ยามพลบค่ำ ใกลออกไปในทะเลป่าสีเทา อันเต็มไปด้วยต้นไม้ไร้ใบที่หงิกงออย่างน่าขนลุก เดวิดลากไม้วาดเป็นรูปวงกลมและดาวห้าแฉกล้อมรอบจุดที่พวกเขาแวะพัก ม้าเทียมเกวียนของพวกเขาก้มหัวกินฟางพลางสะบัดหูและแผงคอไปมาอย่างระแวดระวัง เครทอสนั่งอยู่ใกล้กองไฟพร้อมกับเจ้าบ่าใหญ่ทาสรับใช้ อัลลันและคนหนุ่มอื่น ๆ เล่นเกมไพ่กันฆ่าเวลาอยู่อีกมุม
เดวิดวาดวงคุ้มกันเสร็จก็เดินลากไม้มาทางเครทอส ผู้ชี้ทางผู้ชราหันมามองเขาด้วยดวงตาและรอยย่นบนใบหน้าที่ยิ้มได้และพยักหน้าให้เขานั่งลง
"ทุกอย่างเรียบร้อยดี?"
"ข้าคิดว่างั้น" เดวิดตอบแล้วนั่งลงบนขอนไม้ใกล้เปลวไฟที่กำลังปะทุ เขาเหม่อมองกองไฟเงียบไปครู่หนึ่ง
เครทอสเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้าแล้วยิ้มขัน "คนหนุ่ม.."
"การต่อสู้นี้จะจบลงเมื่อไหร่"
"อาจจะหนึ่งปี สองปี สิบปี หรือชั่วชีวิต ใครจะรู้ได้" เครทอสพูดเรื่อย ๆ พลางจิบน้ำอุ่นในมือ
"ท่าน...อยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว"
"ตั้งแต่อายุน้อยกว่าเจ้านั่นแหละ และก็ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน พ่อของข้าก็เคยเดินบนเส้นทางเดียวกันกับข้ามาก่อน เจ้าเริ่มกลัวแล้วรึยังไง"
"ข้าเสียใจเครทอส แต่ข้าต้องสารภาพกับท่านตามตรง เมื่อกลางวันข้าแค่ต้องการอวดเบ่งให้เพื่อนของข้าประทับใจ หรือจริง ๆ แล้วข้าอาจจะหลอกตัวเองว่าข้าตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ข้าพูดไปว่าข้าจะแน่วแน่ในวิถี และจะต่อสู้ แต่จริง ๆ แล้ว...ข้าไม่รู้"
ผู้ชรากว่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"เจ้าไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วพวกเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ หรือจะให้พูดชัดกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะต่อสู้มันยังไง ตลอดสามสี่ปีมานี้ตั้งแต่ที่เจ้าดำเนินภายใต้การชี้ทางของข้า พวกเราได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนเหมือนสุนัขเถื่อนที่ถูกเขาล่า เขี้ยวของเจ้าถูกลับให้คม แต่เจ้ามองไม่เห็นตัวนายพราน และไม่รู้ว่าจะหันกลับไปงับมันอย่างไร ตอนนี้เจ้ากำลังกลัวว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะหมดแรงหนี และมันจะเข้ามาหาเจ้าในเวลาที่อ่อนแรงที่สุด รวบร่างอ่อนปวเปียกของเจ้า และเงื้อมีดคมกริบ.."
ไฟปะทุเสียงเปรี๊ยะปร๊ะเห็นสะเก็ดแดงปลิวออกมาเล็กน้อย เงาลี้ลับก่อตัวบนใบหน้ายับย่นของผู้ที่หยุดวาจาปล่อยให้คำพูดซึมซาบเข้าไปในหัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า
"แต่ในวินาทีนั้นแหละ ที่เจ้าต้องรวบรวมแรงทุกมัดกล้ามเนื้อ และกระโจนงับคอมัน ฝังคมเขี้ยวให้เลือดสด ๆ ของมันทะลักเจิ่งนองไปทั่วเรือนตายของเจ้า นั่นแหละสิ่งที่พวกเราทำ หนีหัวซุกหัวซุน ต้อนตัวเองเข้าสู่จุดอับ ปีศาจชั่วร้ายที่ย่ามใจจะปรากฎต่อหน้าเรา หัวร่อเย้ยหยันความสิ้นไร้กำลังใจไม่เหลือสักกระผีกริ้น และนั่นจะเป็นเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของมัน ดุจเช่นที่อคาเดมุสผู้กล้าเคยส่งมันลงนรกไปแล้วครั้งหนึ่ง"
เดวิดถอนหายใจอย่างเงียบงัน "ข้านับถืออคาเดมุสในความกล้าของเขา แต่ข้าสงสัยในคุณสมบัติของตนเองมาตลอด ท่านบอกว่าปีศาจร้ายทรงมหิทธานุภาพสูงสุดในโลกนี้ ทั้งมันยังล่วงรู้ทุกอย่าง ทุกความลับดำมืดที่ซุกซ่อนในใจของผู้คน พวกเราสู้กับสิ่งเช่นนี้ แต่ยังคงมีชีวิตรอดในทุกอรุณรุ่ง เป็นเพราะความเวทนาหรือว่ามันหาได้มีฤทธิ์อย่างที่อวดอ้าง หรือซ้ำร้ายไปกว่านั้น..."
"อย่าได้พูดคำนั้นออกมา มันคือคำที่มันอยากได้ยินมากที่สุด ความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวสำหรับผู้ทรงมหิทธานุภาพสูงสุด คือการหลอกลวงผู้ที่สามารถเลือกที่จะไม่เชื่อคำลวงนั้นเสียก็ได้ หากพวกเราเป็นเพียงหุ่นพยนต์โง่เง่าสั่งให้หันซ้ายก็หัน หันขวาก็หัน ความบันเทิงจะมาจากที่ใด ข้ารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันสิ้นหวัง แต่เพราะเจ้ายังดิ้นรนนั่นแหละเจ้าจึงยังมีชีวิตรอด"
เดวิดสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงหมู่บ้านที่พวกเขาเพิ่งผ่านไปไม่นาน ปีศาจทำให้โลกแปรปรวน ทำสิ่งวิปริตประหลาดนานาประการและทำให้ทั้งหมู่บ้านหายไปดื้อ ๆ พวกเขารอดมาได้เพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
"ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้ ศรัทธาของข้าได้รับการกอบกู้อีกครา และหวังว่าครั้งนี้ข้าคงไม่สูญเสียมันโดยง่ายเหมือนเมื่อกลางวัน"
เครทอสหัวเราะในคอ "นางผู้เลอโฉมดุจไซคี ย่อมไม่เพียงพรากเอาหัวใจของคนหนุ่มให้โบยบิน แต่ยังเอาความกล้าหาญและเจตจำนงอันแน่วแน่ไปด้วย"
"ข้ารู้ว่านางทำให้ข้าอ่อนแอ ข้าจึงไม่รีรอเมื่อท่านกล่าวว่าจะออกเดินทางอีกครา"
"เด็กดี.." คราทอสขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู บ่าใหญ่เหลาไม้ในมืออยู่เงียบ ๆ มันเป็นทาสมันจึงไม่มีสิทธิ์พูดอะไร หรือจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่เข้าใจภาษาของพวกเขาด้วยซ้ำ เดวิดครุ่นคิดในใจเงียบ แต่ก็แย้งตัวเองว่ามันรับใช้คนในคาราวานได้อย่างดี มันต้องรู้เรื่อง แต่มันอาจจะเป็นใบ้ก็เป็นได้ เพราะไม่เคยมีใครเห็นมันส่งเสียงเลย แม้ในวินาทีที่อันตรายหวาดเสียวที่สุดของการเดินทาง แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะเลิกคิดในทุก ๆ เรื่อง เพราะรู้สึกหนักอึ้งในหัวมากเกินไปแล้ว เขาจึงยินดีอย่างยิ่งเมื่ออัลลันกวักมือเรียกให้ไปร่วมวงไพ่
Over Man! ตอนที่ 2 ปีศาจชั่วร้าย
ยามพลบค่ำ ใกลออกไปในทะเลป่าสีเทา อันเต็มไปด้วยต้นไม้ไร้ใบที่หงิกงออย่างน่าขนลุก เดวิดลากไม้วาดเป็นรูปวงกลมและดาวห้าแฉกล้อมรอบจุดที่พวกเขาแวะพัก ม้าเทียมเกวียนของพวกเขาก้มหัวกินฟางพลางสะบัดหูและแผงคอไปมาอย่างระแวดระวัง เครทอสนั่งอยู่ใกล้กองไฟพร้อมกับเจ้าบ่าใหญ่ทาสรับใช้ อัลลันและคนหนุ่มอื่น ๆ เล่นเกมไพ่กันฆ่าเวลาอยู่อีกมุม
เดวิดวาดวงคุ้มกันเสร็จก็เดินลากไม้มาทางเครทอส ผู้ชี้ทางผู้ชราหันมามองเขาด้วยดวงตาและรอยย่นบนใบหน้าที่ยิ้มได้และพยักหน้าให้เขานั่งลง
"ทุกอย่างเรียบร้อยดี?"
"ข้าคิดว่างั้น" เดวิดตอบแล้วนั่งลงบนขอนไม้ใกล้เปลวไฟที่กำลังปะทุ เขาเหม่อมองกองไฟเงียบไปครู่หนึ่ง
เครทอสเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้าแล้วยิ้มขัน "คนหนุ่ม.."
"การต่อสู้นี้จะจบลงเมื่อไหร่"
"อาจจะหนึ่งปี สองปี สิบปี หรือชั่วชีวิต ใครจะรู้ได้" เครทอสพูดเรื่อย ๆ พลางจิบน้ำอุ่นในมือ
"ท่าน...อยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว"
"ตั้งแต่อายุน้อยกว่าเจ้านั่นแหละ และก็ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน พ่อของข้าก็เคยเดินบนเส้นทางเดียวกันกับข้ามาก่อน เจ้าเริ่มกลัวแล้วรึยังไง"
"ข้าเสียใจเครทอส แต่ข้าต้องสารภาพกับท่านตามตรง เมื่อกลางวันข้าแค่ต้องการอวดเบ่งให้เพื่อนของข้าประทับใจ หรือจริง ๆ แล้วข้าอาจจะหลอกตัวเองว่าข้าตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ข้าพูดไปว่าข้าจะแน่วแน่ในวิถี และจะต่อสู้ แต่จริง ๆ แล้ว...ข้าไม่รู้"
ผู้ชรากว่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"เจ้าไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วพวกเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ หรือจะให้พูดชัดกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะต่อสู้มันยังไง ตลอดสามสี่ปีมานี้ตั้งแต่ที่เจ้าดำเนินภายใต้การชี้ทางของข้า พวกเราได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนเหมือนสุนัขเถื่อนที่ถูกเขาล่า เขี้ยวของเจ้าถูกลับให้คม แต่เจ้ามองไม่เห็นตัวนายพราน และไม่รู้ว่าจะหันกลับไปงับมันอย่างไร ตอนนี้เจ้ากำลังกลัวว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะหมดแรงหนี และมันจะเข้ามาหาเจ้าในเวลาที่อ่อนแรงที่สุด รวบร่างอ่อนปวเปียกของเจ้า และเงื้อมีดคมกริบ.."
ไฟปะทุเสียงเปรี๊ยะปร๊ะเห็นสะเก็ดแดงปลิวออกมาเล็กน้อย เงาลี้ลับก่อตัวบนใบหน้ายับย่นของผู้ที่หยุดวาจาปล่อยให้คำพูดซึมซาบเข้าไปในหัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า
"แต่ในวินาทีนั้นแหละ ที่เจ้าต้องรวบรวมแรงทุกมัดกล้ามเนื้อ และกระโจนงับคอมัน ฝังคมเขี้ยวให้เลือดสด ๆ ของมันทะลักเจิ่งนองไปทั่วเรือนตายของเจ้า นั่นแหละสิ่งที่พวกเราทำ หนีหัวซุกหัวซุน ต้อนตัวเองเข้าสู่จุดอับ ปีศาจชั่วร้ายที่ย่ามใจจะปรากฎต่อหน้าเรา หัวร่อเย้ยหยันความสิ้นไร้กำลังใจไม่เหลือสักกระผีกริ้น และนั่นจะเป็นเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของมัน ดุจเช่นที่อคาเดมุสผู้กล้าเคยส่งมันลงนรกไปแล้วครั้งหนึ่ง"
เดวิดถอนหายใจอย่างเงียบงัน "ข้านับถืออคาเดมุสในความกล้าของเขา แต่ข้าสงสัยในคุณสมบัติของตนเองมาตลอด ท่านบอกว่าปีศาจร้ายทรงมหิทธานุภาพสูงสุดในโลกนี้ ทั้งมันยังล่วงรู้ทุกอย่าง ทุกความลับดำมืดที่ซุกซ่อนในใจของผู้คน พวกเราสู้กับสิ่งเช่นนี้ แต่ยังคงมีชีวิตรอดในทุกอรุณรุ่ง เป็นเพราะความเวทนาหรือว่ามันหาได้มีฤทธิ์อย่างที่อวดอ้าง หรือซ้ำร้ายไปกว่านั้น..."
"อย่าได้พูดคำนั้นออกมา มันคือคำที่มันอยากได้ยินมากที่สุด ความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวสำหรับผู้ทรงมหิทธานุภาพสูงสุด คือการหลอกลวงผู้ที่สามารถเลือกที่จะไม่เชื่อคำลวงนั้นเสียก็ได้ หากพวกเราเป็นเพียงหุ่นพยนต์โง่เง่าสั่งให้หันซ้ายก็หัน หันขวาก็หัน ความบันเทิงจะมาจากที่ใด ข้ารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันสิ้นหวัง แต่เพราะเจ้ายังดิ้นรนนั่นแหละเจ้าจึงยังมีชีวิตรอด"
เดวิดสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงหมู่บ้านที่พวกเขาเพิ่งผ่านไปไม่นาน ปีศาจทำให้โลกแปรปรวน ทำสิ่งวิปริตประหลาดนานาประการและทำให้ทั้งหมู่บ้านหายไปดื้อ ๆ พวกเขารอดมาได้เพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
"ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้ ศรัทธาของข้าได้รับการกอบกู้อีกครา และหวังว่าครั้งนี้ข้าคงไม่สูญเสียมันโดยง่ายเหมือนเมื่อกลางวัน"
เครทอสหัวเราะในคอ "นางผู้เลอโฉมดุจไซคี ย่อมไม่เพียงพรากเอาหัวใจของคนหนุ่มให้โบยบิน แต่ยังเอาความกล้าหาญและเจตจำนงอันแน่วแน่ไปด้วย"
"ข้ารู้ว่านางทำให้ข้าอ่อนแอ ข้าจึงไม่รีรอเมื่อท่านกล่าวว่าจะออกเดินทางอีกครา"
"เด็กดี.." คราทอสขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู บ่าใหญ่เหลาไม้ในมืออยู่เงียบ ๆ มันเป็นทาสมันจึงไม่มีสิทธิ์พูดอะไร หรือจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่เข้าใจภาษาของพวกเขาด้วยซ้ำ เดวิดครุ่นคิดในใจเงียบ แต่ก็แย้งตัวเองว่ามันรับใช้คนในคาราวานได้อย่างดี มันต้องรู้เรื่อง แต่มันอาจจะเป็นใบ้ก็เป็นได้ เพราะไม่เคยมีใครเห็นมันส่งเสียงเลย แม้ในวินาทีที่อันตรายหวาดเสียวที่สุดของการเดินทาง แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะเลิกคิดในทุก ๆ เรื่อง เพราะรู้สึกหนักอึ้งในหัวมากเกินไปแล้ว เขาจึงยินดีอย่างยิ่งเมื่ออัลลันกวักมือเรียกให้ไปร่วมวงไพ่