พระแสงจอมนาง ตอนที่ 1 "การลาจาก" By สมัญตาชีวบุตร

กระทู้สนทนา
พระแสงจอมนาง
ตอนที่ 1 “การลาจาก”



แสงสุรีย์ทอพ้นขอบฟ้า แสงที่ตกทอดมาตามกระดานไม้ของกุฏิกระทบทอเป็นสีนวล หมอกจางของเดือนพฤศจิกายนทำให้ใบไม้โดยรอบเปียกชิ้นด้วยหยาดน้ำค้างดิ้นบนใบคล้ายจะหยอกเล่นกับแสง บนกิ่งไทรที่ไม่ห่างจากวิหารมากนัก กระรอกสีน้ำตาลหางเป็นพวงฟูงามไต่ขึ้นลงอยู่ไปมา  ดูเป็นเช้าที่สงบสุขอีกวันของสำนักสงฆ์เวชราม แห่งอำเภอบ้านโฮ่ง ที่อยู่บนเขาเตี้ยๆลูกหนึ่งในจังหวัดลำพูนชาวบ้านแต่เก่าก่อนเรียกเขาลูกน้อยนี้ว่าดอยไก่เขี่ย


สำนักสงฆ์นี้มีเพียงวิหารปูนหลังน้อยบนไหล่เขา หลังวิหารมีพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวขนาดใหญ่ เยื้องไปทางซ้ายเดินขึ้นไปบนเขาอีกเล็กน้อยมีถ้ำเก่าแก่ หน้าถ้ำมีลานศิลาแลงและสระน้ำขนาดย่อมๆมีเทวรูปทั้งเล็กใหญ่อยู่ล้อมบริเวณ ลึกลงไปในถ้ำมีทั้งพุทธรูปและเทวรูปจำนวนหนึ่ง และด้านทางเดินขึ้นวิหารด้านนอกมีกุฏิไม้หลังน้อยที่ดูสมแก่สมณานุรูปอีกหลายหลัง กระจายไปตามริมทางเดินขึ้นวิหาร หนึ่งในนั้นมีกุฏิหนึ่งอยู่ล่างลงมาติดตีนเขาที่สุดใกล้บันไดขึ้นวิหาร ในกุฏิหลังนี้หลวงตาเพชรอริยสงฆ์ผู้บำเพ็ญเพียรมาแล้วหลายสิบพรรษาจำวัดอยู่


กึก...กึก...กึก..เสียงเดินขึ้นบันไดกุฏิหลวงตาเพชรเป็นก้าวจังหวะต่อเนื่องกัน ใครสักคนกำลังเดินขึ้นบันไดนั้นมาขณะที่หลวงตาฉันเช้าเสร็จไปหมาดๆ


“ว่าอย่างไรหนานพล วันนี้มาหาอาตมาได้แต่เช้า มีธุระอะไรรึ”ชายหนุ่มในเสื้อยืดสีขาวกางเกงม่อฮ่อมสีน้ำเงินสะพายย่ามผ้าขาวม้าพาดไหล่ก้มลงหมอบกราบเบญจางค์ประดิษฐ์ต่อหลวงตาสามครั้ง อย่างผู้บวชเรียนมาดีแล้วพึงแสดงอาการเคารพสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า  “ผมมีเรื่องจะมารบกวนหลวงตาครับ หลวงตาสบายดีนะครับ” เสียงเรียบแต่ใสกังวานกล่าวจากริมฝีปากที่เอิบอิ่มไม่คล้ำ แต่ดูเป็นสีน้ำตาลจางๆอยู่บนใบหน้าคมสัน ของชายหนุ่ม ร่างกายก็ดูกำยำสมส่วนสูงประมาณ 5 ฟุต 6 นิ้วเป็นความสูงกำลังดีตามมาตรฐานชายไทย ดูริ้วรอยบนใบหน้าแล้ว วัยก็ไม่จะเกิน40 คอเสื้อที่แบะกระดุมสองเม็ดทำให้เห็นว่าผิวกายแท้นั้นขาว แต่ดูที่ลำแขนที่พ้นชายแขนเสื้อมานั้นกลับคล้ำเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆบ่งว่าเป็นลูกผู้ชายที่กร้านแดด แววตาเปล่งประกายคมกริบเข้มด้วยตบะอย่างผู้มีปัญญาและวิชาอาคม ฉกาจฉกรรจ์เต็มกำลัง


“อาตมาไม่เจ็บไม่ป่วยจะมีลำบากบ้างก็ปวดตามข้อนิดๆหน่อยๆตามสังขาร  ธุระของหนานพลใช่ไอ้หนูที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นใช่ไหมล่ะ” หลวงตากล่าวด้วยเจือรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแต่แฝงไปด้วยเมตตาอบอุ่น “กี่ขวบแล้วล่ะ อืม.. กราบพระพุทธเถอะลูกเอ้ย”ยิ้มของหลวงตาพลันกว้างขึ้นจนเห็นฟันเรียงเมื่อเห็นเด็กน้อยก้มลงกราบสามหน


“ห้าขวบแล้วครับ ผมจะมาฝากให้หลวงตาช่วยดูแลไอ่รุทรมันสักพักใหญ่ๆน่ะครับ” ชายหนุ่มประนมมือกล่าวต่อหลวงตา


“ในหมู่บ้านข้างล่างนี่ก็มีหนานคมพี่ชายของหนานพลอยู่ไม่ใช่รึ”


“บ้านหนานคมพี่ชายผมมีคนอยู่เยอะเพราะแกลูกดก กลัวจะไม่สะดวก  จะทิ้งไว้ที่บ้านคนเดียวก็ห่วงมันจะไม่มีใครหุงหาให้มันกิน อีกอย่างผมก็อยากจะเอาลูกชายมาฝากให้หลวงตาช่วยสั่งสอนมันด้วย แต่ถ้ามันเหงาบางวันมันก็คงลงไปเล่นอยู่บ้านลุงมันได้ ลูกพี่ลูกน้องมันก็มีอยู่หลายคน นึกได้ก็มีแต่หลวงตาที่เป็นทั้งอาจารย์และอุปฌาชยของผม”


“เรื่องจะมาฝากดูแลกัน อาตมาไม่มีปัญหา หนานพลก็ศิษย์ก้นกุฏิของอาตมาเอง ไอ่เจ้าหนานคมก็กินข้าวก้นบาตรเดียวกันมาเสียไปนิดที่ว่าเจ้าศิษย์คนโตนี้มันหนักทางมืดๆเทาๆผิดครูไปบ้างแต่ก็ถูกจริตมัน...ว่าแต่จะมาฝากไว้นานแค่ไหน พอจะบอกอาตมาได้รึเปล่า”


“ไม่แน่ใจครับ ผมต้องเดินทางตามนายไปไกลเหลือเกิน จะกลับเมื่อไรก็ไม่ทราบชัดเจน ผมอยากจะฝากให้หลวงตาช่วยสั่งสอนไอ่รุทรมันด้วย ให้หลวงตาสั่งสอนมันเป็นคนดี จะให้มันเรียนมันอ่านอะไรก็สุดแต่หลวงตาจะเห็นดีเถอะครับ”


“เมื่อกี้พ่อมันว่าเราชื่อรุทร แล้วชื่อเต็มๆเราล่ะชื่ออะไรไอ่หนู” หลวงตาหันมาถามเด็กน้อย


“ศาตรารุทร ครับ” เด็กน้อยตอบอย่างฉะฉาน


“บ๊ะ ไอ่หนูนี่มันแรงด้วยชื่อทีเดียว อืมๆ...อาวุธแห่งรุทรเทพรึ” หลวงตาทักพร้อมจ้องไปยังสายตาเป็นประกายของเด็กน้อย


“เรื่องเรียนตอนนี้ผมก็เพิ่งเอามันมาฝากอยู่ที่โรงเรียนในหมู่บ้านข้างล่างนี่แล้วครับ ก่อนหน้านี้มันเรียนอยู่ที่โรงเรียนใกล้ๆค่ายที่ผมอยู่ในกรุงเทพ  ผมเอาจักรยานมาทิ้งไว้ให้ด้วยเพราะระยะทางมันออกจะไกลเสียหน่อยแต่คงพอขี่ไปกลับโรงเรียนไหว”


“อาตมาเชื่อว่าหนานพลนำลูกชายมาฝากโยมต้องคิดดีแล้ว เหตุผลอาตมาจะไม่ถามมากนัก ถามอีกเรื่องเดียว หนานพลอยากจะให้มันเรียนอย่างที่เคยเรียนตอนอยู่กับอาตมาใช่ไหม”


“ครับ รบกวนหลวงตาเมตตาช่วยสั่งสอนมันด้วย  ผมบอกหลวงตาได้แต่เพียงว่า เท่าที่ผมรู้ดวงไอ่ลูกชายของผมคนนี้มันแรงนักครับหลวงตาเห็นจะมีเพียงหลวงตาที่จะสั่งสอนมันได้” ชายหนุ่มโน้มตัวลงและยื่นกล่องไม้ขนาดย่อมพอดีมือส่งให้หลวงตา “ผมขอฝากหลวงตาเมตตารักษาไว้ด้วยครับ ใน นั้นมีค่าใช้จ่ายจะใช้อย่างไรก็สุดแต่หลวงตาจะเห็นควรครับ”


“เอาเถิดๆ อาตมารับปากจะดูแลมันเอง อย่าได้ห่วงเลย เร่งทำกิจของหนานพลให้ลุล่วงเถิด สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยัง ประสิทธิเต” พุทธมนต์อันเป็นพรชัยเปล่งสำเนียงเบาๆออกมาจากปากของหลวงตา ชายหนุ่มพนมมือจรดนิ้วชี้ขึ้นระหว่างคิ้วและก้มกราบสามหนด้วยสะท้านเย็นวาบไปทั่วสรรพางค์กาย ในวาระจิตก็เปี่ยมไปด้วยปิติอย่างสุดหยั่งเมื่อได้รับพรมงคลจากอริยสงฆ์ผู้เป็นครูบาอาจารย์แห่งตน


“เชื่อฟังหลวงตานะลูก แล้วพ่อจะรีบกลับมาเมื่องานเสร็จ”ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อยอย่างรักใคร่และอาลัยพลันดึงร่างน้อยนั้นเข้ามากอดแนบแน่น อุทกคลออยู่ในเบ้าตาด้วยกลั้นความห่วงใยเอาไว้ ด้วยรู้ว่างานนี้สำคัญและเสี่ยงภัยอย่างที่สุด กำหนดกลับก็ยังมองไม่เห็น หากจะคาดเดาอย่างน้อยที่สุดก็นานนับเดือน อย่างแย่ก็เคลื่อนไปเป็นปี ร้ายสุดอาจไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันอีกเลย แววตาของชายหนุ่มอ่อนโยนปนเศร้าเสียจนคนที่เคยรู้จักชายหนุ่มผู้นี้ หากได้เห็นแววตาของชายหยนุ่มในยามนี้อาจจะไม่เชื่อว่า....นี่หรือคือชายชาตรีที่เข้มข้นอย่างยิ่ง หนักแน่นในหน้าที่อย่างยิ่ง เป็นผู้ที่บรรลุภารกิจสำคัญอย่างอุกฤษฏ์ต่างๆแล้วมากมายทั้งในและต่างประเทศ จนได้รับความเชื่อถือว่านี่คือหนึ่งในบอดี้การ์ดมืออาชีพที่ดีที่สุดของวงการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ


“ครับพ่อ กลับมาไวๆนะครับ”เด็กน้อยตอบอย่างไร้เดียงสา


“อย่าลืมลงไปในถ้ำไปขอพรจากครูบาอาจารย์ด้วยนะหนานพล” หลวงตาท้วงด้วยจิตเมตตา


ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดนั้นลงและเยื้องกายไปทางหลวงตาและกราบอีกสามหน “ครับ เดี๋ยวผมจะลงไป ผมลาแล้วครับหลวงตา”  แล้วจึงเดินลงจากกุฏิไป ทิ้งไว้แต่เพียงแผ่นหลังให้อยู่ในสายตาเด็กน้อยจนลับตาไปตามทางเดินขึ้นเขาที่อยู่ทางซ้ายของกุฏิ บัดนี้ ชายหนุ่มพร้อมแล้วที่จะลาจากไปสู่หนทางเบื้องหน้าที่ไร้ความมั่นคงและหลักประกันใดๆว่าจะได้กลับมา ทั้งนี้ เพราะเชื่อมั่นว่าได้ฝากฝังแก้วตาดวงใจนั้นไว้ในสถานที่และกับบุคคลที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้เป็นที่สุดเท่าที่เขาได้เคยรู้จักและผ่านโลกมาแล้วอย่างโชกโชน


“เอ้า ไอ่หนู เช็ดน้ำตาเสีย แล้วเอาข้าวของไปเก็บในห้องข้างๆนี่ซะแล้วค่อยมาหาตา” มือน้อยๆปาดน้ำตาอีกหลายหนแล้วจึงหิ้วกระเป๋าผ้าใบเขื่องแล้วจึงคลานผ่านหลวงตาไปยังห้องเล็กๆด้านข้างหลวงตาอึดใจเดียวก็คลานออกมา


“เอาล่ะ ไหนๆดูท่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ก็คงอีกพักใหญ่ ต่อไปนี้มีอะไรก็ขอให้เชื่อฟังตานะไอ่หนูเอ้ย อย่าดื้อ ซนได้แต่อย่าให้คนเขามาฟ้องตาว่าเจ้าไปทำเขาเดือดร้อน”หลวงตากล่าวน้ำเสียงเจือเมตตาปนเฉียบขาดเล็กน้อย


“พ่อของเจ้าน่ะอยู่กับตามาหลายปีร่ำเรียนจบทุกอย่างจนตาสิ้นวิชาที่จะสอนมันแล้ว ต่อไปนี้นอกจากเจ้าจะได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆแล้ว หากเจ้าอยากจะเรียนอย่างที่พ่อเจ้าเคย ต้องเชื่อฟังตา ดูท่าเจ้าฉลาด แววตารึก็กล้าแข็งดี กลัวแต่ได้ดีแล้วจะอวดดีร้อนวิชาเท่านั้น มิน่าเล่าพ่อเจ้าถึงเอามาฝากไว้กับตาหวังให้เอาทางพระข่มเจ้าไว้ ฝากลุงเจ้าไว้อาจจะยุ่งกันพิลึก เอาล่ะ ไอ่หนูพนมมือแล้วหลับตาสิ ขยับมาใกล้ๆ” สิ้นประโยคหลวงตาล้วงมือไปในย่ามที่วางข้างกายหยิบตระกรุดโทนหนึ่งดอกถักเชือกอย่างดีและลงยาจนดำกระด้างดูเข้มขลังมาคล้องคอเด็กน้อย


“นี่เรียกว่าตะกรุดจอมทัพ ห้ามถอดออก ห้ามลอดใต้ราวตากผ้าเด็ดขาด ยังมีห้ามอีกหลายอย่างแต่เจ้ายังเด็กนักจำไว้แค่นี้ก่อน จะทำอะไรก็ใจเย็นๆอย่าใจร้อน เข้าใจไหมไอ่หนู” พูดจบหลวงตาก็เป่าพรวดไปที่กระหม่อมของเด็กน้อย


เด็กน้อยรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว แต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นๆอยู่ที่หน้าอก เมื่อลืมตาขึ้นแล้วก้มมองดูก็เห็นตะกรุดโทนดำมะเมี่ยมคล้องคอตนอยู่ก็ดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ “ครับหลวงตา” เงยหน้าขึ้นมองอย่างถนัดตาใกล้ๆก็เห็นว่าหลวงตาไม่ได้ดูชราเท่าวัย 62 เท่าไรนัก ใบหน้าของหลวงตาดูมีเมตตา หน้าผากกว้าง ศีรษะโล้นนั้นมีผมหงอกขึ้นสั้นเกรียนยาวเท่ากันโดยตลอด จีวรสีน้ำน้ำตาลเข้มแสดงถึงสายอรัญวาสีของหลวงตา รูปกายของหลวงตาค่อนไปทางผอม แต่ผิวนั้นออกขาวเหลืองแม้จะมีริ้วรอยเหี่ยวย่นบ้างตามอนิจจังแห่งกาลเวลา มองโดยรวมแล้วหลวงตากลับดูอ่อนกว่าวัย ในมือหลวงตากำลูกประคำไม้ไว้อย่างหลวมๆ


“อืม..ดี ว่างอนสอนง่ายนะเรา พ่อสอนมาดีไม่เบาพูดจามีหางเสียงต่อผู้ใหญ่ รู้จักมีสัมมาคาราวะ ไปไหนมาไหนผู้ใหญ่เขาจะได้เอ็นดู...เอ้า ดูในบาตรนี่ อยากกินอะไรก็หยิบเอาใส่จาน อิ่มแล้วก็เอาจานไปล้างข้างล่าง”


“ต่อไปนี้อาตมาจะเรียกเจ้าว่า เจ้ารุทรแล้วกันนะ เรียกแล้วก็อย่าช้าล่ะ” หลวงตากล่าวแล้วก็ยิ้มๆที่มุมปาก


เจ้ารุทร ซึ่งบัดนี้เป็นชื่อที่หลวงตาเรียกแทนตัวเด็กน้อยแล้วนั้น มองลงไปในบาตรที่หลวงตายื่นมาให้ เห็นข้าวเหนียวและข้าวจ้าวหลายห่ออยู่ในใบตอง มีหมูปิ้งเสียบไม้อยู่อีกสามไม้ จึงหยิบออกมาใส่จาน แล้วคลานห่างออกมาจากหลวงตามาที่ริมรั้วไม้ติดบันไดหน้ากุฏิ แกะใบตองปั้นข้าวเหนียวใส่ปากและกัดหมูปิ้งจากไม้เคี้ยวผสมไปกับข้าวเหนียว แม้รสชาติของหมูปิ้งควรจะถูกปากอยู่ไม่น้อยกลับจืดชืดเพราะใจของรุทรกลับสั่งให้สายตามองไปที่สุดทางเดินขึ้นเขาที่พ่อเดินลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้


“เจ้ารุทรนี่มันมีดีเกินคนอื่น ดวงมันเกิดมาเหนือคน ชะตามันเกิดมาปกป้องคนอื่น เสียแต่ต้องพรากจากบุพการีไปหลายปีเท่านั้นดวงมันแรงเหลือเกิน จนกว่าจะโตเป็นใหญ่หากอยู่กับฆราวาสก็มีแต่จะต้องคดีร้ายแรง ต้องอยู่กับพระกับเจ้าข่มมันไว้ ปะเหมาะ จังหวะพ่อมันก็มีเคราะห์ต้องห่างไปไม่อย่างนั้นจะบอกให้พ่อมันตัดใจห่างลูกก็คงลำบาก อนิจจังๆ เวทนานัก บุญทำ กรรมแต่งแท้ๆเจ้ารุทรเอ้ย...” หลวงตารู้ขึ้นในใจอย่างทอดอาลัย ด้วยนิมิตรที่พลันแล่นผุดรู้ขึ้นในตัวรู้นับตั้งแต่เห็นหนานพลจูงมือลูกชายเดินขึ้นกุฏิมา แต่ด้วยไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะเอ่ยปากทำนายออกไปให้หนานพลได้รู้แจ้ง จำต้องวางอุเบกขาให้หนานพลได้รู้เพียงแต่ว่าดวงชะตาของลูกตนนั้นแรง แม้เกิดมามีบุญหนัก วาสนาดี แต่ก็มีกรรมหนักอันเกิดจากบุพกรรมต้องเผชิญ แต่ไม่อาจบอกไปว่าบัดนี้ต้องมีการพลัดพรากจากกันชั่วคราว เพราะเคราะห์กรรมของหนานพลคราวนี้นั้น หากมุ่งหน้าไปเผชิญอย่างขาดกำลังใจอันเป็นที่มาของจิตตานุภาพแล้วที่อาจเบาก็ยิ่งจะสาหัสขึ้น หลวงตาหลับตาแล้วระลึกถึงเทวรูปใหญ่ที่อยู่ในถ้ำ พลางกำหนดมโนจิต “มหาเทวะเอ๋ย ภารกิจของเจ้านั้นช่างซับซ้อนนัก ด้วยมหาศิวะมายาแห่งเจ้าทำให้มนุษย์ล้วนวุ่นวายอยู่ในกองกิเลศไม่จบสิ้น แม้จะมีไม่น้อยที่เจ้าชักนำสู่หนทางธรรมได้สำเร็จ ...เอาเถิดในเมื่อเป็นเคราะห์กรรมก็ต้องชดใช้กันไป”

พระแสงจอมนาง ตอนที่ 2 "ถ้ำเทพนมิตรา" http://ppantip.com/topic/30299795
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่