มันอาจจะยากที่จะเข้าใจ เพราะ การเป็นพื้นฐานของมัน อันเราส่วนใหญ่ได้ห่างไกลไปสู่ความทับซ้อนอย่างปกติเคยชิน เสียมาก
แต่ก็อยากนำเสนอ เพื่อบันทึกไว้ เพราะ คงมีผู้อาจเห็น หรือสักวันจะเข้าใจ หรือพอมีประโยชน์บ้าง ก็ได้
การรับรู้อย่างเคลื่อนไหว หมายความว่า เปิดใจ อยู่กับปัจจุบันอย่างสมบูรณ์ แล้วก็เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
รวมถึงห้วงขณะที่มันเปลี่ยนแปลงไป การมีสิ่งใหม่แทรกเข้ามา การยอมรับมัน และผนวกมันเข้ากับสิ่งก่อนหน้า
แล้วอยู่กับความเเปรเปลี่ยนที่กำลังเคลื่อนตัวไป สังเกตอารมณ์ หรือความรู้สึกที่กระทบเป็นผลขึ้นมาบ้างก็ได้
แล้วดูๆ สิ่งแปรเปลี่ยนโดยรวมต่อไป อย่างปล่อยวาง บางห้วงรับรู้นั้น อาจย้อนแว๊บถึง กระบวนการความจำที่เพิ่งผ่านมา ก็ได้
เราอาจค้นหา แบบแผนการเปลี่ยนแปลงก็ได้ ดูว่ามีอะไรซ้ำ มีอะไรย้อนกลับมาเกิดขึ้นใหม่ หรือคงไม่ใช่แค่ ความสับสน
ทุกการรับรู้ที่ผ่านเลย น่าจะมีโยงใย หรือ ความเป็นสาเหตุแลผลของกันหรือไม่ ก็ได้ หรือ ถ้ายังไม่พบ ก็ไม่เป็นไร
การรับรู้นั้น อาจมีทั้งความลึกลับ สิ่งเล็กๆที่ชวนดึงดูดใจ หรือ ความเริงร่าเปิดเผย หรือ การเปิดตัวของความหลากหลายอย่างรุนแรง
การเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนที่มาเร็วเป็นห้วง หรือต่อเนื่องอย่างมีลีลาไหวพริ้ว หรือ การหักมุม กระชากกระชั้น หรือ ดิ่งลึกจมมืดหลบลับหายไป
ทุกอย่างที่เรารับรู้ จะมีศูนย์กลางที่ตัวเรา และการตีความหมายมันต่อ เสถียรภาพการดำรงอยู่ในโลก
ในโลกที่เป็นจริง เราไม่อาจรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้หมด เพราะ มันมีความหลากหลายที่ทับซ้อนกันมากมาย
เราได้เลือก หรือ เลือกที่จะรับรู้ได้บางส่วน หรือหลายส่วน เท่าที่สมรรถนะและความใส่ใจจะกระทำการออกไป
รูปแบบมีทั้ง การแบ่งแยก การกระจัดกระจาย หรือ การพยายามจัดกลุ่ม หรือใช้การตีความล่วงหน้าโดยใช้ภาษาโยนหินถามทางต่อสนามการสื่อสาร ก็ได้ นอกจากนั้น อาจอยู่ในสภาพไร้ความหมาย หรือเป็นแค่ภาวะโกลาหล
และแม้กระทั่งความซ้ำซากจำเจ ที่ตัวเราแค่ อยากให้ผ่านไปโดยไม่ต้องการใยดี ไม่สนใจที่จะรับรู้มัน ก็ได้
ทุกการรับรู้ย่อมผ่านห้วงเวลาและอวกาศ มันก็คือ การเดินทางของพลังอย่างหนึ่งที่ปรากฏเป็นผลการทำงานของจิต
เราจะจดจำสิ่งใดได้ ก็ต่อเมือ การรับรู้นั้นได้สร้างความประทับใจขึ้น อาจเป็น ความสวยงาม ความไพเราะ ความมีเหตุผล
หรือโยงไปสู่การตอบสนอง การมีประโยชน์ต่อ การดำรงอยู่โดยเฉพาะสัญชาตญาณได้ ซึ่งก็คือ ระดับชั้นของโยงใยการเเปรเปลี่ยนของ
พลังในโลกธรรมชาตินั่นเอง
การรับรู้อย่างเคลื่อนไหว
แต่ก็อยากนำเสนอ เพื่อบันทึกไว้ เพราะ คงมีผู้อาจเห็น หรือสักวันจะเข้าใจ หรือพอมีประโยชน์บ้าง ก็ได้
การรับรู้อย่างเคลื่อนไหว หมายความว่า เปิดใจ อยู่กับปัจจุบันอย่างสมบูรณ์ แล้วก็เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
รวมถึงห้วงขณะที่มันเปลี่ยนแปลงไป การมีสิ่งใหม่แทรกเข้ามา การยอมรับมัน และผนวกมันเข้ากับสิ่งก่อนหน้า
แล้วอยู่กับความเเปรเปลี่ยนที่กำลังเคลื่อนตัวไป สังเกตอารมณ์ หรือความรู้สึกที่กระทบเป็นผลขึ้นมาบ้างก็ได้
แล้วดูๆ สิ่งแปรเปลี่ยนโดยรวมต่อไป อย่างปล่อยวาง บางห้วงรับรู้นั้น อาจย้อนแว๊บถึง กระบวนการความจำที่เพิ่งผ่านมา ก็ได้
เราอาจค้นหา แบบแผนการเปลี่ยนแปลงก็ได้ ดูว่ามีอะไรซ้ำ มีอะไรย้อนกลับมาเกิดขึ้นใหม่ หรือคงไม่ใช่แค่ ความสับสน
ทุกการรับรู้ที่ผ่านเลย น่าจะมีโยงใย หรือ ความเป็นสาเหตุแลผลของกันหรือไม่ ก็ได้ หรือ ถ้ายังไม่พบ ก็ไม่เป็นไร
การรับรู้นั้น อาจมีทั้งความลึกลับ สิ่งเล็กๆที่ชวนดึงดูดใจ หรือ ความเริงร่าเปิดเผย หรือ การเปิดตัวของความหลากหลายอย่างรุนแรง
การเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนที่มาเร็วเป็นห้วง หรือต่อเนื่องอย่างมีลีลาไหวพริ้ว หรือ การหักมุม กระชากกระชั้น หรือ ดิ่งลึกจมมืดหลบลับหายไป
ทุกอย่างที่เรารับรู้ จะมีศูนย์กลางที่ตัวเรา และการตีความหมายมันต่อ เสถียรภาพการดำรงอยู่ในโลก
ในโลกที่เป็นจริง เราไม่อาจรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้หมด เพราะ มันมีความหลากหลายที่ทับซ้อนกันมากมาย
เราได้เลือก หรือ เลือกที่จะรับรู้ได้บางส่วน หรือหลายส่วน เท่าที่สมรรถนะและความใส่ใจจะกระทำการออกไป
รูปแบบมีทั้ง การแบ่งแยก การกระจัดกระจาย หรือ การพยายามจัดกลุ่ม หรือใช้การตีความล่วงหน้าโดยใช้ภาษาโยนหินถามทางต่อสนามการสื่อสาร ก็ได้ นอกจากนั้น อาจอยู่ในสภาพไร้ความหมาย หรือเป็นแค่ภาวะโกลาหล
และแม้กระทั่งความซ้ำซากจำเจ ที่ตัวเราแค่ อยากให้ผ่านไปโดยไม่ต้องการใยดี ไม่สนใจที่จะรับรู้มัน ก็ได้
ทุกการรับรู้ย่อมผ่านห้วงเวลาและอวกาศ มันก็คือ การเดินทางของพลังอย่างหนึ่งที่ปรากฏเป็นผลการทำงานของจิต
เราจะจดจำสิ่งใดได้ ก็ต่อเมือ การรับรู้นั้นได้สร้างความประทับใจขึ้น อาจเป็น ความสวยงาม ความไพเราะ ความมีเหตุผล
หรือโยงไปสู่การตอบสนอง การมีประโยชน์ต่อ การดำรงอยู่โดยเฉพาะสัญชาตญาณได้ ซึ่งก็คือ ระดับชั้นของโยงใยการเเปรเปลี่ยนของ
พลังในโลกธรรมชาตินั่นเอง