* ในสมัยพุทธกาล มีหญิงรูปร่างผอมบาง
เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็นคนหนึ่ง ชื่อว่า กิสาโคตมี
นางเกิดในสกุลของคนเข็ญใจในกรุงสาวัตถี
เมื่อเจริญวัยขึ้นก็เข้าสู่ชีวิตการครองเรือนเหมือนบุคคลทั่วไป
ต่อมานางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง แต่ครั้นไม่นาน
ลูกชายสุดที่รักก็มาเสียชีวิตลง
นางเศร้าโศกเสียใจมาก จึงอุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของลูกน้อยเดินร้องไห้ไปตามบ้านเรือนต่างๆ
เพื่อขอยาที่จะทำให้เด็กน้อยฟื้นคืนชีพ ชาวบ้านต่างบอกว่า
"ยาที่กินแล้วทำให้คนตายฟื้นไม่มีหรอก" แต่ด้วยความเศร้าโศก
และความรักลูกน้อยมาบดบังดวงปัญญา นางจึงยังคงเดินเที่ยวหายารํ่าไป โดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้ใด
กระทั่งมาพบกับบัณฑิตผู้มีปัญญาท่านหนึ่ง เห็นนางพร่ำพิไรรำพันเป็นทุกข์หนัก จึงบอกให้นางไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะท่านมียาวิเศษ นางคิดว่าพระพุทธองค์คงจะมียาดีที่ให้ลูกกินแล้วฟื้นได้ จึงอุ้มลูกน้อยไปวัดพระเชตวันมหาวิหารทันที นางยืนอยู่ท้ายสุดของพุทธบริษัท และเมื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า นางรีบเดินแหวกฝูงชนเข้าไปหาพระองค์ พลางกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ได้โปรดประทานยาแก่บุตรของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
พระบรมศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอรหัตผลของนาง จึงตรัสว่า “ดูก่อน โคตมี เธอมาที่นี่ถูกแล้ว เรามียาขนานวิเศษให้เธอ แต่เธอต้องเข้าไปยังพระนคร เดินไปให้ทั่วทุกบ้าน ไปหาว่าบ้านไหนที่ไม่เคยมีคนตาย แล้วเธอจงนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านหลังนั้นมาให้เรา” นางได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ เริ่มมีความหวังขึ้นมา รีบเดินไปตามบ้านเรือนต่างๆ ในพระนคร เพื่อจะขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย
เมื่อไปถึงบ้านหลังแรก นางรีบถามว่า “บ้านนี้ยังไม่มีใครเคยตายใช่ไหม” คนในบ้านนั้นตอบว่า “เธอพูดอะไรอย่างนั้น บ้านหลังนี้มีคนตายตั้งหลายคนแล้ว” นางไม่ละความพยายาม เดินค้นหาต่อไป แต่ไม่ว่าจะถามบ้านหลังไหน ทุกบ้านพากันบอกว่าเคยมีคนตายแล้วทั้งนั้น นางเดินถามอยู่ทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า กระทั่งความเศร้าโศกได้คลายลง นางจึงเริ่มเกิดปัญญาคิดได้ว่า “ในนครนี้บ้านที่ไม่มีคนตายคงไม่มี พระผู้มีพระภาคเจ้าคงจะอนุเคราะห์เราด้วยเหตุนี้เป็นแน่” นางเกิดความสลดสังเวช เห็นความไม่เที่ยงของชีวิต จึงได้อุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของลูกน้อยไปยังป่าช้า วางลูกลงบนพื้นแล้วพูดว่า “ลูกเอ๋ย แม่คิดว่าความตายเกิดขึ้นเฉพาะเจ้าเท่านั้น แต่แท้ที่จริงความตายไม่ได้เกิดกับเจ้าคนเดียว มันเป็นธรรมดาที่ต้องเกิดกับทุกคน แม้กระทั่งตัวของแม่เอง”
จากนั้น นางได้เดินไปยังสำนักของพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ดูก่อนโคตมี เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแล้วหรือ” นางกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เมล็ดพันธุ์ผักกาดอีกแล้ว เพราะความตายเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ขอพระองค์ได้โปรดประทานที่พึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด” พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดีแล้วโคตมี เธอจงตั้งใจฟัง" แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นพระคาถาว่า
“ธรรมดาของสัตว์โลกมีความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงมิใช่ธรรมของชาวบ้าน มิใช่ธรรมของชาวเมือง และมิใช่ธรรมของสกุลใดสกุลหนึ่ง แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด ตลอดทั้งเทวโลก และพรหมโลก มฤตยูย่อมพาเอาบุคคลผู้มัวเมาในบุตร เหมือนห้วงน้ำย่อมพัดพาเอาบุคคล ผู้หลับใหลอยู่ฉะนั้น”
เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางได้บรรลุธรรมกายพระโสดาบัน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แล้วทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้บรรพชา และอุปสมบทในสำนักของภิกษุณี ต่อมาไม่นาน นางได้เจริญวิปัสสนาบำเพ็ญภาวนาด้วยความไม่ประมาท ทำใจหยุดนิ่งเข้าไปสู่ภายใน เข้ากายธรรมในกายธรรมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบริสุทธิ์หลุดพ้นไปตามลำดับ พระพุทธองค์ทรงรู้ว่าบัดนี้อินทรีย์ของนางแก่กล้า ถึงเวลาที่จะบรรลุอรหัตผลแล้ว จึงได้เปล่งฉัพพรรณรังสีไปถึงนาง แล้วตรัสว่า “ผู้ไม่เห็นอมตบท แม้มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ชีวิตของผู้เห็นอมตบทเพียงวันเดียว ยังประเสริฐกว่า”
* มก. เล่ม ๓๓ หน้า ๕๐
ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง ไม่เคยมีใคร ไม่เสียใจเพราะการพลัดพราก
เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็นคนหนึ่ง ชื่อว่า กิสาโคตมี
นางเกิดในสกุลของคนเข็ญใจในกรุงสาวัตถี
เมื่อเจริญวัยขึ้นก็เข้าสู่ชีวิตการครองเรือนเหมือนบุคคลทั่วไป
ต่อมานางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง แต่ครั้นไม่นาน
ลูกชายสุดที่รักก็มาเสียชีวิตลง
นางเศร้าโศกเสียใจมาก จึงอุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของลูกน้อยเดินร้องไห้ไปตามบ้านเรือนต่างๆ
เพื่อขอยาที่จะทำให้เด็กน้อยฟื้นคืนชีพ ชาวบ้านต่างบอกว่า
"ยาที่กินแล้วทำให้คนตายฟื้นไม่มีหรอก" แต่ด้วยความเศร้าโศก
และความรักลูกน้อยมาบดบังดวงปัญญา นางจึงยังคงเดินเที่ยวหายารํ่าไป โดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้ใด
กระทั่งมาพบกับบัณฑิตผู้มีปัญญาท่านหนึ่ง เห็นนางพร่ำพิไรรำพันเป็นทุกข์หนัก จึงบอกให้นางไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะท่านมียาวิเศษ นางคิดว่าพระพุทธองค์คงจะมียาดีที่ให้ลูกกินแล้วฟื้นได้ จึงอุ้มลูกน้อยไปวัดพระเชตวันมหาวิหารทันที นางยืนอยู่ท้ายสุดของพุทธบริษัท และเมื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า นางรีบเดินแหวกฝูงชนเข้าไปหาพระองค์ พลางกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ได้โปรดประทานยาแก่บุตรของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
พระบรมศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอรหัตผลของนาง จึงตรัสว่า “ดูก่อน โคตมี เธอมาที่นี่ถูกแล้ว เรามียาขนานวิเศษให้เธอ แต่เธอต้องเข้าไปยังพระนคร เดินไปให้ทั่วทุกบ้าน ไปหาว่าบ้านไหนที่ไม่เคยมีคนตาย แล้วเธอจงนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านหลังนั้นมาให้เรา” นางได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ เริ่มมีความหวังขึ้นมา รีบเดินไปตามบ้านเรือนต่างๆ ในพระนคร เพื่อจะขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย
เมื่อไปถึงบ้านหลังแรก นางรีบถามว่า “บ้านนี้ยังไม่มีใครเคยตายใช่ไหม” คนในบ้านนั้นตอบว่า “เธอพูดอะไรอย่างนั้น บ้านหลังนี้มีคนตายตั้งหลายคนแล้ว” นางไม่ละความพยายาม เดินค้นหาต่อไป แต่ไม่ว่าจะถามบ้านหลังไหน ทุกบ้านพากันบอกว่าเคยมีคนตายแล้วทั้งนั้น นางเดินถามอยู่ทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า กระทั่งความเศร้าโศกได้คลายลง นางจึงเริ่มเกิดปัญญาคิดได้ว่า “ในนครนี้บ้านที่ไม่มีคนตายคงไม่มี พระผู้มีพระภาคเจ้าคงจะอนุเคราะห์เราด้วยเหตุนี้เป็นแน่” นางเกิดความสลดสังเวช เห็นความไม่เที่ยงของชีวิต จึงได้อุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของลูกน้อยไปยังป่าช้า วางลูกลงบนพื้นแล้วพูดว่า “ลูกเอ๋ย แม่คิดว่าความตายเกิดขึ้นเฉพาะเจ้าเท่านั้น แต่แท้ที่จริงความตายไม่ได้เกิดกับเจ้าคนเดียว มันเป็นธรรมดาที่ต้องเกิดกับทุกคน แม้กระทั่งตัวของแม่เอง”
จากนั้น นางได้เดินไปยังสำนักของพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ดูก่อนโคตมี เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแล้วหรือ” นางกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เมล็ดพันธุ์ผักกาดอีกแล้ว เพราะความตายเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ขอพระองค์ได้โปรดประทานที่พึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด” พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดีแล้วโคตมี เธอจงตั้งใจฟัง" แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นพระคาถาว่า
“ธรรมดาของสัตว์โลกมีความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงมิใช่ธรรมของชาวบ้าน มิใช่ธรรมของชาวเมือง และมิใช่ธรรมของสกุลใดสกุลหนึ่ง แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด ตลอดทั้งเทวโลก และพรหมโลก มฤตยูย่อมพาเอาบุคคลผู้มัวเมาในบุตร เหมือนห้วงน้ำย่อมพัดพาเอาบุคคล ผู้หลับใหลอยู่ฉะนั้น”
เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางได้บรรลุธรรมกายพระโสดาบัน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แล้วทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้บรรพชา และอุปสมบทในสำนักของภิกษุณี ต่อมาไม่นาน นางได้เจริญวิปัสสนาบำเพ็ญภาวนาด้วยความไม่ประมาท ทำใจหยุดนิ่งเข้าไปสู่ภายใน เข้ากายธรรมในกายธรรมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบริสุทธิ์หลุดพ้นไปตามลำดับ พระพุทธองค์ทรงรู้ว่าบัดนี้อินทรีย์ของนางแก่กล้า ถึงเวลาที่จะบรรลุอรหัตผลแล้ว จึงได้เปล่งฉัพพรรณรังสีไปถึงนาง แล้วตรัสว่า “ผู้ไม่เห็นอมตบท แม้มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ชีวิตของผู้เห็นอมตบทเพียงวันเดียว ยังประเสริฐกว่า”
* มก. เล่ม ๓๓ หน้า ๕๐