สุเมธดาบสและสุมิตตาพราหมณี
ปฐมจิตอธิษฐาน ปฐมเหตุรักแท้จากศรัทธาที่หัวใจ
“ข้าแต่พระมหามุนีผู้เจริญ หม่อมฉันได้ตั้งปฐมจิตอธิษฐาน
ขอเป็นผู้ติดตามช่วยพระองค์สร้างสมพุทธบารมีเป็นครั้งแรกเมื่อ ๔ อสงไขย
เศษแสนมหากัปล่วงมาแล้ว ครั้งนั้นหม่อมฉันเป็นเพียงดรุณีแรกรุ่น ที่เปี่ยม
ศรัทธาในพระองค์”
๔ อสงไขยแสนกัปล่วงมาแล้ว ในพุทธกาลของพระทีปังกรพุทธเจ้า
อันเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ ๔ ในมหากัปนั้น และทรงเป็นพระพุทธเจ้า
ลำดับที่ ๔ ในจำนวน ๒๘ พระองค์เมื่อนับถึงองค์ปัจจุบัน
ครั้งหนึ่ง ชาวอมรวดีนครได้ทูลเชิญเสด็จพระทีปังกรทศพล ซึ่ง
เผยแผ่พุทธศาสนาอยู่ที่รัมมกนคร พร้อมพระสาวกขีณาสพสี่แสนรูปให้
มารับมหาทานในอมรวดีนคร เช้าวันที่พระทีปังกรพุทธเจ้าจะเสด็จพุทธ
ดำ เนินมานั้น มหาชนผู้มีศรัทธาจำ นวนมากพากันมารอรับเสด็จที่นอกนคร
ระหว่างรอได้ช่วยกันถากถางทางที่รกและปรับพื้นที่ขรุขระมีน้ำขังให้ราบ
เรียบ เพื่อให้พระทีปังกรทศพลเสด็จดำ เนินได้โดยสะดวก
ครั้งนั้น ดรุณีน้อยนามว่า สุมิตตาพราหมณี ก็ได้มารอรับเสด็จพระที
ปังกรร่วมกับมหาชนด้วย เธอเก็บดอกบัวมาแปดกำ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ขณะเมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้ายังเสด็จมาไม่ถึง สุมิตตาพราหมณีได้
แลเห็นดาบสหนุ่มผู้ทรงอภิญญาตนหนึ่งเหาะมาในนภากาศ แวะลงมาถาม
มหาชนที่อยู่ใกล้เธอว่า “พวกท่านมาชุมนุมกันจำนวนมากเพราะกิจธุระใด
พระราชาจะเสด็จมาทางนี้หรือ” มหาชนตอบว่า “พวกเราไม่ได้มารอรับ
เสด็จพระราชา แต่มารอรับเสด็จพระทีปังกรพุทธองค์”
สุเมธดาบสปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมา
เพราะตัวท่านเองก่อนนี้เคยเป็นพราหมณ์มหาศาลอยู่ในนครมีนามว่าสุเมธ
พราหมณ์ แต่ท่านเบื่อหน่ายการครองเรือน เมื่อบิดามารดาท่านสิ้นไปแล้ว
จึงนำ ทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แจกจ่ายเป็นทานไม่มีเหลือ แล้วออกบวชเป็นดาบส
บำเพ็ญพรตอยู่โคนไม้ในป่าเพื่อค้นหาความสงบสุขทางธรรม เพียง ๗ วัน
เท่านั้นท่านก็สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เป็นผู้ทรงอภิญญา ใช้เวลาส่วน
ใหญ่ในฌานสมาบัติ จนแม้เมื่อโลกธาตุสั่นไหวในวันที่พระทีปังกรทศพล
ตรัสรู้ หรือเมื่อมีบุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏในวันที่พระพุทธองค์ทรง
เคลื่อนธรรมจักร ท่านสุเมธดาบสก็ไม่ได้รับรู้เลย เมื่อได้ยินว่าพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นโลกนาถอุบัติแล้ว และกำ ลังจะเสด็จดำ เนินมาจึงเกิดศรัทธา
ยิ่งใหญ่ ปรารถนาร่วมบุญช่วยปรับทางเสด็จดำ เนิน ชาวเมืองเห็นท่านดาบส
เป็นผู้มีฤทธิ์จึงแบ่งงานยากกว่าคนทั่วไป ให้ช่วยดูแลบริเวณที่เป็นหลุมเป็น
แอ่งและมีน้ำท่วมขังมาก
สุเมธดาบสดำ ริว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นบุคคลผู้เลิศ พบได้ยาก
หาได้ยาก หากตนใช้อภิญญาฤทธิ์ปรับถนน งานจะสำ เร็จง่ายดายและ
รวดเร็ว แต่ไม่สมกับศรัทธาที่ตนมี ควรที่ตนจะบูชาพระพุทธองค์ด้วยสิ่งที่
ทำ ได้ยาก ดำ ริแล้วจึงได้อดทนขนดินทรายมาถมหลุมบ่อด้วยแรงกายเฉก
เช่นสามัญชนทั่วไป การกระทำ ของสุเมธดาบสนี้ สร้างความชื่นชมโสมนัส
ให้เกิดแก่ดรุณีน้อยสุมิตตาพราหมณีที่เฝ้ามองดูอยู่ยิ่งนัก
เมื่อสุเมธดาบสปรับพื้นที่ยังไม่สำ เร็จเสร็จดี พระทีปังกรพุทธเจ้า
ก็เสด็จดำ เนินมาถึงพร้อมพระสาวกสี่แสนรูป สุเมธดาบสเห็นไม่ทันการณ์
เพราะยังมีแอ่งที่น้ำท่วมขังอยู่ช่วงตัวหนึ่ง จึงตัดสินใจทอดตัวลงนอนปิด
ทับแอ่งน้ำนั้นไว้ ตั้งใจถวายชีวิตให้พระทีปังกรและพระสาวกดำ เนินไปบน
แผ่นหลังของตน ไม่ปรารถนาให้พระบาทของพระพุทธองค์ผู้อุดมมงคล
ประเสริฐแปดเปื้อนโคลน
สุเมธดาบสนอนทอดกายรอให้พระทีปังกรเสด็จไปบนแผ่นหลัง ใน
ใจคิดถึงพระโพธิญาณว่า
“เราปรารถนาจะเป็นดังพระทีปังกรทศพล บรรลุพระโพธิญาณ
แล้วพามหาชนข้ามสงสารสาครไปด้วยกัน”
พระทีปังกรพุทธเจ้า เสด็จมาหยุดยืนอยู่ที่เบื้องศีรษะของสุเมธ
ดาบส ทรงตรวจดูด้วยสัพพัญญุตาญาณ ทรงเห็นอดีตกาลยาวไกล
เมื่อ ๑๖ อสงไขยก่อนว่าพระองค์เคยพบกับดาบสผู้นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์บวชเป็นภิกษุในศาสนา
พระปุราณทีปังกรทศพล ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่าพระองค์จะตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล และในครั้งนั้นสุเมธดาบสผู้นี้เกิด
เป็นเจ้าหญิงวิสุทธาเทวีกนิษฐภคิณีของพระปุราณทีปังกร เธอได้นำ น้ำมัน
เมล็ดผักกาดมาใส่บาตรเพื่อใช้ตามประทีปบูชาองค์พระศาสดา พร้อมกับ
ตั้งความปรารถนาขอเกิดเป็นชาย และขอให้ได้สำ เร็จโพธิญาณ ด้วยความ
ปรารถนานั้น เจ้าหญิงวิสุทธาจึงเกิดมาเป็นชายในชาติถัดไป และไม่ได้กลับ
ไปเกิดเป็นหญิงอีกเลย
พระทีปังกรทรงพิจารณารู้ว่า ตลอดกาลนานนี้ สุเมธดาบสได้
สร้างสมพุทธบารมีมาโดยตลอด บัดนี้เป็นผู้มีเสบียงบารมี สามารถบรรลุ
ธรรมได้ด้วยการฟังธรรมเพียงแค่ ๔ บาทเท่านั้น แต่เพราะสุเมธดาบส
เป็นพระโพธิสัตว์หน่อเนื้อพุทธางกูร สมบูรณ์ด้วยอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘
เป็นผู้แน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจเที่ยงตรงต่อโพธิญาณ พระองค์จึงไม่แสดงธรรม
แต่ทรงบรรลือสีหนาทประกาศพุทธพยากรณ์เป็นลัทธยาเทศสุเมธดาบสต่อ
พระอรหันต์ขีณาสพและพุทธบริษัทว่า
“ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้ ดาบสนี้กระทำ
ความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า เขาสร้างสมพุทธ
การกธรรมคือธรรมที่จะทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วถึง ๑๖ อสงไขย
ด้วยความอุตสาหะ สละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อโพธิญาณมาแล้วนับ
จำนวนครั้งไม่ได้ ความปรารถนาของเขานั้นจักสำเร็จในที่สุดนับจาก ๔
อสงไขยกับเศษแสนกัปนี้ไป เขาจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคตมะ
ในอัตภาพนั้นของเขา จักมีนครนามว่า กบิลพัสดุ์ เป็นที่อยู่
อาศัย พระมารดานามว่ามายา พระบิดานามว่าสุทโธทนะ พระอุปติสสะ
เป็นอัครสาวก พระโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง พระเขมาเป็นอัครสาวิกา
พระอุบลวัณณาเป็นอัครสาวิกาที่สอง พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก
เขามีญาณแก่กล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่
รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑล
และจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์”
ชาวเมืองและเทพเทวดาทั้งหลายในที่นั้น เมื่อได้ฟังพุทธพยากรณ์
แล้ว ก็พากันเปล่งวาจาสาธุการสนั่นดังไปทั่วทั้งไตรภูมิ จนแม้ผืนปฐพีก็
สั่นไหว
ขณะนั้น สุมิตตาพราหมณีผู้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นก็บังเกิด
ปีติศรัทธาท่วมท้นกับท่านดาบสจนโลมาชาติชูชัน เธอเดินเข้าไปหา แบ่ง
ดอกบัวห้ากำ ยื่นให้สุเมธดาบสด้วยไมตรีเพื่อใช้บูชาพระพุทธองค์ พลาง
กล่าวว่า
“ข้าแต่ท่านดาบส ดอกบัวห้ากำนี้ ดิฉันขอมอบแก่ท่าน ดอกบัว
สามกำนี้สำหรับดิฉัน ขอดอกบัวเหล่านี้จงมีผลเสมอกัน เพื่อประโยชน์แก่
โพธิญาณของท่านเถิด”
สุมิตตาพราหมณีรอให้สุเมธดาบส นำ ดอกบัวเข้าไปถวายพระ
ทีปังกรก่อน แล้วเธอจึงนำ ดอกบัวสามกำ ของตนไปถวายพระพุทธเจ้าบ้าง
พลางกล่าววาจาว่า
“พระศาสดาผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งบุญถวายดอกบัวสามกำ
บูชาพระองค์ผู้เป็นนายกของโลกในครั้งนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท
ได้เป็นคู่บุญบารมี ช่วยพระดาบสสร้างสมพุทธการกธรรมจนกว่าจะตรัสรู้
พระโพธิญาณอันอุดม สมดังพุทธพยากรณ์ด้วยเถิด”
สุเมธดาบสเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงหันมามองดรุณีน้อยพลางกล่าวว่า
“แม่นางผู้เจริญ เธออย่าอธิษฐานเช่นนั้นเลย ๔ อสงไขยแสนกัป
นับเป็นเวลาที่ยาวไกล มีทุกข์ภัยอีกมากมายรอเธออยู่ เธอจะเป็นเหมือน
ลูกเนื้อตัวน้อยพลัดฝูงที่ถูกพยัคฆ์จ้องตะปบอยู่ร่ำไป เธอจะเป็นเหมือน
ท่อนไม้ที่ถูกคลื่นซัดสูงต่ำและล่องลอยเคว้งคว้างไปซ้ายไปขวาอยู่กลาง
มหาสาครหาฝั่งไม่พบ
ดรุณีน้อย เธอต้องเกิด ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องเสียน้ำตา
เมื่อประจวบกับสิ่งที่เป็นทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ซากศพ
ของเธอนำมากองสุมรวมกันจนสูงถึงยอดบรรพตนั่นยังไม่ถึงกัปหนึ่งเลย
เธอควรคิดให้ดีว่า ๔ อสงไขยแสนกัปนั้นจะนานขนาดไหน
แม่นางน้อยเอย เธอควรปรารถนาบรรลุธรรมที่พระพุทธองค์ทรง
บรรลุแล้วเสียในชาตินี้ เร่งก้าวข้ามโอฆะให้ถึงฝั่งโน้นจึงประเสริฐกว่า”
แต่สุมิตตาพราหมณีกล่าวกับสุเมธดาบสด้วยความมุ่งมั่นว่า
“ท่านดาบสอย่าห้ามดิฉันเลย ท่านดาบสเป็นผู้มีบุญบารมี
หากแม้นท่านติดตามพระทศพลไปบวช ท่านก็คงสามารถก้าวข้าม
สงสารได้ในเร็วพลัน แต่ท่านกลับละทิ้งโอกาสนี้เพราะมีจิตเป็นกุศล
จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ ส่วนดิฉันแม้เป็นหญิงก็มีจิตเป็นกุศลฉันนั้น
เหมือนกัน ความปรารถนาของดิฉันนี้มิได้มีใครบังคับหรือขอร้อง ดิฉัน
ปรารถนาด้วยตัวของดิฉันเอง ท่านจงรับความปรารถนาอันเป็นกุศล
ของดิฉันด้วยเถิด”
กล่าวแล้ว สุมิตตาพราหมณีก็หันไปประคองอัญชลี กราบทูล
พระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นคำรบสองว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระบาทได้แลเห็นท่านดาบสเหาะ
ลงมาจากนภากาศ ช่วยมหาชนขนดินทรายมาปรับผิวทางด้วยแรง
กาย ข้าพระบาทเริ่มมีความเลื่อมใสในท่านดาบส เมื่อเห็นท่านดาบส
ทอดกายเป็นสะพาน ข้าพระบาทยิ่งมีปีติและศรัทธาเพิ่มพูนขึ้นนับทวี
บัดนี้ พระองค์ทรงพยากรณ์ว่าท่านดาบสจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ข้าพระบาทยิ่งเปี่ยมปีติและศรัทธาไป
กับท่านดาบสยิ่งนัก ปีติและศรัทธาของข้าพระบาทนี้สูงยิ่งนัก จน
ปิดบังความกลัวในภัยของสังสารวัฏได้หมดสิ้น พร้อมที่เวียนว่ายไปใน
โอฆะอีก ๔ อสงไขยแสนกัปร่วมกับท่านดาบส
พระศาสดาผู้เจริญ ข้าพระบาทขอตั้งความปรารถนา ณ บัดนี้
ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ว่า ข้าพระบาทจะขอเป็นคู่สุข คู่ทุกข์
คู่ยาก เป็นคู่บุญบารมี ช่วยท่านดาบสสร้างสมพุทธบารมีให้สมบูรณ์โดย
ไม่ย่อท้อหรือเปลี่ยนใจ”
พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงทรงตรวจดู สุมิตตาพราหมณี ด้วยพระ
สัพพัญญุตาญาณ แล้วตรัสวาจาพยากรณ์ว่า
“ดูกรฤๅษีผู้ใหญ่ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า
สำเร็จแล้วด้วยใจ ความปรารถนาโพธิญาณของท่านจักสำเร็จด้วยใจอัน
เป็นมหากุศลฉันใด ความปรารถนาของอุบาสิกาผู้นี้ก็จักสำเร็จเพราะใจ
อันเป็นมหากุศลฉันนั้น
ดูกรมหาฤๅษี อุบาสิกาผู้นี้จักเป็นผู้มีจิตเสมอกัน มีกุศลกรรม
เสมอกัน ทำกุศลร่วมกัน เป็นที่รักของบุญกรรม เพื่อประโยชน์แก่ท่าน
น่าดู น่าชม น่ารักยิ่ง มีวาจาอ่อนหวาน เป็นธรรมทายาทผู้มีฤทธิ์ของ
ท่าน ความปรารถนาของอุบาสิกานี้จะสำเร็จความปรารถนา”
เมื่อได้ยินพุทธพยากรณ์ดังนั้น ทั้งมนุษย์และเทพยดาต่างสาธุการ
ดังก้องขึ้นอีกครั้ง แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำ ดอกไม้ ๘ กำ โปรยบูชา
สุเมธดาบส ตรัสกับพุทธบริษัทอีกครั้งว่า
“ท่านทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลมงคล หากพวกท่านปรารถนาสิ่งใด
ณ ชั่วเวลานี้ ความปรารถนาของพวกท่านจะสำเร็จสมความปรารถนา”
ตรัสแล้วทรงทำประทักษิณแล้วดำเนินหลีกไป เหล่าพระขีณาสพสี่
แสนก็บูชาพระดาบสด้วยของหอมและดอกไม้ แล้วดำเนินไปเบื้องหลัง
พระพุทธองค์เข้าสู่อมรวดีนคร เหล่าอุบาสกอุบาสิกาเมื่อได้ยินพระดำรัส
ของพระศาสดาแล้วก็พากันพนมมืออัญชลีตั้งความปรารถนาว่า “หากแม้น
ข้าพเจ้ายังมีวาสนาไม่พอจะได้เห็นอมตธรรมอันลึกซึ้งในศาสนาของ
พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ หรือในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ก็ขอให้
ข้าพเจ้าได้รู้อมตธรรมในศาสนาของท่านดาบสผู้นี้ด้วยเถิด”
ขณะนั้น มีหญิงพราหมณีอีก ๑๘,๐๐๐ นาง ได้ตั้งความปรารถนา
ตามดรุณีสุมิตตา ขอติดตามเป็นบริจาริกาพระดาบสไปด้วยเช่นกัน
เมื่อภิกษุสงฆ์ดำเนินหลีกไปหมดแล้ว สุเมธดาบสผู้ซึ่งได้รับพุทธ-
พยากรณ์แล้ว เป็นพระนิยตโพธิสัตว์ผู้มีคติเที่ยงแท้ว่าจะได้ตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจ้า ก็ลุกขึ้นนั่งบนกองดอกไม้ พิจารณาตนเองด้วยอภิญญาญาณ
ทบทวนว่าธรรมใดหนอที่ทำให้ความปรารถนาในโพธิญาณของตนสำเร็จ
ก็รู้ว่าบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ที่ตนได้บำเพ็ญเพียรมาแต่ปางบรรพ์ ตลอดจนที่
จะต้องบำเพ็ญเพียรต่อไปในอนาคตกาล ธรรมนี้เองเป็นพุทธการกธรรมที่
ทำให้บรรลุโพธิญาณได้ จึงมีปณิธานมุ่งมั่นว่าท่านจะต้องบำเพ็ญ
พุทธการกธรรมนี้ให้ยิ่งยวดขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาใคร่ครวญครบถ้วน
สมบูรณ์แล้วแผ่นดินก็สั่นไหวราวบรรลือลั่นอนุโมทนาสาธุการขึ้นอีกครั้ง
แล้วสุเมธดาบสก็เหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์ เจริญอภิญญาสมาบัติ
มิให้เสื่อม เมื่อสิ้นอายุขัยจึงได้ไปอุบัติในพรหมโลก ส่วนสุมิตตาพราหมณี
ส่งท่านดาบสไปจนสุดสายตา จากนั้นเธอก็ดำรงชีวิตไปตามบุญกรรม
,จริยาปิฎก ,ทีปังกรพุทธวงศ์
[พระไตรปิฏก]ปฐมจิตอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าและคู่บารมี สุเมธดาบสและสุมิตตาพราหมณี
ปฐมจิตอธิษฐาน ปฐมเหตุรักแท้จากศรัทธาที่หัวใจ
“ข้าแต่พระมหามุนีผู้เจริญ หม่อมฉันได้ตั้งปฐมจิตอธิษฐาน
ขอเป็นผู้ติดตามช่วยพระองค์สร้างสมพุทธบารมีเป็นครั้งแรกเมื่อ ๔ อสงไขย
เศษแสนมหากัปล่วงมาแล้ว ครั้งนั้นหม่อมฉันเป็นเพียงดรุณีแรกรุ่น ที่เปี่ยม
ศรัทธาในพระองค์”
๔ อสงไขยแสนกัปล่วงมาแล้ว ในพุทธกาลของพระทีปังกรพุทธเจ้า
อันเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ ๔ ในมหากัปนั้น และทรงเป็นพระพุทธเจ้า
ลำดับที่ ๔ ในจำนวน ๒๘ พระองค์เมื่อนับถึงองค์ปัจจุบัน
ครั้งหนึ่ง ชาวอมรวดีนครได้ทูลเชิญเสด็จพระทีปังกรทศพล ซึ่ง
เผยแผ่พุทธศาสนาอยู่ที่รัมมกนคร พร้อมพระสาวกขีณาสพสี่แสนรูปให้
มารับมหาทานในอมรวดีนคร เช้าวันที่พระทีปังกรพุทธเจ้าจะเสด็จพุทธ
ดำ เนินมานั้น มหาชนผู้มีศรัทธาจำ นวนมากพากันมารอรับเสด็จที่นอกนคร
ระหว่างรอได้ช่วยกันถากถางทางที่รกและปรับพื้นที่ขรุขระมีน้ำขังให้ราบ
เรียบ เพื่อให้พระทีปังกรทศพลเสด็จดำ เนินได้โดยสะดวก
ครั้งนั้น ดรุณีน้อยนามว่า สุมิตตาพราหมณี ก็ได้มารอรับเสด็จพระที
ปังกรร่วมกับมหาชนด้วย เธอเก็บดอกบัวมาแปดกำ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ขณะเมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้ายังเสด็จมาไม่ถึง สุมิตตาพราหมณีได้
แลเห็นดาบสหนุ่มผู้ทรงอภิญญาตนหนึ่งเหาะมาในนภากาศ แวะลงมาถาม
มหาชนที่อยู่ใกล้เธอว่า “พวกท่านมาชุมนุมกันจำนวนมากเพราะกิจธุระใด
พระราชาจะเสด็จมาทางนี้หรือ” มหาชนตอบว่า “พวกเราไม่ได้มารอรับ
เสด็จพระราชา แต่มารอรับเสด็จพระทีปังกรพุทธองค์”
สุเมธดาบสปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมา
เพราะตัวท่านเองก่อนนี้เคยเป็นพราหมณ์มหาศาลอยู่ในนครมีนามว่าสุเมธ
พราหมณ์ แต่ท่านเบื่อหน่ายการครองเรือน เมื่อบิดามารดาท่านสิ้นไปแล้ว
จึงนำ ทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แจกจ่ายเป็นทานไม่มีเหลือ แล้วออกบวชเป็นดาบส
บำเพ็ญพรตอยู่โคนไม้ในป่าเพื่อค้นหาความสงบสุขทางธรรม เพียง ๗ วัน
เท่านั้นท่านก็สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เป็นผู้ทรงอภิญญา ใช้เวลาส่วน
ใหญ่ในฌานสมาบัติ จนแม้เมื่อโลกธาตุสั่นไหวในวันที่พระทีปังกรทศพล
ตรัสรู้ หรือเมื่อมีบุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏในวันที่พระพุทธองค์ทรง
เคลื่อนธรรมจักร ท่านสุเมธดาบสก็ไม่ได้รับรู้เลย เมื่อได้ยินว่าพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นโลกนาถอุบัติแล้ว และกำ ลังจะเสด็จดำ เนินมาจึงเกิดศรัทธา
ยิ่งใหญ่ ปรารถนาร่วมบุญช่วยปรับทางเสด็จดำ เนิน ชาวเมืองเห็นท่านดาบส
เป็นผู้มีฤทธิ์จึงแบ่งงานยากกว่าคนทั่วไป ให้ช่วยดูแลบริเวณที่เป็นหลุมเป็น
แอ่งและมีน้ำท่วมขังมาก
สุเมธดาบสดำ ริว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นบุคคลผู้เลิศ พบได้ยาก
หาได้ยาก หากตนใช้อภิญญาฤทธิ์ปรับถนน งานจะสำ เร็จง่ายดายและ
รวดเร็ว แต่ไม่สมกับศรัทธาที่ตนมี ควรที่ตนจะบูชาพระพุทธองค์ด้วยสิ่งที่
ทำ ได้ยาก ดำ ริแล้วจึงได้อดทนขนดินทรายมาถมหลุมบ่อด้วยแรงกายเฉก
เช่นสามัญชนทั่วไป การกระทำ ของสุเมธดาบสนี้ สร้างความชื่นชมโสมนัส
ให้เกิดแก่ดรุณีน้อยสุมิตตาพราหมณีที่เฝ้ามองดูอยู่ยิ่งนัก
เมื่อสุเมธดาบสปรับพื้นที่ยังไม่สำ เร็จเสร็จดี พระทีปังกรพุทธเจ้า
ก็เสด็จดำ เนินมาถึงพร้อมพระสาวกสี่แสนรูป สุเมธดาบสเห็นไม่ทันการณ์
เพราะยังมีแอ่งที่น้ำท่วมขังอยู่ช่วงตัวหนึ่ง จึงตัดสินใจทอดตัวลงนอนปิด
ทับแอ่งน้ำนั้นไว้ ตั้งใจถวายชีวิตให้พระทีปังกรและพระสาวกดำ เนินไปบน
แผ่นหลังของตน ไม่ปรารถนาให้พระบาทของพระพุทธองค์ผู้อุดมมงคล
ประเสริฐแปดเปื้อนโคลน
สุเมธดาบสนอนทอดกายรอให้พระทีปังกรเสด็จไปบนแผ่นหลัง ใน
ใจคิดถึงพระโพธิญาณว่า
“เราปรารถนาจะเป็นดังพระทีปังกรทศพล บรรลุพระโพธิญาณ
แล้วพามหาชนข้ามสงสารสาครไปด้วยกัน”
พระทีปังกรพุทธเจ้า เสด็จมาหยุดยืนอยู่ที่เบื้องศีรษะของสุเมธ
ดาบส ทรงตรวจดูด้วยสัพพัญญุตาญาณ ทรงเห็นอดีตกาลยาวไกล
เมื่อ ๑๖ อสงไขยก่อนว่าพระองค์เคยพบกับดาบสผู้นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์บวชเป็นภิกษุในศาสนา
พระปุราณทีปังกรทศพล ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่าพระองค์จะตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล และในครั้งนั้นสุเมธดาบสผู้นี้เกิด
เป็นเจ้าหญิงวิสุทธาเทวีกนิษฐภคิณีของพระปุราณทีปังกร เธอได้นำ น้ำมัน
เมล็ดผักกาดมาใส่บาตรเพื่อใช้ตามประทีปบูชาองค์พระศาสดา พร้อมกับ
ตั้งความปรารถนาขอเกิดเป็นชาย และขอให้ได้สำ เร็จโพธิญาณ ด้วยความ
ปรารถนานั้น เจ้าหญิงวิสุทธาจึงเกิดมาเป็นชายในชาติถัดไป และไม่ได้กลับ
ไปเกิดเป็นหญิงอีกเลย
พระทีปังกรทรงพิจารณารู้ว่า ตลอดกาลนานนี้ สุเมธดาบสได้
สร้างสมพุทธบารมีมาโดยตลอด บัดนี้เป็นผู้มีเสบียงบารมี สามารถบรรลุ
ธรรมได้ด้วยการฟังธรรมเพียงแค่ ๔ บาทเท่านั้น แต่เพราะสุเมธดาบส
เป็นพระโพธิสัตว์หน่อเนื้อพุทธางกูร สมบูรณ์ด้วยอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘
เป็นผู้แน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจเที่ยงตรงต่อโพธิญาณ พระองค์จึงไม่แสดงธรรม
แต่ทรงบรรลือสีหนาทประกาศพุทธพยากรณ์เป็นลัทธยาเทศสุเมธดาบสต่อ
พระอรหันต์ขีณาสพและพุทธบริษัทว่า
“ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้ ดาบสนี้กระทำ
ความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า เขาสร้างสมพุทธ
การกธรรมคือธรรมที่จะทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วถึง ๑๖ อสงไขย
ด้วยความอุตสาหะ สละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อโพธิญาณมาแล้วนับ
จำนวนครั้งไม่ได้ ความปรารถนาของเขานั้นจักสำเร็จในที่สุดนับจาก ๔
อสงไขยกับเศษแสนกัปนี้ไป เขาจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคตมะ
ในอัตภาพนั้นของเขา จักมีนครนามว่า กบิลพัสดุ์ เป็นที่อยู่
อาศัย พระมารดานามว่ามายา พระบิดานามว่าสุทโธทนะ พระอุปติสสะ
เป็นอัครสาวก พระโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง พระเขมาเป็นอัครสาวิกา
พระอุบลวัณณาเป็นอัครสาวิกาที่สอง พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก
เขามีญาณแก่กล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่
รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑล
และจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์”
ชาวเมืองและเทพเทวดาทั้งหลายในที่นั้น เมื่อได้ฟังพุทธพยากรณ์
แล้ว ก็พากันเปล่งวาจาสาธุการสนั่นดังไปทั่วทั้งไตรภูมิ จนแม้ผืนปฐพีก็
สั่นไหว
ขณะนั้น สุมิตตาพราหมณีผู้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นก็บังเกิด
ปีติศรัทธาท่วมท้นกับท่านดาบสจนโลมาชาติชูชัน เธอเดินเข้าไปหา แบ่ง
ดอกบัวห้ากำ ยื่นให้สุเมธดาบสด้วยไมตรีเพื่อใช้บูชาพระพุทธองค์ พลาง
กล่าวว่า
“ข้าแต่ท่านดาบส ดอกบัวห้ากำนี้ ดิฉันขอมอบแก่ท่าน ดอกบัว
สามกำนี้สำหรับดิฉัน ขอดอกบัวเหล่านี้จงมีผลเสมอกัน เพื่อประโยชน์แก่
โพธิญาณของท่านเถิด”
สุมิตตาพราหมณีรอให้สุเมธดาบส นำ ดอกบัวเข้าไปถวายพระ
ทีปังกรก่อน แล้วเธอจึงนำ ดอกบัวสามกำ ของตนไปถวายพระพุทธเจ้าบ้าง
พลางกล่าววาจาว่า
“พระศาสดาผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งบุญถวายดอกบัวสามกำ
บูชาพระองค์ผู้เป็นนายกของโลกในครั้งนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท
ได้เป็นคู่บุญบารมี ช่วยพระดาบสสร้างสมพุทธการกธรรมจนกว่าจะตรัสรู้
พระโพธิญาณอันอุดม สมดังพุทธพยากรณ์ด้วยเถิด”
สุเมธดาบสเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงหันมามองดรุณีน้อยพลางกล่าวว่า
“แม่นางผู้เจริญ เธออย่าอธิษฐานเช่นนั้นเลย ๔ อสงไขยแสนกัป
นับเป็นเวลาที่ยาวไกล มีทุกข์ภัยอีกมากมายรอเธออยู่ เธอจะเป็นเหมือน
ลูกเนื้อตัวน้อยพลัดฝูงที่ถูกพยัคฆ์จ้องตะปบอยู่ร่ำไป เธอจะเป็นเหมือน
ท่อนไม้ที่ถูกคลื่นซัดสูงต่ำและล่องลอยเคว้งคว้างไปซ้ายไปขวาอยู่กลาง
มหาสาครหาฝั่งไม่พบ
ดรุณีน้อย เธอต้องเกิด ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องเสียน้ำตา
เมื่อประจวบกับสิ่งที่เป็นทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ซากศพ
ของเธอนำมากองสุมรวมกันจนสูงถึงยอดบรรพตนั่นยังไม่ถึงกัปหนึ่งเลย
เธอควรคิดให้ดีว่า ๔ อสงไขยแสนกัปนั้นจะนานขนาดไหน
แม่นางน้อยเอย เธอควรปรารถนาบรรลุธรรมที่พระพุทธองค์ทรง
บรรลุแล้วเสียในชาตินี้ เร่งก้าวข้ามโอฆะให้ถึงฝั่งโน้นจึงประเสริฐกว่า”
แต่สุมิตตาพราหมณีกล่าวกับสุเมธดาบสด้วยความมุ่งมั่นว่า
“ท่านดาบสอย่าห้ามดิฉันเลย ท่านดาบสเป็นผู้มีบุญบารมี
หากแม้นท่านติดตามพระทศพลไปบวช ท่านก็คงสามารถก้าวข้าม
สงสารได้ในเร็วพลัน แต่ท่านกลับละทิ้งโอกาสนี้เพราะมีจิตเป็นกุศล
จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ ส่วนดิฉันแม้เป็นหญิงก็มีจิตเป็นกุศลฉันนั้น
เหมือนกัน ความปรารถนาของดิฉันนี้มิได้มีใครบังคับหรือขอร้อง ดิฉัน
ปรารถนาด้วยตัวของดิฉันเอง ท่านจงรับความปรารถนาอันเป็นกุศล
ของดิฉันด้วยเถิด”
กล่าวแล้ว สุมิตตาพราหมณีก็หันไปประคองอัญชลี กราบทูล
พระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นคำรบสองว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระบาทได้แลเห็นท่านดาบสเหาะ
ลงมาจากนภากาศ ช่วยมหาชนขนดินทรายมาปรับผิวทางด้วยแรง
กาย ข้าพระบาทเริ่มมีความเลื่อมใสในท่านดาบส เมื่อเห็นท่านดาบส
ทอดกายเป็นสะพาน ข้าพระบาทยิ่งมีปีติและศรัทธาเพิ่มพูนขึ้นนับทวี
บัดนี้ พระองค์ทรงพยากรณ์ว่าท่านดาบสจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ข้าพระบาทยิ่งเปี่ยมปีติและศรัทธาไป
กับท่านดาบสยิ่งนัก ปีติและศรัทธาของข้าพระบาทนี้สูงยิ่งนัก จน
ปิดบังความกลัวในภัยของสังสารวัฏได้หมดสิ้น พร้อมที่เวียนว่ายไปใน
โอฆะอีก ๔ อสงไขยแสนกัปร่วมกับท่านดาบส
พระศาสดาผู้เจริญ ข้าพระบาทขอตั้งความปรารถนา ณ บัดนี้
ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ว่า ข้าพระบาทจะขอเป็นคู่สุข คู่ทุกข์
คู่ยาก เป็นคู่บุญบารมี ช่วยท่านดาบสสร้างสมพุทธบารมีให้สมบูรณ์โดย
ไม่ย่อท้อหรือเปลี่ยนใจ”
พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงทรงตรวจดู สุมิตตาพราหมณี ด้วยพระ
สัพพัญญุตาญาณ แล้วตรัสวาจาพยากรณ์ว่า
“ดูกรฤๅษีผู้ใหญ่ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า
สำเร็จแล้วด้วยใจ ความปรารถนาโพธิญาณของท่านจักสำเร็จด้วยใจอัน
เป็นมหากุศลฉันใด ความปรารถนาของอุบาสิกาผู้นี้ก็จักสำเร็จเพราะใจ
อันเป็นมหากุศลฉันนั้น
ดูกรมหาฤๅษี อุบาสิกาผู้นี้จักเป็นผู้มีจิตเสมอกัน มีกุศลกรรม
เสมอกัน ทำกุศลร่วมกัน เป็นที่รักของบุญกรรม เพื่อประโยชน์แก่ท่าน
น่าดู น่าชม น่ารักยิ่ง มีวาจาอ่อนหวาน เป็นธรรมทายาทผู้มีฤทธิ์ของ
ท่าน ความปรารถนาของอุบาสิกานี้จะสำเร็จความปรารถนา”
เมื่อได้ยินพุทธพยากรณ์ดังนั้น ทั้งมนุษย์และเทพยดาต่างสาธุการ
ดังก้องขึ้นอีกครั้ง แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำ ดอกไม้ ๘ กำ โปรยบูชา
สุเมธดาบส ตรัสกับพุทธบริษัทอีกครั้งว่า
“ท่านทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลมงคล หากพวกท่านปรารถนาสิ่งใด
ณ ชั่วเวลานี้ ความปรารถนาของพวกท่านจะสำเร็จสมความปรารถนา”
ตรัสแล้วทรงทำประทักษิณแล้วดำเนินหลีกไป เหล่าพระขีณาสพสี่
แสนก็บูชาพระดาบสด้วยของหอมและดอกไม้ แล้วดำเนินไปเบื้องหลัง
พระพุทธองค์เข้าสู่อมรวดีนคร เหล่าอุบาสกอุบาสิกาเมื่อได้ยินพระดำรัส
ของพระศาสดาแล้วก็พากันพนมมืออัญชลีตั้งความปรารถนาว่า “หากแม้น
ข้าพเจ้ายังมีวาสนาไม่พอจะได้เห็นอมตธรรมอันลึกซึ้งในศาสนาของ
พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ หรือในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ก็ขอให้
ข้าพเจ้าได้รู้อมตธรรมในศาสนาของท่านดาบสผู้นี้ด้วยเถิด”
ขณะนั้น มีหญิงพราหมณีอีก ๑๘,๐๐๐ นาง ได้ตั้งความปรารถนา
ตามดรุณีสุมิตตา ขอติดตามเป็นบริจาริกาพระดาบสไปด้วยเช่นกัน
เมื่อภิกษุสงฆ์ดำเนินหลีกไปหมดแล้ว สุเมธดาบสผู้ซึ่งได้รับพุทธ-
พยากรณ์แล้ว เป็นพระนิยตโพธิสัตว์ผู้มีคติเที่ยงแท้ว่าจะได้ตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจ้า ก็ลุกขึ้นนั่งบนกองดอกไม้ พิจารณาตนเองด้วยอภิญญาญาณ
ทบทวนว่าธรรมใดหนอที่ทำให้ความปรารถนาในโพธิญาณของตนสำเร็จ
ก็รู้ว่าบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ที่ตนได้บำเพ็ญเพียรมาแต่ปางบรรพ์ ตลอดจนที่
จะต้องบำเพ็ญเพียรต่อไปในอนาคตกาล ธรรมนี้เองเป็นพุทธการกธรรมที่
ทำให้บรรลุโพธิญาณได้ จึงมีปณิธานมุ่งมั่นว่าท่านจะต้องบำเพ็ญ
พุทธการกธรรมนี้ให้ยิ่งยวดขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาใคร่ครวญครบถ้วน
สมบูรณ์แล้วแผ่นดินก็สั่นไหวราวบรรลือลั่นอนุโมทนาสาธุการขึ้นอีกครั้ง
แล้วสุเมธดาบสก็เหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์ เจริญอภิญญาสมาบัติ
มิให้เสื่อม เมื่อสิ้นอายุขัยจึงได้ไปอุบัติในพรหมโลก ส่วนสุมิตตาพราหมณี
ส่งท่านดาบสไปจนสุดสายตา จากนั้นเธอก็ดำรงชีวิตไปตามบุญกรรม