คนเราในยุคปัจจุบันนี้มีความเชื่อแบบผิดๆที่ว่า การโกหกโดยหวังให้ผู้อื่นได้ดี(white lie)กับกุศโลบายเป็นสิ่งดี ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า การโกหกก็คือการโหกโดยองค์ของศีลข้อมุสามีดังนี้
1.เรื่องไม่จริง 2.จิตคิดจะกล่าวให้ผิด 3.พยายามกล่าวให้ผิด 4.การให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องนั้นๆ
ซึ่งกุศโลบายหรือการโกหกขาวนั้นย่อมเข้าข่ายของการผิดศีลข้อ4หรือมุสาทุกข้อ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของ พระภิกษุกิสาโคตมีเถรี ดังลิงค์นี้ลองอ่านกันดู
http://www.dharma-gateway.com/bhikunee/pra-keesa-kotamee.htm ซึ่งจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดโกหกเลยแต่ท่านเพียงตรัสตอยรับคำของนางแค่นั้นเอง ซึ่งเนื้อหาที่สนทนากันระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระเถรีมีดังนี้
ดังนั้น แล้วนางโคตมีเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้างหนึ่ง ทูลถามว่า
“ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ? พระเจ้าข้า.”
พระศาสดา: เออ เรารู้
นางโคตมี: ได้อะไร? จึงควร
พระศาสดา: ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดสักหยิบมือหนึ่ง ควร
นางโคตมี: จักได้ พระเจ้าข้า แต่ได้ในเรือนใคร? จึงควร
พระศาสดา: บุคคลใดๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคยตาย.ได้ในเรือนของผู้นั้น จึงควร
นางทูลรับว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” แล้วถวายบังคมพระศาสดา อุ้มบุตรผู้ตายแล้วเข้าสะเอวแล้วเข้าไปภายในบ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังแรกกล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์ผักกาดในเรือนนี้ มีบ้างไหม? ทราบว่านั่นเป็นยาเพื่อบุตรของฉัน.”
เมื่อเขาตอบว่า มี จึงกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้นจงให้เถิด”
เมื่อคนเหล่านั้นนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาให้ จึงถามว่า
“ในเรือนนี้ เคยมีบุคคลใดๆตายบ้างหรือไม่เล่า? แม่”
เมื่อเขาตอบว่า “พูดอะไรอย่างนั้น? แม่ คนเป็นมีไม่มาก คนตายนั้นแหละมาก” นางจึงกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น จงรับเมล็ดพันธุ์ผักกาดของท่านคืนไปเถิด นั่นไม่เป็นยาเพื่อบุตรของฉัน” แล้วได้ให้เมล็ดพันธุ์ผักกาดคืนไป แล้วก็เที่ยวถามโดยทำนองนี้ ตั้งแต่เรือนหลังต้นไปเรื่อย
จนถึงเย็น นางหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากเรือนที่ไม่เคยมีบุคคลใดๆที่ตายลงไม่ได้แม้แต่หลังหนึ่ง จึงได้คิดว่า “โอ กรรมหนัก เราได้ทำความสำคัญว่า ‘บุตรของเราเท่านั้นที่ตาย ก็ในบ้านทั้งสิ้น คนที่ตายเท่านั้นมากกว่าคนเป็น.”
ดังนี้ จึงได้ความสังเวชใจ แล้วจึงออกไปภายนอกนครนั้นทีเดียว ไปยังป่าช้าผีดิบเอามือจับบุตรแล้วพูดว่า แน่ะลูกน้อย แม่คิดว่าความตายนี้เกิดขึ้นแก่เจ้าเท่านั้น แต่ว่าความตายนี้ ไม่มีแก่เจ้าคนเดียว นี่เป็นธรรมดามีแก่มหาชนทั่วไป ดังนี้แล้ว จึงทิ้งลูก ในป่าช้าผีดิบแล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-
ธรรมนี้นี่แหละคือความไม่เที่ยง มิใช่ธรรมของ
ชาวบ้าน มิใช่ธรรมของนิคม ทั้งมิใช่ธรรมสกุล
เดียวด้วย แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด พร้อมทั้ง
เทวโลก
เมื่อนางคิดอยู่อย่างนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยความรักบุตร ได้ถึงความแข็งแล้ว นางทิ้งบุตรไว้ในป่า ไปยังสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า
“เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดประมาณหยิบมือหนึ่งแล้วหรือ?”
นางโคตมี ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะในบ้านทั้งสิ้น คนตายนั้นแหละมากกว่าคนเป็น
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า
“เธอเข้าใจว่า ‘บุตรของเราเท่านั้นตาย’ ความตายนั่นเป็นธรรมยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า ปัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นและลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ฉะนั้น”
เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
“มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์
ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่นไปในอารมณ์ต่าง ๆ ไป ดุจ
ห้วงน้ำใหญ่ พัดชาวบ้านผู้หลับไหลไปฉะนั้น
ในกาลจบคาถา นางกีสาโคตมีดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นมาก บรรลุอริยทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แล
จะเห็นว่าบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับนางโคตมีนั้นท่านไม่ได้โกหกเลย เช่นพระองค์ทรงบอกว่ารู้จักยาเพื่อบุตรของนางโดยใช้เมล็ดพันธ์ผักกาดในเรือนของผู้ซึ่งไม่เคยมีคนตายเลย ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่ารู้จักยาแต่ไม่ได้บอกว่ายาตัวนี้มีอยู่ เท่ากับว่าท่านไม่ได้โกหกแต่ประการใด แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดเอาเองว่าท่านใช้กุศโลบายแก่นางโคตมี เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเข้าข้างตัวเองด้วยความคิดที่ว่า "ไม่มีใครที่ไม่เคยพูดโกหกตั้งแต่เกิดจนตาย" เพราะคิดว่ามันยากไปสำหรับตนและคนอื่นๆย่อมทำไม่ได้เหมือนตน
ประกอบกับมีความเชื่อของลัทธิๆหนึ่งที่มีคำสอนว่าการโหกเพื่อให้ผู้อื่นได้ดีหรือโกหกขาว(white lie) ไม่บาป และความเชื่อที่ผิดๆที่คิดว่าศาสนาพุทธและลัทธิใดๆก็ตามล้วนมีคำสอนที่เหมือนๆกันไม่แตกต่างกัน ตังจะเห็นว่าไปโมเมว่าพระพุทธเจ้าท่านใช้กุศโลบายหลอกคนก็เหมือนกับการโกหกขาว(white lie)นั่นแหละ แต่แท้ที่จริงแล้วจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยโหกเลยต่างหาก แต่บุคคลผู้มีกิเลสหนาส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อเช่นนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสแต่เรื่องจริงแต่คนเรามักเข้าใจผิดว่าท่านใช้กุศโลบายหรือการโกหกขาว(white lie)และคิดว่าเป็นสิ่งดี
1.เรื่องไม่จริง 2.จิตคิดจะกล่าวให้ผิด 3.พยายามกล่าวให้ผิด 4.การให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องนั้นๆ
ซึ่งกุศโลบายหรือการโกหกขาวนั้นย่อมเข้าข่ายของการผิดศีลข้อ4หรือมุสาทุกข้อ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของ พระภิกษุกิสาโคตมีเถรี ดังลิงค์นี้ลองอ่านกันดู http://www.dharma-gateway.com/bhikunee/pra-keesa-kotamee.htm ซึ่งจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดโกหกเลยแต่ท่านเพียงตรัสตอยรับคำของนางแค่นั้นเอง ซึ่งเนื้อหาที่สนทนากันระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระเถรีมีดังนี้
ดังนั้น แล้วนางโคตมีเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้างหนึ่ง ทูลถามว่า
“ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ? พระเจ้าข้า.”
พระศาสดา: เออ เรารู้
นางโคตมี: ได้อะไร? จึงควร
พระศาสดา: ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดสักหยิบมือหนึ่ง ควร
นางโคตมี: จักได้ พระเจ้าข้า แต่ได้ในเรือนใคร? จึงควร
พระศาสดา: บุคคลใดๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคยตาย.ได้ในเรือนของผู้นั้น จึงควร
นางทูลรับว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” แล้วถวายบังคมพระศาสดา อุ้มบุตรผู้ตายแล้วเข้าสะเอวแล้วเข้าไปภายในบ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังแรกกล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์ผักกาดในเรือนนี้ มีบ้างไหม? ทราบว่านั่นเป็นยาเพื่อบุตรของฉัน.”
เมื่อเขาตอบว่า มี จึงกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้นจงให้เถิด”
เมื่อคนเหล่านั้นนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาให้ จึงถามว่า
“ในเรือนนี้ เคยมีบุคคลใดๆตายบ้างหรือไม่เล่า? แม่”
เมื่อเขาตอบว่า “พูดอะไรอย่างนั้น? แม่ คนเป็นมีไม่มาก คนตายนั้นแหละมาก” นางจึงกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น จงรับเมล็ดพันธุ์ผักกาดของท่านคืนไปเถิด นั่นไม่เป็นยาเพื่อบุตรของฉัน” แล้วได้ให้เมล็ดพันธุ์ผักกาดคืนไป แล้วก็เที่ยวถามโดยทำนองนี้ ตั้งแต่เรือนหลังต้นไปเรื่อย
จนถึงเย็น นางหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากเรือนที่ไม่เคยมีบุคคลใดๆที่ตายลงไม่ได้แม้แต่หลังหนึ่ง จึงได้คิดว่า “โอ กรรมหนัก เราได้ทำความสำคัญว่า ‘บุตรของเราเท่านั้นที่ตาย ก็ในบ้านทั้งสิ้น คนที่ตายเท่านั้นมากกว่าคนเป็น.”
ดังนี้ จึงได้ความสังเวชใจ แล้วจึงออกไปภายนอกนครนั้นทีเดียว ไปยังป่าช้าผีดิบเอามือจับบุตรแล้วพูดว่า แน่ะลูกน้อย แม่คิดว่าความตายนี้เกิดขึ้นแก่เจ้าเท่านั้น แต่ว่าความตายนี้ ไม่มีแก่เจ้าคนเดียว นี่เป็นธรรมดามีแก่มหาชนทั่วไป ดังนี้แล้ว จึงทิ้งลูก ในป่าช้าผีดิบแล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-
ธรรมนี้นี่แหละคือความไม่เที่ยง มิใช่ธรรมของ
ชาวบ้าน มิใช่ธรรมของนิคม ทั้งมิใช่ธรรมสกุล
เดียวด้วย แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด พร้อมทั้ง
เทวโลก
เมื่อนางคิดอยู่อย่างนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยความรักบุตร ได้ถึงความแข็งแล้ว นางทิ้งบุตรไว้ในป่า ไปยังสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า
“เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดประมาณหยิบมือหนึ่งแล้วหรือ?”
นางโคตมี ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะในบ้านทั้งสิ้น คนตายนั้นแหละมากกว่าคนเป็น
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า
“เธอเข้าใจว่า ‘บุตรของเราเท่านั้นตาย’ ความตายนั่นเป็นธรรมยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า ปัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นและลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ฉะนั้น”
เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
“มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์
ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่นไปในอารมณ์ต่าง ๆ ไป ดุจ
ห้วงน้ำใหญ่ พัดชาวบ้านผู้หลับไหลไปฉะนั้น
ในกาลจบคาถา นางกีสาโคตมีดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นมาก บรรลุอริยทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แล
จะเห็นว่าบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับนางโคตมีนั้นท่านไม่ได้โกหกเลย เช่นพระองค์ทรงบอกว่ารู้จักยาเพื่อบุตรของนางโดยใช้เมล็ดพันธ์ผักกาดในเรือนของผู้ซึ่งไม่เคยมีคนตายเลย ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่ารู้จักยาแต่ไม่ได้บอกว่ายาตัวนี้มีอยู่ เท่ากับว่าท่านไม่ได้โกหกแต่ประการใด แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดเอาเองว่าท่านใช้กุศโลบายแก่นางโคตมี เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเข้าข้างตัวเองด้วยความคิดที่ว่า "ไม่มีใครที่ไม่เคยพูดโกหกตั้งแต่เกิดจนตาย" เพราะคิดว่ามันยากไปสำหรับตนและคนอื่นๆย่อมทำไม่ได้เหมือนตน
ประกอบกับมีความเชื่อของลัทธิๆหนึ่งที่มีคำสอนว่าการโหกเพื่อให้ผู้อื่นได้ดีหรือโกหกขาว(white lie) ไม่บาป และความเชื่อที่ผิดๆที่คิดว่าศาสนาพุทธและลัทธิใดๆก็ตามล้วนมีคำสอนที่เหมือนๆกันไม่แตกต่างกัน ตังจะเห็นว่าไปโมเมว่าพระพุทธเจ้าท่านใช้กุศโลบายหลอกคนก็เหมือนกับการโกหกขาว(white lie)นั่นแหละ แต่แท้ที่จริงแล้วจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยโหกเลยต่างหาก แต่บุคคลผู้มีกิเลสหนาส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อเช่นนั้น