พระแสงจอมนาง ตอนที่ 2 "ถ้ำเทพนมิตรา" By สมัญตาชีวบุตร

กระทู้สนทนา


พระแสงจอมนาง


ตอนที่ 2 “ถ้ำเทพนมิตรา”




ต๋อม........เสียงถังไม้ที่ผูกเชือกรอกตกลงในบ่อน้ำ  เมื่อน้ำในถังไม้เต็มแล้วเจ้ารุทรเร่งหมุนรอกอย่างขมีขมันเพื่อจะนำน้ำไปใส่ตุ่มในหลวงตาล้างหน้าก่อนออกบิณฑบาต  เจ้ารุทรตื่นมาตั้งแต่ตีสี่กว่าๆ ตื่นมาก็มองผ่านหน้าต่างเห็นหลวงตานั่งวิปัสสนาอยู่ในกุฏิแล้ว เจ้ารุทรเห็นภาพนี้จนชินตามากว่าเดือนที่ได้มาอยู่ที่นี่ “อูยยยยย หนาวๆๆ” เจ้ารุทรบ่นพึมกับอากาศตีนดอยภาคเหนือยามเช้าของเดือนธันวาคม


หลังจากรุทรตักน้ำใส่ตุ่มเสร็จสักพักท้องฟ้าที่มืดมิดก็เริ่มมีสีฟ้าที่ขอบฟ้าด้านตะวันออกจนเมื่อเริ่มมีแสงสว่างมากพอจนเห็นเส้นลายมือได้ หลวงตาก็ห่มจีวรสะพายบาตรเปิดประตูออกมาจากกุฏิและย่างเท้าลงบันไดกุฏิ เจ้ารุทรกระชับย่ามเดินตามหลวงตาไปเช่นเคย แม้จะยังเป็นเช้ามืด แต่เจ้ารุทรก็เริ่มปรับตัวให้ชินกับความมืดนี้ได้แล้ว


หลวงตาและรุทรเดินมาได้สักพัก ณ ชายทุ่งก่อนจะถึงหมู่บ้าน มีชายและหญิงวัยกลางคนนุ่งห่มขาวนั่งคุกเข่าผู้ชายถือขันเงินใส่ข้าวสวยรอใส่บาตร ส่วนผู้หญิงถือถาดที่มีห่อใบตองอยู่สองห่อ ส่วนเจ้ารุทรแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็นคนคู่นี้ในหมู่บ้านแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพราะหลวงตาสอนไว้ว่าเวลาเดินตามบาตรหลวงตาต้องสำรวมไว้


เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้ ชายผู้นั้นก็กล่าวนิมนต์หลวงตา พร้อมยกขันขึ้นจรดหน้าผาก ผู้หญิงก็ยกถาดขึ้นในท่าเดียวกัน หลวงตาจึงหยุดและเปิดฝาบาตร ผู้ชายตักข้าวสวยในขันหนึ่งทัพพี พลันกลิ่นข้าวสวยในทัพพีก็ส่งไอหอมกรุ่นละมุนขึ้นมาเตะจมูกเด็กน้อยที่เดินตามบาตรหลวงตา รุทรกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก จากนั้นผู้ชายก็หยิบห่อใบตองในถาดลงใส่บาตรหลวงตาและผู้หญิงก็เอื้อมมือมาจับทัพพีในขันเงินของผู้ชายตักข้าวใส่ลงไปในบาตรอีกหนึ่งทัพพี ทำเอาเจ้ารุทรต้องกลืนน้ำลายอีกหนึ่งเอื๊อก แล้วห่อใบตองก็ตามลงมาอยู่ในบาตรหลวงตาอีกหนึ่งห่อ


    
"อายุ วัณโณ สุขขัง พะลัง"  หลวงตาเปล่งเสียงให้พรคู่ชายหญิง ทั้งคู่วางขันเงินและถาดลงกับพื้นและพนมมือขึ้นจรดหน้าผากพร้อมเสียงสาธุ เจ้ารุทรยกมือข้างหนึ่งขึ้นขยี้ตาเพราะเห็นแสงสีขาวอมเหลืองละมุนจางๆสว่างออกมาจากตัวทั้งคู่  เมื่อชายหญิงก้มลงกราบหลวงตาสามครั้งแล้ว หลวงตาก็หันข้างเดินต่อไปตามทางที่มุ่งหน้าสู่หมู่บ้าน “ตาฝาดล่ะมั้ง ไม่ก็ขี้คายังคาตาอยู่” เจ้ารุทรคิดเพื่อแก้ข้อสงสัยในใจ



วันนี้เป็นวันพระใหญ่ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างๆใกล้ดอยไก่เขี่ยจึงใส่บาตรด้วยข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) เพียงอย่างเดียว จากนั้นจึงจะถือกับข้าวใส่ปิ่นโตตามไปที่สำนักสงฆ์เวชชาราม เมื่อวันพระใหญ่ก่อนหน้านี้เจ้ารุทรเคยสงสัยเมื่อเห็นชาวบ้านใส่บาตรแต่ข้าวนึ่งก็วิตกในใจว่าวันนั้นจะต้องกินแต่ข้าวนึ่งหรือเปล่าหนอ หลวงตาก็ไม่เคยเก็บพวกปลากระป๋องหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอาไว้เลยได้มาก็เห็นแจกชาวบ้านเขาไปหมด แล้วที่เคยได้ยินบางคนบอกว่าของที่ใส่บาตรจะถูกเอาไปเก็บไว้เป็นบนวิมานในสวรรค์ ถ้าอย่างนี้ก็คงตลกพิลึกเพราะได้ขึ้นสวรรค์ทั้งทีคงได้กินแต่ข้าวนึ่งเจ้ารุทรก็เลยถามข้อสงสัยนี้กับหลวงตา วิสัจฉนาหลวงตาก็ไขว่าสิ่งของที่ใส่บาตรนั้นเป็นทิพย์จากการอธิษฐานจิต กุศลที่ก่อนี้จะไปผลิดอกออกผลเป็นบุญบารมีในภพต่อไป หากบุญถึงที่จะได้ไปจุติบนสวรรค์เสื้อผ้าอาหารก็ล้วนเป็นทิพย์นึกเนรมิตเอาได้ทั้งสิ้น เจ้ารุทรจึงโอ้โหและคลายปุจฉาไปได้ “ดีจัง ถ้าได้ไปอยู่จะเสกขนมไทยมากินเยอะๆเลย” เจ้ารุทรนึกสนุกตามใจปาก


ในบาตรหลวงตาเช้านี้จึงมีแต่ข้าวนึ่งอยู่ซะส่วนมาก จะมีก็แค่ข้าวสวยสองทัพพีที่นอนอยู่ก้นบาตรเท่านั้น เมื่อหลวงตาเดินกลับมาที่กุฏิจึงล้างเท้าและนั่งอยู่ในชานไม้หน้ากุฏิ ไม่นานนักชาวบ้านสิบกว่าคนทั้งชายและหญิงจึงตามมาช่วยกันจัดกับข้าวคาวหวานลงใส่ถ้วยจานได้หลายถาดเสร็จแล้ว บรรดาผู้ชาย มาแยกอาหารลงแบ่งไปในถาดเล็กถาดหนึ่งถวายพระพุทธแล้วจึงประเคนถาดอื่นๆถวายหลวงตา รุทรเห็นชายหญิงคู่ที่มารอใส่บาตรคู่แรกก่อนเข้าหมู่บ้าน นั่งพับเพียบอย่างสำรวมอยู่ด้านหลังกลุ่มของชาวบ้าน


หลวงตาเปิดบาตรหยิบข้าวในบาตรออกซะส่วนมากมาวางแยกไว้ในจาน รุทรเห็นหลวงตาแยกข้าวสวยก้นบาตรออกลงใส่อีกจานหนึ่ง และแยกห่อใบตองทั้งสองลงไว้ในหม้อดินใบเล็กใบหนึ่ง จากนั้นหลวงตาก็ตักกับข้าวในถาดที่ชาวบ้านนำมาถวายซึ่งมีหลายอย่างทั้งคาวหวานอย่างละนิดอย่างละหน่อยลงรวมกันในบาตร จากนั้นหลวงตาก็ก้ามหน้าลงเล็กน้อยหรี่ตาเพื่อพิจารณาอาหารในบาตร แล้วจึงลงมือฉัน  เมื่อหลวงตาฉันอาหารใบบาตรหมดจึงล้างมือในขันที่เจ้ารุทรใส่น้ำเตรียมไว้ให้ แล้วยกมือขึ้นพนมและสาธยายมงคลจักรวาฬน้อยพร้อมคำแปลเพื่อให้พรแก่ชาวบ้านที่มารอถวายอาหารเช้า น้ำเสียงของหลวงตายามสาธยายมนต์นั้นอบอุ่นหากแต่ว่ามีนัยที่ทรงพลังเด็ดขาดแฝงอยู่


หลังจากชาวบ้านกล่าวสาธุรับพรเมื่อหลวงตาสาธยายมนต์เสร็จแล้ว หลวงพ่อก็เทศนาชาวบ้านเพียงสั้นๆว่า “เวลาสวดมนต์ก็อย่าเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาท่องบาลี มนต์แปลนั้นหามาฝึกสวดกันเสียบ้าง จริงอยู่แม้จะยาวกว่า ใช้เวลานานกว่า แต่ก็ทำให้เราได้รู้ว่าที่สวดๆไปนั่นมีความหมายอย่างไร มีธรรมะข้อใดแฝงอยู่ให้ได้พิจารณา นั่นจึงจะได้พร้อมทั้งกุศลและปัญญา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ต่างอะไรไปจากนกแก้วนกขุนทองที่ได้แต่เจื้อยแจ้วเลียนเสียงเลียนคำแต่หาได้รู้ความหมายไม่ มีศีลแล้วรักษาศีล สวดมนต์ภาวนจึงเกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิดีย่อมพิจารณาสุขทุกข์ได้ละเอียด แล้วจึงเกิดปัญญา ดังนี้จึงครบไตรสิกขา” สิ้นเสียงเทศนาชาวบ้านก็พร้อมกันเปล่งเสียอนุโมธนาสาธุการพร้อมกันอีกครั้ง จากนั้น หลวงตาก็เรียกให้ชาวบ้านมารับถาดอาหารไปรับประทานร่วมกันหลังจากพระฉันแล้วตามธรรมเนียม  เจ้ารุทรแปลกใจเมื่อเห็นข้าวสวยประมาณหนึ่งทัพพีที่หลวงตาแยกไว้ในจานหนึ่งนั้น ตอนนี้ในจานกลับมีข้าวสวยอยู่พูนจาน เวลานั้นไม่มีใครทันสังเกตว่าชายหญิงแปลกหน้าคู่หนึ่งไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว


“รุทรเอ้ย ไปกินข้าวร่วมกับโยมเขาเสียสิ” ได้ยินดังนั้นเจ้ารุทรจึงขยับไปร่วมวงรับประทานอาหารกับชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านทางภาคเหนือมักไม่ค่อยชอบกินข้าวสวย ในจานข้าวสวยจึงเหลือข้าวสวยอยู่พูนจานเช่นเดิม เจ้ารุทรนึกถึงกลิ่นหอมละมุนที่เตะจมูกเมื่อเช้าได้จึงแบ่งข้าวสวยในจานมากินบ้าง พลันที่ข้าวสวยแตะโดนลิ้นในปากเจ้ารุทรก็รู้สึกเย็นสดชื่นวาบไปทั้งกายทั้งรสของข้าวสวยนี้ก็อร่อยล้ำหวานหอมสุดจะบรรยายจนเผลออุทานในลำคอ “อือหื้มมมมมมมมม”


ห่างไปนิดหน่อยข้างกายเจ้ารุทร เจ้าวุธเด็กชายวัยใกล้เคียงกันซึ่งเป็นลูกของนายอินผู้ใหญ่บ้านและนางสุนันทา    ผู้เป็นภริยาตามมาถวายข้าวด้วย พอเห็นเจ้ารุทรตักข้าวใส่ปากและส่งเสียงแปลกๆเบาๆก็แปลกใจ จึงมาสะกิดเจ้ารุทร.... “นายๆนายฮ้องอือหึ้มยะหยัง เป็นหยังก่อ”  
เจ้ารุทรหันไปทำตาโต แล้วเอนตัวไปกระซิบ “นายลองกินข้าวจานนี้สิ” รุทรพอจะจำหน้าเด็กคนนี้ได้ เพราะเรียนห้องเดียวกัน แต่ยังไม่ได้เล่นด้วยกันที่โรงเรียนสักที เจ้าวุธจึงเอาช้อนของตัวเองมาตักข้าวในจานของรุทรไปลองบ้าง..... “อ้ออ๋อยยยยย รำแต้ว่า หยังมารำจะอี๊” เจ้าวุธบ่นพึมพัม


จากนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากช่วยกันถล่มข้าวสวยในจานจนไม่เหลือแม้แต่ครึ่งเม็ด โดยไม่ได้ตักกับข้าวกินเลย เล่นแต่ข้าวสวยกันเพียวๆนี่แหละ ในระหว่างนั้นเจ้ารุทรก็มองหาเจ้าของข้าวสวย แต่ก็ไม่เห็นตัว “กลับไปแล้วล่ะมั้ง” เจ้ารุทรคิดในใจ


นายอินและนางสุนันทา หันมาเห็นลูกชายตนนั่งกินข้าวกับลูกศิษย์หลวงตาก็หันมาสบตากันยิ้มกริ่ม พลันคิดในใจตรงกัน นั่นแน่ะ ตามมาหนแรกก็ได้เพื่อนใหม่แล้วลูกเรา


หลังจากเด็กน้อยทั้งสองอิ่มสบายแล้ว ทั้งคู่ก็เผลอผล่อยเอนตัวหลับไปบนเสื่ออย่างไม่รู้ตัว เจ้ารุทรตื่นก่อนก็งัวเงียๆขยี้ตาขึ้นมา เห็นหลวงตานั่งอยู่บนชานไม้หน้ากุฏิเช่นเดิม “รุทรปลุกวุธเขาสิลูก” เจ้ารุทรมองซ้ายขวา ก็เห็นเด็กชายอีกคนนอนอยู่ทางขวา “นายๆตื่นๆๆ” เจ้าวุธก็งัวเงียตื่นมาขยี้ตาแล้วนั่งตาปรืออีกคน


“เอ้า รุทรกับวุธ มานี่ ขยับมาหน้าตานี่ลูก”  เด็กน้อยทั้งสองได้ยินแล้วก็ขยับตัวไปนั่งพับเพียบหน้าหลวงตา


“ทั้งสองคนพนมมือแล้วก้มหัวลง” เด็กน้อยทำตามคำหลวงตา จากนั้นหลวงตายื่นมือซ้ายและขวามากุมไว้ที่กระหม่อมของรุทรและวุธ


“เจ้าทั้งสองมีวาสนาดี วันพระใหญ่ อะไรดีๆเขาจะมาใส่บาตรหลวงตาประจำ แต่ชาวบ้านไม่ยักชอบของดี กลับชวดไปเสียนี่ แต่ของที่ว่ามันดีเกินวัยของเจ้า ตาจะปรับธาตุให้ก็แล้วกันนะลูก พนมมือแล้วภาวนาไว้จนกล่าวตาจะบอกว่าพอ ว่าตามนี้นะลูก นะโมพุทธายะ นะ มะ พะ ธะ จะ พะ กะ สะ” เด็กน้อยทั้งสองเริ่มภาวนาตาม เมื่อเริ่มภาวนาทั้งสองรู้สึกได้ว่ามีอะไรร้อนๆผ่านมือหลวงตามาชนกับอะไรเย็นๆในร่างกายของตัว แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร จั้กกระจี๊พุงนิดๆซะอีกแน่ะ แต่ก็ต้องกลั้นใจไม่ให้หัวเราะออกมา เพราะไม่รู้ว่าหลวงตาจะแจกมะเหงกเบาๆให้คนละตุ๊บหรือเปล่า


“เอ้า พอได้ หันไปกราบพระพุทธก่อนแล้วค่อยมากราบตานะลูก จำไว้ไปไหนมาไหนเห็นพุทธรูป ถ้าสะดวกกราบได้ก็กราบ ไม่สะดวกก็ยกมือไหว้ ไม่สะดวกยกมือไหว้ก็สำรวมแล้วอธิษฐานสักการะในใจ แล้วถ้าเห็นพระสงฆ์หรือผู้ทรงศีล ค่อยกราบตามหลังจากกราบพระพุทธแล้วนะลูก” หลวงตาสอนธรรมเนียมของพุทธศาสนิกชนให้ศิษย์ตัวน้อยทั้งสอง


“ครับหลวงตา” เจ้ารุทรและเจ้าวุธ รับคำหลวงตามพร้อมกันแล้วหันไปกราบพระพุทธสามหนแล้วหันมากราบหลวงตาอีกสามหน


“วุธเอ้ย พ่อแม่เจ้าเห็นเจ้าหลับไปไม่อยากกวน ก็เลยฝากเจ้าไว้กับตาแล้วก็กลับไปพร้อมชาวบ้านตั้งแต่เช้านั่นแล้ว เห็นว่าบ่ายๆจะมารับ งั้นก็อยู่เล่นไปกับเจ้ารุทรไปก่อน เล่นกันแถวๆนี้ล่ะ อย่าไปซนกันไกลมาก”


“จำไว้อีกอย่าง ต่อไปนี้เป็นไปได้เลี่ยงกินฟักนะลูก แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ให้นึกถึงตาเวลากิน จำไว้ว่าเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์หลวงตาเพชรนะลูก”


“ครับหลวงตา” ทั้งสองรับคำอีกครั้ง “ตาครับผมพาวุธไปเที่ยวในถ้ำนะครับ”


“ไปเถอะลูก อืม...รุทร วันนี้วันพระใหญ่ตาห้ามใครลงไปในโพรงหลังเทวรูปองค์ใหญ่ที่ปล่องใหญ่นะลูก”


“ครับหลวงตา” เสียงขานรับของทั้งคู่ห่างออกไป คู่หูคู่ซนคู่ใหม่ทั้งสองวิ่งแจ้นไปทางถ้ำนู่นแล้ว


“ตะกี๊หลวงตาว่าหยังก๋อ” เจ้าวุธถามคู่หู


“ไม่แน่ใจ ฟังไม่ค่อยทันนะ ไม่มีอะไรหรอกมั้ง” เจ้ารุทรเองก็ไม่ค่อยได้ยิน (ก็เล่นวิ่งแจ้นกันมาเสียก่อนนี่นะ รีบจะอวดถ้ำที่ตัวอยู่นี่นะ)


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า อั้นปะเดวค่อยไปถามหลวงตาเนาะ” เจ้าวุธหัวเราะแก้เกี้ยว ดูแล้วคงเป็นเด็กอารมณ์ดีไม่น้อย


    ทั้งสองวิ่งขึ้นมาถึงลานศิลาแลงหน้าถ้ำ เจ้ารุทรจึงบอกให้วุธถอดรองเท้าวางไว้หน้าลานศิลาแลง    กลางลานศิลาแลงมีบ่อน้ำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่สามบ่อ เรียงยาวไปเป็นแนวตั้งจนถึงปากถ้ำ ทุกบ่อมีหินทรายสลักเป็นพญานาคพ่นน้ำอยู่หลายตัว แต่ต่างกันที่บ่อตรงกลางมีหินแกรนิตสลักเป็นแท่นโยนีมีท่อโสมสูตรยื่นออกมาและมีมหาศิวลึงค์ประทับอยู่ด้านบน

    “นี่เรียกว่าศิวลึงค์นะวุธ แล้วนี่ก็แท่นโยนี” เจ้ารุทรแปลงร่างเป็นไกด์จำเป็นโม้ตามที่หลวงตาเคยบอกว่าอะไรๆที่ตั้งที่วางอยู่แถวนี้เป็นอะไรบ้าง
    เจ้าวุธยกมือไหว้ปลกๆ ประสาเด็กที่ได้รับการอบรมให้เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตามธรรมเนียมของคนไทย

สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 ครับ http://ppantip.com/topic/30297304
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่