พระแสงจอมนาง
ตอนที่ 3 “แก้วทิพย์นาคา”
“ปู่ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดววววววววววววู้วววววววววววอออออว” เสียงอะหยังก๊อรุทร!!! เจ้าวุธถามด้วยเสียงตื่นเต้น
“ไม่รู้สิ เสียงมาจากทางนั้น” เจ้ารุทธ ชี้ไปด้านในโพรงถ้ำ และก้าวขาลงบันไดไปถึงพื้นถ้ำ สายตามองไปยังแท่นเทวรูปองค์ใหญ่
“เสียงมาจากทางนี้นี่ ไม่เห็นมีใครเลย หรือว่ามีใครไปเป่าสังข์ข้างหลังท่านพ่อ” เจ้ารุทรเรียกเทวรูปองค์ใหญ่ขนาดสามเท่าของคนจริง มีเทวลักษณะเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ ที่มุ่นมวยเกศามีพระจันทร์เสี้ยวปักไว้ และมีพระคงคาพ่นน้ำออกมา ที่แปลกคือมีตาที่สามอยู่ที่หน้าผาก ผิวพรรณเป็นสีแดงเข้มข้น แต่ส่วนพระศอเป็นสีคล้ำเกือบๆดำ และมีงูเห่าคล้องพระศออยู่หนึ่งตัว ทรงตรีศูลไว้ที่พระหัตต์เบื้องซ้าย พระหัตย์ขวาประทานพร หลวงตาเคยพาเจ้ารุทธลงมาแล้วก็บอกให้รุทรกราบเทวรูปนี้และบอกว่าให้เรียกว่า “ท่านพ่อ”
“บ่ดีก๊ารุทร ปิ๊กก่อนดีก๊า” เจ้าวุธสีหน้าชักไม่ค่อยดีเลยสะกิดไหล่เพื่อนใหม่หยอยๆ
“ไม่มีอะไรหรอก เราลงมาเล่นนั่งเล่นในนี้ประจำ ป่ะ ขึ้นไปดูข้างหลังท่านพ่อกัน มีอะไรแปลกๆหลายอย่างเลยนะ ไม่อยากดูเหรอ” เจ้ารุทรกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของวานรน้อยประจำหมู่บ้านเขาเสียแล้ว พร้อมก้าวขาปีนขึ้นแท่นอย่างคล่องแคล่ว
“แต้นา บ่มีหยังแต้นา” เจ้าวุธก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดี แต่ก็เก้ๆกังๆปีนขึ้นแท่นตามหลังเจ้ารุทรไปติดๆ ด้วยถือว่ามีเพื่อนเป็นเจ้าถิ่น เจ้าวุธนี่ก็ถึงไหนถึงกันไม่เบา ชะรอยจะมีเลือดสุพรรณไหลเวียนอยู่ในร่างอยู่ไม่น้อย
ทั้งสองปีนขึ้นไปจนถึงเบื้องหน้าเทวรูป เจ้ารุทรประนมมือขึ้นนำพร้อมกล่าวมนต์ที่หลวงตาสอนให้ก่อนเพื่อน
“โอม นะมัสศิวะยะ โอมนะมัสศิวายะ โอมนะมัสศิวายะ” แล้วยืนประนมมือหลับตาสงบนิ่ง
เจ้าวุธฟังไม่ทันว่าเพื่อนใหม่ท่องอะไร แต่เห็นเพื่อนไหว้ก็ไหว้ตามด้วย เอาเป็นว่าก็ไหว้ไว้ก่อน นอบน้อมไว้ก่อนเป็นยอดดี แล้วก็ยืนประนมมือหลับตาตามเพื่อน แต่ก็คอยแอบลืมตาดูว่าเพื่อนลืมตายัง ตามวิสัยที่อยู่นิ่งๆนานๆไม่ค่อยจะเป็น
สรรพสิ่งรอบตัวเด็กน้อยทั้งสอง คล้ายหยุดนิ่ง ไม่มีแม้เสียงริ่งหรีดเรไรตามปกติของลำเนาไพรที่อยู่รายล้อมโพรงถ้ำเทพนมิตรา
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ แต่สำหรับเจ้าวุธจอมซน ดูเหมือนเวลานี้จะนานกว่าเจ้ารุทรหลายเท่าตัว
เจ้ารุทรลืมตาแล้วคลายมือทั้งสองที่ประนมนั้นลง “ป่ะวุธ เราจะพาไปเที่ยวข้างใน”
“หืมมม อืมๆไปก่อไป บ่มีหยังแต้เน้อ” เจ้าวุธแม้จะมั่นใจในเจ้าถิ่นขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ยังมิวายวิตกกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
เบื้องขวาหลังเทวรูปผู้ทรงพระจันทร์เสี้ยวเป็นปิ่นเกศา มีโพรงถ้ำปากทางกว้างประมาณผู้ใหญ่สามคนเดินเรียงหน้าเข้าไปพร้อมกันได้สบายๆ ในโพรงถ้ำนี้คล้ายมีแสงเทียนวาบไหวอยู่ด้านใน เด็กน้อยทั้งสองยืนอยู่หน้าปากทาง พลันเจ้าวุธสากลิ่นไหม้ของเครื่องหอมลอยมา...
“รุทรๆได้กลิ่นหยังก่อ หอมๆตุๆ” เจ้าวุธสงสัยจึงถามเพื่อนใหม่ที่คุ้นถิ่นกว่า
“อืม กลิ่นแบบนี้มันเหมือนกำยานแห้งที่หลวงตาเคยบอกให้จุดไหว้ท่านพ่อเวลาลงมาเล่นในถ้ำ”
“กำยานแห้ง....หน้าต๋ามันเป๋นจะได บ่เกยหันสักเตื้อ” เจ้าวุธเด็กบ้านๆที่อย่างมากก็เคยเห็นแต่ธูปที่ผู้ใหญ่จุดไหว้พระชักสงสัย
“เดี๋ยวให้ดู เคยเห็นมีอยู่ข้างในนี่แหละ” นั่นแน่ะ มีของเล่นใหม่มาหลอกล่อเพื่อนอีกแล้ว
เจ้ารุทรเดินนำเพื่อนเข้าไปด้านใน เดินอย่างปกติที่ลงมาเล่นในถ้ำประจำ และมั่นใจว่าจากปากโพรงถ้ำนี้เข้าไปถึงปลายโพร่งที่มีโต๊ะหมู่บูชาด้านในก็แค่นิดเดียว ทั้งสองเดินมาถึงเกือบสุดโพรงถ้ำ ด้านในเป็นโถงเล็กๆกว้างประมาณผู้ใหญ่นั่งกันหลวมๆได้สักสิบคน เพดานถ้ำในจุดนี้สูงประมาณสองช่วงตัวผู้ใหญ่เห็นจะได้
สิ่งที่เด็กน้อยทั้งสองเห็น คือหนึ่งชายหนึ่งหญิงในชุดสีขาวที่ไร้อาภรณ์ใดๆ เจ้ารุทรจำได้ดี ว่าสองขาวนี้เองที่ใส่บาตรหลวงตาด้วยข้าวสวยหอมกรุ่นรสละมุนเลิศลิ้นที่เด็กน้อยทั้งสองถล่มเสียหมดจานนั่นไง ทั้งสองนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะหมู่บูชา ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองหันหลังให้เด็กน้อยผู้มาใหม่ทั้งสอง
เหมือนจะรู้ว่ามีเด็กน้อยมองอย่างสงสัย ทั้งสองขาวเขยิบกายหมุนกลับมาหันหน้าเข้าหาผู้เยาว์ ชุดขาวทั้งสองส่งยิ้มอย่างมีไมตรีมาทางผู้เยาว์
“สวัสดีครับคุณน้า” เจ้ารุทรเอ่ยปากพร้อมรีบนั่งลงและยกมือประนมก่อนตามอาวุโส เจ้าวุธยังขยับปากตามไม่ทันแต่ยกมือขึ่นประนมไหว้และทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับ เพื่อน แม้จะฉงนปนประหลาดใจน้อยๆว่าทั้งสองขาวมาทำอะไรในโพรงถ้ำนี้ แต่ด้วยการอบรมของบิดาและหลวงตา เจ้ารุทรยังควมคุมสติได้ดีเกินวัย ส่วนเจ้าวุธก็มีไหวพริบดีทันเพื่อน
“สวัสดีจ๊ะรุทร สวัสดีจ๊ะวุธ” ทั้งสองขาวเอ่ยแทบจะพร้อมๆกันพร้อมประนมมือรับไหว้เด็กน้อย น้ำเสียงแจ่มใสและกังวานน้อยๆ หรืออาจเพราะเสียงสะท้อนก้องในโพรงถ้ำกันนะ
“หืม คุณน้ารู้ได้ไงครับว่าผมชื่อรุทร” เจ้ารุทรแปลกใจ จึงตั้งปุจฉา
“น้าเคยได้ยินหลวงตาท่านเรียกน่ะจ๊ะ” น้าผู้หญิงวิสัชนา รอยยิ้มกว้างกว่าเดิม หวานกว่าเดิม
“ส่วนวุธ น้าเคยลงไปแลกของในหมู่บ้าน เคยได้ยินพ่อกับแม่ของวุธเรียกน่ะ” เสียงน้าผู้ชายเอ่ยตามมาบ้าง
“น้าชื่ออนันต ส่วนน้าผู้หญิงชื่ออุษา ส่วนที่ว่าน้าทั้งสองมาทำอะไรในนี้ ปกติทุกวันพระใหญ่น้าจะมาบูชามหาศิวะเทพเป็นประจำจ๊ะ ที่รุทรไม่เคยเห็น เพราะรุทรเพิ่งลงมาในโพรงนี้ในวันพระใหญ่ครั้งแรกไงล่ะ” น้าผู้ชายกล่าวตรงใจที่เจ้ารุทรตั้งข้อสงสัยทั้งสิ้น
เจ้ารุทรเมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดเกรงใจผู้อาวุโสกว่าทั้งสอง และไม่อยากจะรบกวนกิจในการบูชาดังกล่าวอีก แม้จะสงสัยว่าเสียงสังข์นั้นมาจากไหนกัน แต่คงไม่เหมาะหากจะถามต่อในเวลาและสถานที่อันเป็นธุระของผู้อาวุโสที่ทรงศีลทั้งสอง เก็บคำถามที่เหลือไว้ในใจดีกว่า เสียงอะไรมันก็แค่คือเสียงนั่นแหละ ถ้าลงมาแล้วเหตุการณ์เป็นปกติก็ไม่ควรล่วงเกินใดๆต่อพิธีกรรมของผู้ทรงศีลอีกต่อไป
“ถ้างั้นผมลาล่ะครับคุณน้าทั้งสอง” สองเด็กน้อยประนมมือไหว้ลา
“เดี๋ยวสิจ๊ะ ข้าวสวยเมื่อเช้าอร่อยไหมจ๊ะ” น้าผู้หญิงเอ่ยถาม
เด็กน้อยทั้งสองหันมามองหน้ากันเอง คิดตรงกันว่า เอ๋...น้าเขารู้ได้อย่างไรว่าเรากินข้าวสวยจากใส่บาตรหลวงตา ถ้าจำไม่ผิดตอนเราหม่ำ น้าทั้งสองไม่อยู่แถวนั้นแล้วนี่นา แต่ผู้ใหญ่ถามก็ควรตอบไป “อร่อยครับ อร่อยมากๆเลย”
“ฮิๆ ดีแล้วจ๊ะ หนูทั้งสองอิ่มได้อร่อยดีน้าก็ดีใจ ไว้มีโอกาสน้าจะทำอะไรดีๆมาใส่บาตรอีกนะ คราวนี้จะทำเผื่อลูกศิษย์ด้วย ดีไหมคะคุณพี่” น้าผู้หญิงพูดไปยิ้มไปแล้วจึงหันไปถามน้าผู้ชาย “เช่นน้องว่านั้นก็เป็นเรื่องดี เมื่อผู้รับสุขใจ ก็ยังเป็นปิติแก่ผู้ให้ ไม่สำคัญว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม ความยินดีในทานบารมี ไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด”น้าผู้ชายตอบอย่างยิ้มแย้มเช่นกัน
“จริงๆแล้ว ด้วยภพภูมิ เราต่างไม่ควรได้มาพบกัน หากนี่คงเป็นประสงค์แห่งมหาเทวะ ย่อมเป็นสิ่งน่ายินดี เพื่อให้การพบกันครั้งนี้เป็นมงคลที่ควรจดจำ น้ามีสิ่งหนึ่งจะมอบให้หนูทั้งสอง ขออย่าได้ปฏิเสธ ยื่นมือมาทั้งคู่เลยจ๊ะ” น้าผู้หญิงกล่าวพร้อมยื่นมือทั้งสองข้างมาทางเด็กน้อยที่ยังนั่งงงๆอยู่ไม่เลิกที่ผู้อาวุโสทั้งสองรู้เท่าทันคำถามในใจทุกอย่าง แถมจู่ๆยังจะมอบอะไรให้อีก แต่เมื่อผู้ใหญ่มีไมตรี และด้วยกระแสถ้อยคำที่อบอุ่น เด็กน้อยทั้งสองจึงเชื่อฟังผู้อาวุโสทั้งสองอย่างนอบน้อม ว่าแล้วต่างก็ยื่นมาออกไปคนละข้าง
“ในกาลข้างหน้า หนูทั้งสองน่าจะได้พบกับอะไรอีกมาก แต่ด้วยความนอบน้อมแก่ผู้ใหญ่ ย่อมเป็นที่เมตตาแก่ผู้ที่ได้พบเจอ ที่คอของรุทรมีสิ่งที่เป็นเอกอยู่แล้ว น้าขอมอบไว้ที่ข้อมือของทั้งสองคนก็แล้วกันนะจ๊ะ”น้าผู้หญิงพูดจบ ก็กลายเป็นว่าที่ข้อมือของเด็กน้อยทั้งสองปรากฎกำไลสีเขียวมันเลื่อมขึ้นคนละหนึ่งวง วัสดุที่เป็นกำไลนั้นเกินกว่าความรู้ของเด็กน้อยทั้งสองจะเข้าใจว่าคือวัสดุอะไร และใจกลางระหว่างระยะปลายทั้งสองข้างของกำไลนี้ปรากฎลูกแก้วใสบริสุทธิ์แวววาวอยู่เม็ดหนึ่ง ภายในของลูกแก้วนี้มองเข้าไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
“ด้วยสัจจะแห่งเรา ต่อไปนี้หนูทั้งสองจะไม่ได้รับอันตรายใดๆจากเหล่านาคีนาคาและจักเป็นที่รักของเหล่านาคีนาคาทุกภพภูมิ” น้าผู้ชายกล่าวให้พร เด็กน้อยทั้งสองประนมมือไหว้และกล่าว “ขอบคุณครับ”
“เอาล่ะ ได้เวลาที่น้าจะต้องกลับแล้ว หนูทั้งสองก็จงกลับไปยังทางที่มาเถิด” น้าผู้หญิงกล่าว พลันทุกอย่างก็พร่ามัวในสายตาของเด็กน้อยทั้งคู่ เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกง่วงมากอย่างเหลือกำลังจะขืนน้ำหนักของเปลือกตาได้ เจ้ารุทรก็เอนไปทางซ้าย เจ้าวุธก็เอนไปทางขวา เอนมายันกันได้เปลือกตาทั้งสี่ก็หลับลงทันทีภาพทุกอย่างก็ดับลงโดยดุษฎีแต่นั้นไป
เด็กน้อยทั้งสองลืมตาขึ้นมาพร้อมกันอีกที ก็พบว่าตนเองนั่งพิงกันอยู่เบื้องหน้าเทวรูปพระผู้ทรงจันทร์เสี้ยวเป็นปิ่น กำลังสลึมสลือโงนๆงงๆอยู่ก็ได้ยินเสียงหลวงตาดังมาจากด้านหลัง
“เอ้า เป็นไงล่ะเราทั้งคู่ หลวงตาห้ามแล้วก็ไม่ทันฟังกัน ฮ่าๆๆ ดีนะนี่ได้กินของดีไปเลยคุยกับเขารู้เรื่อง แถมยังได้ของแถมมาเสียอีก เอาล่ะๆต่อไปหลวงตาพูดอะไรก็ตั้งใจฟังให้จบก่อนนะลูก เพราะใช่ว่าจะปะเหมาะเคราะห์ดีอย่างนี้ทุกครั้งไป แต่เพื่อเป็นการลงโทษที่ไม่ฟังตาพูดให้จบ เย็นนี้เจ้ารุทรอดมื้อเย็นก็แล้วกัน ส่วนเจ้าวุธก็แค่วิ่งตามเพื่อนมา คราวนี้ก็ถือว่ายกไป พ่อแม่เจ้ามารอรับอยู่ที่กุฎิหลวงตาแล้วแน่ะ” น้ำเสียงหลวงตาฟังแล้วดุเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“หง่ะ...ครับหลวงตา” เจ้ารุทรผง่ะเล็กน้อยเมื่อถูกลงฑัณฑ์ แต่ระลึกได้ว่าตนก็ไม่ฟังหลวงตาให้จบก่อนจริงๆ จึงไม่คิดอุทธรณ์ใดๆ เพราะจริงๆแล้วก็ยังรู้สึกอิ่มกับข้าวสวยเลิศรสเมื่อเช้าอยู่เลย
จากนั้นทั้งสามก็เดินขึ้นบันไดกลับไปที่กุฎิ เจ้าวุธก็กลับบ้านไปพ่อแม่ ก่อนกลับยังนัดแนะกับเจ้ารุทรว่าพรุ่งนี้ไปเตะบอลที่โรงเรียนด้วยกันแต่เช้า เป็นอันว่าคู่หูใหม่นี้ซี้ปึ๊กกันเป็นที่แน่นอนแล้ว คืนนั้นหลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นพร้อมหลวงตาเสร็จแล้ว เจ้ารุทรก็หลับผล่อยสบายไปแม้จะอดมื้อเย็นก็ตาม
พระแสงจอมนาง ตอนที่ 3 "แก้วทิพย์นาคา"
ตอนที่ 3 “แก้วทิพย์นาคา”
“ปู่ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดววววววววววววู้วววววววววววอออออว” เสียงอะหยังก๊อรุทร!!! เจ้าวุธถามด้วยเสียงตื่นเต้น
“ไม่รู้สิ เสียงมาจากทางนั้น” เจ้ารุทธ ชี้ไปด้านในโพรงถ้ำ และก้าวขาลงบันไดไปถึงพื้นถ้ำ สายตามองไปยังแท่นเทวรูปองค์ใหญ่
“เสียงมาจากทางนี้นี่ ไม่เห็นมีใครเลย หรือว่ามีใครไปเป่าสังข์ข้างหลังท่านพ่อ” เจ้ารุทรเรียกเทวรูปองค์ใหญ่ขนาดสามเท่าของคนจริง มีเทวลักษณะเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ ที่มุ่นมวยเกศามีพระจันทร์เสี้ยวปักไว้ และมีพระคงคาพ่นน้ำออกมา ที่แปลกคือมีตาที่สามอยู่ที่หน้าผาก ผิวพรรณเป็นสีแดงเข้มข้น แต่ส่วนพระศอเป็นสีคล้ำเกือบๆดำ และมีงูเห่าคล้องพระศออยู่หนึ่งตัว ทรงตรีศูลไว้ที่พระหัตต์เบื้องซ้าย พระหัตย์ขวาประทานพร หลวงตาเคยพาเจ้ารุทธลงมาแล้วก็บอกให้รุทรกราบเทวรูปนี้และบอกว่าให้เรียกว่า “ท่านพ่อ”
“บ่ดีก๊ารุทร ปิ๊กก่อนดีก๊า” เจ้าวุธสีหน้าชักไม่ค่อยดีเลยสะกิดไหล่เพื่อนใหม่หยอยๆ
“ไม่มีอะไรหรอก เราลงมาเล่นนั่งเล่นในนี้ประจำ ป่ะ ขึ้นไปดูข้างหลังท่านพ่อกัน มีอะไรแปลกๆหลายอย่างเลยนะ ไม่อยากดูเหรอ” เจ้ารุทรกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของวานรน้อยประจำหมู่บ้านเขาเสียแล้ว พร้อมก้าวขาปีนขึ้นแท่นอย่างคล่องแคล่ว
“แต้นา บ่มีหยังแต้นา” เจ้าวุธก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดี แต่ก็เก้ๆกังๆปีนขึ้นแท่นตามหลังเจ้ารุทรไปติดๆ ด้วยถือว่ามีเพื่อนเป็นเจ้าถิ่น เจ้าวุธนี่ก็ถึงไหนถึงกันไม่เบา ชะรอยจะมีเลือดสุพรรณไหลเวียนอยู่ในร่างอยู่ไม่น้อย
ทั้งสองปีนขึ้นไปจนถึงเบื้องหน้าเทวรูป เจ้ารุทรประนมมือขึ้นนำพร้อมกล่าวมนต์ที่หลวงตาสอนให้ก่อนเพื่อน
“โอม นะมัสศิวะยะ โอมนะมัสศิวายะ โอมนะมัสศิวายะ” แล้วยืนประนมมือหลับตาสงบนิ่ง
เจ้าวุธฟังไม่ทันว่าเพื่อนใหม่ท่องอะไร แต่เห็นเพื่อนไหว้ก็ไหว้ตามด้วย เอาเป็นว่าก็ไหว้ไว้ก่อน นอบน้อมไว้ก่อนเป็นยอดดี แล้วก็ยืนประนมมือหลับตาตามเพื่อน แต่ก็คอยแอบลืมตาดูว่าเพื่อนลืมตายัง ตามวิสัยที่อยู่นิ่งๆนานๆไม่ค่อยจะเป็น
สรรพสิ่งรอบตัวเด็กน้อยทั้งสอง คล้ายหยุดนิ่ง ไม่มีแม้เสียงริ่งหรีดเรไรตามปกติของลำเนาไพรที่อยู่รายล้อมโพรงถ้ำเทพนมิตรา
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ แต่สำหรับเจ้าวุธจอมซน ดูเหมือนเวลานี้จะนานกว่าเจ้ารุทรหลายเท่าตัว
เจ้ารุทรลืมตาแล้วคลายมือทั้งสองที่ประนมนั้นลง “ป่ะวุธ เราจะพาไปเที่ยวข้างใน”
“หืมมม อืมๆไปก่อไป บ่มีหยังแต้เน้อ” เจ้าวุธแม้จะมั่นใจในเจ้าถิ่นขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ยังมิวายวิตกกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
เบื้องขวาหลังเทวรูปผู้ทรงพระจันทร์เสี้ยวเป็นปิ่นเกศา มีโพรงถ้ำปากทางกว้างประมาณผู้ใหญ่สามคนเดินเรียงหน้าเข้าไปพร้อมกันได้สบายๆ ในโพรงถ้ำนี้คล้ายมีแสงเทียนวาบไหวอยู่ด้านใน เด็กน้อยทั้งสองยืนอยู่หน้าปากทาง พลันเจ้าวุธสากลิ่นไหม้ของเครื่องหอมลอยมา...
“รุทรๆได้กลิ่นหยังก่อ หอมๆตุๆ” เจ้าวุธสงสัยจึงถามเพื่อนใหม่ที่คุ้นถิ่นกว่า
“อืม กลิ่นแบบนี้มันเหมือนกำยานแห้งที่หลวงตาเคยบอกให้จุดไหว้ท่านพ่อเวลาลงมาเล่นในถ้ำ”
“กำยานแห้ง....หน้าต๋ามันเป๋นจะได บ่เกยหันสักเตื้อ” เจ้าวุธเด็กบ้านๆที่อย่างมากก็เคยเห็นแต่ธูปที่ผู้ใหญ่จุดไหว้พระชักสงสัย
“เดี๋ยวให้ดู เคยเห็นมีอยู่ข้างในนี่แหละ” นั่นแน่ะ มีของเล่นใหม่มาหลอกล่อเพื่อนอีกแล้ว
เจ้ารุทรเดินนำเพื่อนเข้าไปด้านใน เดินอย่างปกติที่ลงมาเล่นในถ้ำประจำ และมั่นใจว่าจากปากโพรงถ้ำนี้เข้าไปถึงปลายโพร่งที่มีโต๊ะหมู่บูชาด้านในก็แค่นิดเดียว ทั้งสองเดินมาถึงเกือบสุดโพรงถ้ำ ด้านในเป็นโถงเล็กๆกว้างประมาณผู้ใหญ่นั่งกันหลวมๆได้สักสิบคน เพดานถ้ำในจุดนี้สูงประมาณสองช่วงตัวผู้ใหญ่เห็นจะได้
สิ่งที่เด็กน้อยทั้งสองเห็น คือหนึ่งชายหนึ่งหญิงในชุดสีขาวที่ไร้อาภรณ์ใดๆ เจ้ารุทรจำได้ดี ว่าสองขาวนี้เองที่ใส่บาตรหลวงตาด้วยข้าวสวยหอมกรุ่นรสละมุนเลิศลิ้นที่เด็กน้อยทั้งสองถล่มเสียหมดจานนั่นไง ทั้งสองนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะหมู่บูชา ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองหันหลังให้เด็กน้อยผู้มาใหม่ทั้งสอง
เหมือนจะรู้ว่ามีเด็กน้อยมองอย่างสงสัย ทั้งสองขาวเขยิบกายหมุนกลับมาหันหน้าเข้าหาผู้เยาว์ ชุดขาวทั้งสองส่งยิ้มอย่างมีไมตรีมาทางผู้เยาว์
“สวัสดีครับคุณน้า” เจ้ารุทรเอ่ยปากพร้อมรีบนั่งลงและยกมือประนมก่อนตามอาวุโส เจ้าวุธยังขยับปากตามไม่ทันแต่ยกมือขึ่นประนมไหว้และทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับ เพื่อน แม้จะฉงนปนประหลาดใจน้อยๆว่าทั้งสองขาวมาทำอะไรในโพรงถ้ำนี้ แต่ด้วยการอบรมของบิดาและหลวงตา เจ้ารุทรยังควมคุมสติได้ดีเกินวัย ส่วนเจ้าวุธก็มีไหวพริบดีทันเพื่อน
“สวัสดีจ๊ะรุทร สวัสดีจ๊ะวุธ” ทั้งสองขาวเอ่ยแทบจะพร้อมๆกันพร้อมประนมมือรับไหว้เด็กน้อย น้ำเสียงแจ่มใสและกังวานน้อยๆ หรืออาจเพราะเสียงสะท้อนก้องในโพรงถ้ำกันนะ
“หืม คุณน้ารู้ได้ไงครับว่าผมชื่อรุทร” เจ้ารุทรแปลกใจ จึงตั้งปุจฉา
“น้าเคยได้ยินหลวงตาท่านเรียกน่ะจ๊ะ” น้าผู้หญิงวิสัชนา รอยยิ้มกว้างกว่าเดิม หวานกว่าเดิม
“ส่วนวุธ น้าเคยลงไปแลกของในหมู่บ้าน เคยได้ยินพ่อกับแม่ของวุธเรียกน่ะ” เสียงน้าผู้ชายเอ่ยตามมาบ้าง
“น้าชื่ออนันต ส่วนน้าผู้หญิงชื่ออุษา ส่วนที่ว่าน้าทั้งสองมาทำอะไรในนี้ ปกติทุกวันพระใหญ่น้าจะมาบูชามหาศิวะเทพเป็นประจำจ๊ะ ที่รุทรไม่เคยเห็น เพราะรุทรเพิ่งลงมาในโพรงนี้ในวันพระใหญ่ครั้งแรกไงล่ะ” น้าผู้ชายกล่าวตรงใจที่เจ้ารุทรตั้งข้อสงสัยทั้งสิ้น
เจ้ารุทรเมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดเกรงใจผู้อาวุโสกว่าทั้งสอง และไม่อยากจะรบกวนกิจในการบูชาดังกล่าวอีก แม้จะสงสัยว่าเสียงสังข์นั้นมาจากไหนกัน แต่คงไม่เหมาะหากจะถามต่อในเวลาและสถานที่อันเป็นธุระของผู้อาวุโสที่ทรงศีลทั้งสอง เก็บคำถามที่เหลือไว้ในใจดีกว่า เสียงอะไรมันก็แค่คือเสียงนั่นแหละ ถ้าลงมาแล้วเหตุการณ์เป็นปกติก็ไม่ควรล่วงเกินใดๆต่อพิธีกรรมของผู้ทรงศีลอีกต่อไป
“ถ้างั้นผมลาล่ะครับคุณน้าทั้งสอง” สองเด็กน้อยประนมมือไหว้ลา
“เดี๋ยวสิจ๊ะ ข้าวสวยเมื่อเช้าอร่อยไหมจ๊ะ” น้าผู้หญิงเอ่ยถาม
เด็กน้อยทั้งสองหันมามองหน้ากันเอง คิดตรงกันว่า เอ๋...น้าเขารู้ได้อย่างไรว่าเรากินข้าวสวยจากใส่บาตรหลวงตา ถ้าจำไม่ผิดตอนเราหม่ำ น้าทั้งสองไม่อยู่แถวนั้นแล้วนี่นา แต่ผู้ใหญ่ถามก็ควรตอบไป “อร่อยครับ อร่อยมากๆเลย”
“ฮิๆ ดีแล้วจ๊ะ หนูทั้งสองอิ่มได้อร่อยดีน้าก็ดีใจ ไว้มีโอกาสน้าจะทำอะไรดีๆมาใส่บาตรอีกนะ คราวนี้จะทำเผื่อลูกศิษย์ด้วย ดีไหมคะคุณพี่” น้าผู้หญิงพูดไปยิ้มไปแล้วจึงหันไปถามน้าผู้ชาย “เช่นน้องว่านั้นก็เป็นเรื่องดี เมื่อผู้รับสุขใจ ก็ยังเป็นปิติแก่ผู้ให้ ไม่สำคัญว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม ความยินดีในทานบารมี ไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด”น้าผู้ชายตอบอย่างยิ้มแย้มเช่นกัน
“จริงๆแล้ว ด้วยภพภูมิ เราต่างไม่ควรได้มาพบกัน หากนี่คงเป็นประสงค์แห่งมหาเทวะ ย่อมเป็นสิ่งน่ายินดี เพื่อให้การพบกันครั้งนี้เป็นมงคลที่ควรจดจำ น้ามีสิ่งหนึ่งจะมอบให้หนูทั้งสอง ขออย่าได้ปฏิเสธ ยื่นมือมาทั้งคู่เลยจ๊ะ” น้าผู้หญิงกล่าวพร้อมยื่นมือทั้งสองข้างมาทางเด็กน้อยที่ยังนั่งงงๆอยู่ไม่เลิกที่ผู้อาวุโสทั้งสองรู้เท่าทันคำถามในใจทุกอย่าง แถมจู่ๆยังจะมอบอะไรให้อีก แต่เมื่อผู้ใหญ่มีไมตรี และด้วยกระแสถ้อยคำที่อบอุ่น เด็กน้อยทั้งสองจึงเชื่อฟังผู้อาวุโสทั้งสองอย่างนอบน้อม ว่าแล้วต่างก็ยื่นมาออกไปคนละข้าง
“ในกาลข้างหน้า หนูทั้งสองน่าจะได้พบกับอะไรอีกมาก แต่ด้วยความนอบน้อมแก่ผู้ใหญ่ ย่อมเป็นที่เมตตาแก่ผู้ที่ได้พบเจอ ที่คอของรุทรมีสิ่งที่เป็นเอกอยู่แล้ว น้าขอมอบไว้ที่ข้อมือของทั้งสองคนก็แล้วกันนะจ๊ะ”น้าผู้หญิงพูดจบ ก็กลายเป็นว่าที่ข้อมือของเด็กน้อยทั้งสองปรากฎกำไลสีเขียวมันเลื่อมขึ้นคนละหนึ่งวง วัสดุที่เป็นกำไลนั้นเกินกว่าความรู้ของเด็กน้อยทั้งสองจะเข้าใจว่าคือวัสดุอะไร และใจกลางระหว่างระยะปลายทั้งสองข้างของกำไลนี้ปรากฎลูกแก้วใสบริสุทธิ์แวววาวอยู่เม็ดหนึ่ง ภายในของลูกแก้วนี้มองเข้าไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
“ด้วยสัจจะแห่งเรา ต่อไปนี้หนูทั้งสองจะไม่ได้รับอันตรายใดๆจากเหล่านาคีนาคาและจักเป็นที่รักของเหล่านาคีนาคาทุกภพภูมิ” น้าผู้ชายกล่าวให้พร เด็กน้อยทั้งสองประนมมือไหว้และกล่าว “ขอบคุณครับ”
“เอาล่ะ ได้เวลาที่น้าจะต้องกลับแล้ว หนูทั้งสองก็จงกลับไปยังทางที่มาเถิด” น้าผู้หญิงกล่าว พลันทุกอย่างก็พร่ามัวในสายตาของเด็กน้อยทั้งคู่ เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกง่วงมากอย่างเหลือกำลังจะขืนน้ำหนักของเปลือกตาได้ เจ้ารุทรก็เอนไปทางซ้าย เจ้าวุธก็เอนไปทางขวา เอนมายันกันได้เปลือกตาทั้งสี่ก็หลับลงทันทีภาพทุกอย่างก็ดับลงโดยดุษฎีแต่นั้นไป
เด็กน้อยทั้งสองลืมตาขึ้นมาพร้อมกันอีกที ก็พบว่าตนเองนั่งพิงกันอยู่เบื้องหน้าเทวรูปพระผู้ทรงจันทร์เสี้ยวเป็นปิ่น กำลังสลึมสลือโงนๆงงๆอยู่ก็ได้ยินเสียงหลวงตาดังมาจากด้านหลัง
“เอ้า เป็นไงล่ะเราทั้งคู่ หลวงตาห้ามแล้วก็ไม่ทันฟังกัน ฮ่าๆๆ ดีนะนี่ได้กินของดีไปเลยคุยกับเขารู้เรื่อง แถมยังได้ของแถมมาเสียอีก เอาล่ะๆต่อไปหลวงตาพูดอะไรก็ตั้งใจฟังให้จบก่อนนะลูก เพราะใช่ว่าจะปะเหมาะเคราะห์ดีอย่างนี้ทุกครั้งไป แต่เพื่อเป็นการลงโทษที่ไม่ฟังตาพูดให้จบ เย็นนี้เจ้ารุทรอดมื้อเย็นก็แล้วกัน ส่วนเจ้าวุธก็แค่วิ่งตามเพื่อนมา คราวนี้ก็ถือว่ายกไป พ่อแม่เจ้ามารอรับอยู่ที่กุฎิหลวงตาแล้วแน่ะ” น้ำเสียงหลวงตาฟังแล้วดุเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“หง่ะ...ครับหลวงตา” เจ้ารุทรผง่ะเล็กน้อยเมื่อถูกลงฑัณฑ์ แต่ระลึกได้ว่าตนก็ไม่ฟังหลวงตาให้จบก่อนจริงๆ จึงไม่คิดอุทธรณ์ใดๆ เพราะจริงๆแล้วก็ยังรู้สึกอิ่มกับข้าวสวยเลิศรสเมื่อเช้าอยู่เลย
จากนั้นทั้งสามก็เดินขึ้นบันไดกลับไปที่กุฎิ เจ้าวุธก็กลับบ้านไปพ่อแม่ ก่อนกลับยังนัดแนะกับเจ้ารุทรว่าพรุ่งนี้ไปเตะบอลที่โรงเรียนด้วยกันแต่เช้า เป็นอันว่าคู่หูใหม่นี้ซี้ปึ๊กกันเป็นที่แน่นอนแล้ว คืนนั้นหลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นพร้อมหลวงตาเสร็จแล้ว เจ้ารุทรก็หลับผล่อยสบายไปแม้จะอดมื้อเย็นก็ตาม