สวัสดียามบ่ายครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และสมาชิกที่รักทุกๆท่าน
วันนี้ ตะโก อู้งาน อีกแล้ว นายไม่อยู่ หนูตะโกร่าเริง คราครั้งใด ที่ได้อู้งานแล้วเข้าครัว ตะโกมีความรู้สึกสนุกสนานครับ
ซึ่งเมื่อไก้ทำอาหารทานเอง แบบฉบับที่ตัวเองชอบ ยิ่งมีความสุข หาไหนเทียบเท่าได้
ตะโก ชอบทานก๋วยเตี๋ยว เกือบทุกชนิด เรียกได้ว่า "มีเส้น" จริงๆ 5555
ก่ซยเตี๋ยวที่ชอบที่สุด เห็นจะไม่พ้น ก๋วยเตี๋ยวหลอด นี่แหละครับ
เพราะมันเป็นอะไร ที่ชอบสุดๆ เวลาทานครั้งใด ก็จะนึกได้ว่า ตัวเอง กลับมาเป็นเด็ก อีกครั้ง
ไม่เหมือนตอนเป็นหนุ่ม เหมือนเช่นทุกวันนี้ (5555 ใครที่เรียกตะโกว่า ลุง ฟังเอาไว้นะครับ)
ก๋วยเตี๋ยวหลอด ในสมัยปัจจุบัน หาทานที่อร่อยๆ ได้ยากมากจริงๆ
เวลาไปทานร้านติ่มซำ ก็มักจะได้มาแบบ ไม่ถูกใจ เป็นต้นว่า มีหน่อไม้ บางร้านก็ใส่เห็ดหอม และมีน้ำแฉะๆ ตัวแป้งนุ่มพิลึก ทานแล้วรู้สึกติดคอ
มันช่างต่างกับ "ก๋วยเตี๋ยวหลอดในอดีต เป็นอย่างมาก และยิ่งมีการดัดแปลงโดยเพิ่มคำว่า "ทรงเครื่อง" เข้าไป
ยิ่งแล้วใหญ่ ทานแล้วเหมือนรู้สึกว่า โดนหลอก ยังไงไม่รู้ครับ (ความเห็นส่วนตัวของตะโก)
ถ้าจะให้นิยามก๋วยเตี๋ยวหลอดของตะโก แบบเป็นความชอบส่วนตัวละก้อ มีดังนี้ครับ
แป้งที่ใช้ ก็คือเส้นใหญ่ธรรมดา
มีถั่วงอก ไชเท้าฝอย เต้าหู้เหลือง แค่นี้จริงๆครับ อาจจะมีหมูสับใส่เพิ่มไปสักหน่อยก็ไม่เสียหาย
น้ำจิ้มต้อง "อร่อย" ไม่เหม็นซีอิ้วเกินไป ไม่หวานเกินไป และต้องไม่เค็มเกินไป
น้ำจิ้มจะมีความหอมอ่อนๆของซีอิ้ว มีความเปรี้ยวจากน้ำส้ม และมีรสเผ็ดจากพริกสด
กระเทียมเจียว ต้องหอมแบบเจียวใหม่ และที่สำคัญ ต้องมี กากหมู เป็นพระเอก ของงาน
อาจจะบอกได้ว่า กาลเวลา มันเปลี่ยนแปลงไป อาแป๊ะ อาซิ่ม ที่เคยทำขายในอดีต ไม่สามารถทำได้
ลูกหลาน ก็ไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพแบบจริงจัง
ก๋วยเตี๋ยวหลอด จากหม้อใบใหญ่ๆ วางเรียงรายเป็นตับๆ ดูเป็นชั้นสวยงาม มีขวดซีอิ้ว โหลน้ำส้มพริกดอง และหม้ออวยใส่กากหมู
แถมด้วย กระทงใบตองแห้ง เย็บด้วยก้านมะพร้าว เปลื่ยนแปลงไป
เสียงกระดึ่ง ทองเหลือง เหมือนกับที่ขายไอติม สั่นระรัว ยามที่ประตูโรงเรียนเปิดเวลา สามโมงกว่าๆ
เด็กนักเรียน จะพากันวิ่งกรู ไปหาอาแป๊ะ อาซิ่ม ซื้อก๋วยเตี๋ยวหลอดทาน ก่อนกลับบ้าน
นับเป็นช่วงเวลา ที่มีความสุข และเอร็ดอร่อย เมื่อได้ทานแบบนั้น แม้ว่า จะไม่มีโปรตีนไปสร้างพลังงาน เหมือนกับ "อาหารขยะ"
ในปัจจุบัน แต่ก็นับว่า มันเป็นอาหารที่อร่อย ราคาไม่แพงในยามนั้นจริงๆ
นอกเรื่อง นอกราว ไปแยะแล้ว ตะโกเกรงว่าจะเสียเวลาปล่าว ไปครับ เข้า(ก้น)ครัวกัน
....หิวกันรึยัง?....หิวกัีนไหม?....ช้าอยู่ใย...ไปทาน.... "ก๋วยเตี๋ยวหลอด"
สวัสดียามบ่ายครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และสมาชิกที่รักทุกๆท่าน
วันนี้ ตะโก อู้งาน อีกแล้ว นายไม่อยู่ หนูตะโกร่าเริง คราครั้งใด ที่ได้อู้งานแล้วเข้าครัว ตะโกมีความรู้สึกสนุกสนานครับ
ซึ่งเมื่อไก้ทำอาหารทานเอง แบบฉบับที่ตัวเองชอบ ยิ่งมีความสุข หาไหนเทียบเท่าได้
ตะโก ชอบทานก๋วยเตี๋ยว เกือบทุกชนิด เรียกได้ว่า "มีเส้น" จริงๆ 5555
ก่ซยเตี๋ยวที่ชอบที่สุด เห็นจะไม่พ้น ก๋วยเตี๋ยวหลอด นี่แหละครับ
เพราะมันเป็นอะไร ที่ชอบสุดๆ เวลาทานครั้งใด ก็จะนึกได้ว่า ตัวเอง กลับมาเป็นเด็ก อีกครั้ง
ไม่เหมือนตอนเป็นหนุ่ม เหมือนเช่นทุกวันนี้ (5555 ใครที่เรียกตะโกว่า ลุง ฟังเอาไว้นะครับ)
ก๋วยเตี๋ยวหลอด ในสมัยปัจจุบัน หาทานที่อร่อยๆ ได้ยากมากจริงๆ
เวลาไปทานร้านติ่มซำ ก็มักจะได้มาแบบ ไม่ถูกใจ เป็นต้นว่า มีหน่อไม้ บางร้านก็ใส่เห็ดหอม และมีน้ำแฉะๆ ตัวแป้งนุ่มพิลึก ทานแล้วรู้สึกติดคอ
มันช่างต่างกับ "ก๋วยเตี๋ยวหลอดในอดีต เป็นอย่างมาก และยิ่งมีการดัดแปลงโดยเพิ่มคำว่า "ทรงเครื่อง" เข้าไป
ยิ่งแล้วใหญ่ ทานแล้วเหมือนรู้สึกว่า โดนหลอก ยังไงไม่รู้ครับ (ความเห็นส่วนตัวของตะโก)
ถ้าจะให้นิยามก๋วยเตี๋ยวหลอดของตะโก แบบเป็นความชอบส่วนตัวละก้อ มีดังนี้ครับ
แป้งที่ใช้ ก็คือเส้นใหญ่ธรรมดา
มีถั่วงอก ไชเท้าฝอย เต้าหู้เหลือง แค่นี้จริงๆครับ อาจจะมีหมูสับใส่เพิ่มไปสักหน่อยก็ไม่เสียหาย
น้ำจิ้มต้อง "อร่อย" ไม่เหม็นซีอิ้วเกินไป ไม่หวานเกินไป และต้องไม่เค็มเกินไป
น้ำจิ้มจะมีความหอมอ่อนๆของซีอิ้ว มีความเปรี้ยวจากน้ำส้ม และมีรสเผ็ดจากพริกสด
กระเทียมเจียว ต้องหอมแบบเจียวใหม่ และที่สำคัญ ต้องมี กากหมู เป็นพระเอก ของงาน
อาจจะบอกได้ว่า กาลเวลา มันเปลี่ยนแปลงไป อาแป๊ะ อาซิ่ม ที่เคยทำขายในอดีต ไม่สามารถทำได้
ลูกหลาน ก็ไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพแบบจริงจัง
ก๋วยเตี๋ยวหลอด จากหม้อใบใหญ่ๆ วางเรียงรายเป็นตับๆ ดูเป็นชั้นสวยงาม มีขวดซีอิ้ว โหลน้ำส้มพริกดอง และหม้ออวยใส่กากหมู
แถมด้วย กระทงใบตองแห้ง เย็บด้วยก้านมะพร้าว เปลื่ยนแปลงไป
เสียงกระดึ่ง ทองเหลือง เหมือนกับที่ขายไอติม สั่นระรัว ยามที่ประตูโรงเรียนเปิดเวลา สามโมงกว่าๆ
เด็กนักเรียน จะพากันวิ่งกรู ไปหาอาแป๊ะ อาซิ่ม ซื้อก๋วยเตี๋ยวหลอดทาน ก่อนกลับบ้าน
นับเป็นช่วงเวลา ที่มีความสุข และเอร็ดอร่อย เมื่อได้ทานแบบนั้น แม้ว่า จะไม่มีโปรตีนไปสร้างพลังงาน เหมือนกับ "อาหารขยะ"
ในปัจจุบัน แต่ก็นับว่า มันเป็นอาหารที่อร่อย ราคาไม่แพงในยามนั้นจริงๆ
นอกเรื่อง นอกราว ไปแยะแล้ว ตะโกเกรงว่าจะเสียเวลาปล่าว ไปครับ เข้า(ก้น)ครัวกัน