บทความนี้คนเขียนเป็นถึงอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อ่านแล้วโดนใจมาก
บทความโดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ท่านผู้อ่านสงสัยอย่างที่ผู้เขียนสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา ทำไมจึงมีการใส่ร้ายป้ายสี หมิ่นประมาท อาฆาตพระมหากษัตริย์และพระราชินีอย่างรุนแรง อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และ
ไม่เกรงใจคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
ท่านผู้อ่านสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไมนักวิชาการกลุ่มหนึ่งจึงรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอย่างเหลือเกิน ทนไม่ได้กับการที่ยังมี ม.112 กฎหมายอาญาไว้คอยปกป้องคุ้มครองพระมหากษัตริย์ คนไทยหลายคนอาจรู้สึกหงุดหงิดกับรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่มุ่งกล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์ไม่เป็นประชาธิปไตย ล้าหลังไม่พัฒนา ต้องมีการปฏิรูป โดยเสนอขั้นต้นให้มีการแก้ไข ม.112 เพื่อเอาสถาบันกษัตริย์มาวิจารณ์ได้ในที่สาธารณะ ร่วมมือกับฝรั่งขุดคุ้ยเรื่องในอดีตที่ยุติไปแล้วมาเล่นอีก ซึ่งมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากมุ่งบ่อนทำลายพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เป็นการเฉพาะ
หากเปรียบเทียบเหตุการณ์กล่าวร้ายป้ายสี ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ช่วงก่อนการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ถือว่า มีไม่มาก จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า ขณะที่ไทยต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) คอมมิวนิสต์ก็ไม่เคยโจมตีสถาบันกษัตริย์โดยตรง นอกจากใช้คำว่า “เจ้าศักดินาใหญ่” ในเชิงสัญลักษณ์ เพราะ พคท.รู้ดีว่า หากโจมตีสถาบันกษัตริย์เมื่อไร คนไทยจะหันมาสู้กับ พคท.ทันที
เหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค. 2519 เป็นการต่อสู้ห้ำหั่นกันระหว่าง “ฝ่ายซ้ายจัด” และ “ฝ่ายขวาจัด” ที่มีทหารเป็นแกนนำช่วงชิงอำนาจคืนมาหลังจากที่เสียไปใน 14 ต.ค. 2514 มีการปล่อยข่าวที่ยังคาใจ อดีตนักศึกษาบางคนยังติดใจ และเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันมาจนถึงขณะนี้
ในช่วงเฉลิมฉลองครบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. 2535 มี “หนังสือปกเหลือง” โจมตีสถาบันกษัตริย์ออกมาเผยแพร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดทำได้ในที่สุด ก็เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นได้มี “หนังสือปกขาว” ที่คนไทยในสหรัฐจัดทำส่งมาเผยแพร่ในไทยไม่กี่เล่ม
แต่หลังปี 2549 ฝ่ายสูญเสียอำนาจเดินสายต่างประเทศไปเพ็ดทูล กล่าวหาว่า สถาบันสูงสุดอยู่เบื้องหลังการสูญเสียอำนาจของตน บางประเทศก็เชื่อ บางประเทศก็ไม่เชื่อ ทั้งหมดเกิดจากการได้ข้อมูลที่ผิดหรือจินตนาการเอาเอง ในขณะที่บรรดาลูกสมุนในประเทศไทยออกมาปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อ มีเว็บไซต์จากในและต่างประเทศ ใส่ร้ายป้ายสีสถาบันสูงสุด ยุยงให้ปลดรูป ฯลฯ
บางครั้งมีการพูดคุยอยากให้กษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ เช่น สวีเดน ญี่ปุ่น กัมพูชา บางคนไปไกลถึงขนาดเสนอโมเดลโรมานอฟที่ชาวรัสเซีย ฮือล้มพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟ และโมเดลเนปาลที่เพิ่งยกเลิกระบบกษัตริย์ไปเมื่อ 2-3 ปีมานี้ คนที่ออกมาเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ก็เป็นคนกลุ่มเดียว คณะเดียวที่พัวพันกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
คนไทยหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายการเมืองซึ่งต่อสู้กัน ทำไมไปลากเอากษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องด้วย ลามปามไปถึงการย่ำยีพระมหากษัตริย์และพระราชินีทั้งทางตรง และทางอ้อม ฝ่ายการเมืองทะเลาะกันแล้วทำไมถึงต้องเขยิบไปถึงสองพระองค์ด้วย คนไทยยังสงสัยต่อไปว่า เรื่องการล่วงละเมิด จาบจ้วงดูถูกดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์นั้น ทำไมรัฐบาลชุดนี้จึงไม่จัดการทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรง แต่กลับพยายามนิรโทษกรรมคลุมไปถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงว่ารัฐบาลชุดนี้รู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มต่อต้านกษัตริย์หรือเปล่า เพราะภาพของคนกลุ่มนี้แยกไม่ออกกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
นักวิชาการบางคนฉวยโอกาสเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งเป็นเครื่องมือในการปกป้องคุ้มครองกษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องบุคคล คนเหล่านี้ต้องการให้กษัตริย์มีฐานะเหมือนคนธรรมดา ถูกวิจารณ์ได้ ล้อเลียนได้ ให้พระมหากษัตริย์สาบานตนต่อสภาผู้แทนราษฎร ห้ามกษัตริย์มีพระราชดำรัสสดดังเช่นที่เคยมีมาในวันที่ 4 ธ.ค.ของทุกปีที่กษัตริย์มีโอกาสพูดกับพสกนิกรของพระองค์ท่านปีละครั้ง คนไทยสงสัยว่าพวกนี้ต้องการเลิก ม.112 เพื่อเอากษัตริย์มาย่ำยีเพื่อให้ดูไม่มีราคาใช่ไหม และทำไมคนเหล่านี้ดูจะเดือดเนื้อร้อนใจเหลือเกินเมื่อประชาชนยกย่องเทิดทูนกษัตริย์
คนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่พระมหากษัตริย์เลย พระองค์ท่านในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่งไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพเท่ากับพลเมืองไทยเช่นประชาชนทั่วไปได้ พวกเราสามารถพูดอะไรก็ได้ตามใจชอบ ชมคนอื่นดังๆ ก็ได้ ว่าคนอื่นก็ได้ หากถูกละเมิดก็พูดตอบโต้กลับได้ หรือฟ้องศาลได้ แต่พระมหากษัตริย์ไทยไม่สามารถไปฟ้องร้องคนที่กล่าวร้ายป้ายสี อาฆาตพยาบาท หรือตอบโต้ได้ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นไม่จริง แม้แต่ สส.และ สว.ต่างก็ได้รับความคุ้มครองเมื่อพูดอภิปรายในสภา
ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงให้มี ม.112 เพื่อให้ความคุ้มครองแก่พระองค์ท่านโดยที่พระองค์ท่านไม่ได้เรียกร้อง แต่คนไทยให้เอง
ม.112 ไม่ได้คลุมกว้างทั่วไป แต่จำกัดเฉพาะ 4 พระองค์และบุคคลเท่านั้น คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำไมคนเหล่านั้นถึงต้องเดือดร้อนนัก ในขณะที่คนไทยอีกร้อยละ 99 ไม่ได้เดือดร้อนกับมาตรานี้เลย ถ้าคนพวกนี้อยากจะแก้ไข หรือยกเลิก ฯลฯ เคยถามประชาชนบ้างไหม ทำไมไม่ลองเสนอต่อรัฐบาล หรือสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนให้แก้ไข คนไทยก็อยากจะดูว่า รัฐบาลและสภาชุดนี้จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร อย่างไรก็ดี การที่คนกลุ่มนี้เปิดตัวออกมาถือว่าเป็นเรื่องดีแม้อ้างว่าทำไปด้วยเจตนาดี แต่ “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”
ประเทศไทยมี “รากเหง้า” ของตนเองมีประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เรามี “ที่มาที่ไป” ซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่น กฎ กติกาเป็น “ภาพสะท้อน” ของสังคมไทย สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประเทศไทยมาโดยตลอดกว่า 700 ปี สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่หลอมใจคนไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ให้เป็นหนึ่งเดียว สังคมไทยมีอะไรที่มากไปกว่าสิทธิเสรีภาพ การจะทำอะไรต้องคิดถึงคำว่า “กาละ เทศะ” ความเหมาะสม ความควรไม่ควรด้วย
นับแต่ทรงมีพระปฐมบรมราโชบายในพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ 5 พ.ค. 2493 ที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุข แห่งมหาชนชาวสยาม” จนถึงวันนี้ผ่านไป 62 ปีแล้ว พระองค์ท่านทรงทำตามที่ให้สัตย์ปฏิญาณเป็น “สัญญาประชาคม” กับพสกนิกรของพระองค์ทุกประการ
แล้วคนไทยล่ะได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ท่านบ้าง จงอย่าเป็นพลังเงียบ ไม่เช่นนั้น วันหนึ่งเราจะต้องกอดคอกันร้องไห้ เราต้องออกมาแสดงบทบาทเพื่อให้ต่างชาติที่จ้องมองอยู่รู้ว่า คนไทยพร้อมที่จะสู้เพื่อปกป้องในหลวงและสถาบันกษัตริย์ไทย
ที่มา
http://www.posttoday.com
นักการเมืองยื่นปลา... พระราชายื่นเบ็ด
นักการเมืองแจกแท็บเบล็ต... กษัตริย์แนะเคล็ดวิชา
นักการเมืองห่วงอำนาจ... มหาราชห่วงประชา
นักการเมืองสร้างสัญญา... องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม
นักการเมืองหาเรื่องกิน... องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ
นักการเมืองยุให้รำฯ... ในหลวงย้ำให้ทำดี
นักการเมืองมักแบ่งขั้ว... องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี
นักการเมืองทำสี่ปี... องค์ภูมีทำทุกวัน
นักการเมืองชอบแบ่งเสียง...พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน
นักการเมืองคิดสั้น... องค์ราชันย์คิดยาว
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พี่คนดี
๙ กค.๒๕๕๔
พลังเงียบตื่นได้แล้ว
บทความโดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ท่านผู้อ่านสงสัยอย่างที่ผู้เขียนสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา ทำไมจึงมีการใส่ร้ายป้ายสี หมิ่นประมาท อาฆาตพระมหากษัตริย์และพระราชินีอย่างรุนแรง อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และไม่เกรงใจคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
ท่านผู้อ่านสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไมนักวิชาการกลุ่มหนึ่งจึงรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอย่างเหลือเกิน ทนไม่ได้กับการที่ยังมี ม.112 กฎหมายอาญาไว้คอยปกป้องคุ้มครองพระมหากษัตริย์ คนไทยหลายคนอาจรู้สึกหงุดหงิดกับรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่มุ่งกล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์ไม่เป็นประชาธิปไตย ล้าหลังไม่พัฒนา ต้องมีการปฏิรูป โดยเสนอขั้นต้นให้มีการแก้ไข ม.112 เพื่อเอาสถาบันกษัตริย์มาวิจารณ์ได้ในที่สาธารณะ ร่วมมือกับฝรั่งขุดคุ้ยเรื่องในอดีตที่ยุติไปแล้วมาเล่นอีก ซึ่งมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากมุ่งบ่อนทำลายพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เป็นการเฉพาะ
หากเปรียบเทียบเหตุการณ์กล่าวร้ายป้ายสี ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ช่วงก่อนการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ถือว่า มีไม่มาก จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า ขณะที่ไทยต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) คอมมิวนิสต์ก็ไม่เคยโจมตีสถาบันกษัตริย์โดยตรง นอกจากใช้คำว่า “เจ้าศักดินาใหญ่” ในเชิงสัญลักษณ์ เพราะ พคท.รู้ดีว่า หากโจมตีสถาบันกษัตริย์เมื่อไร คนไทยจะหันมาสู้กับ พคท.ทันที
เหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค. 2519 เป็นการต่อสู้ห้ำหั่นกันระหว่าง “ฝ่ายซ้ายจัด” และ “ฝ่ายขวาจัด” ที่มีทหารเป็นแกนนำช่วงชิงอำนาจคืนมาหลังจากที่เสียไปใน 14 ต.ค. 2514 มีการปล่อยข่าวที่ยังคาใจ อดีตนักศึกษาบางคนยังติดใจ และเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันมาจนถึงขณะนี้
ในช่วงเฉลิมฉลองครบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. 2535 มี “หนังสือปกเหลือง” โจมตีสถาบันกษัตริย์ออกมาเผยแพร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดทำได้ในที่สุด ก็เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นได้มี “หนังสือปกขาว” ที่คนไทยในสหรัฐจัดทำส่งมาเผยแพร่ในไทยไม่กี่เล่ม
แต่หลังปี 2549 ฝ่ายสูญเสียอำนาจเดินสายต่างประเทศไปเพ็ดทูล กล่าวหาว่า สถาบันสูงสุดอยู่เบื้องหลังการสูญเสียอำนาจของตน บางประเทศก็เชื่อ บางประเทศก็ไม่เชื่อ ทั้งหมดเกิดจากการได้ข้อมูลที่ผิดหรือจินตนาการเอาเอง ในขณะที่บรรดาลูกสมุนในประเทศไทยออกมาปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อ มีเว็บไซต์จากในและต่างประเทศ ใส่ร้ายป้ายสีสถาบันสูงสุด ยุยงให้ปลดรูป ฯลฯ
บางครั้งมีการพูดคุยอยากให้กษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ เช่น สวีเดน ญี่ปุ่น กัมพูชา บางคนไปไกลถึงขนาดเสนอโมเดลโรมานอฟที่ชาวรัสเซีย ฮือล้มพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟ และโมเดลเนปาลที่เพิ่งยกเลิกระบบกษัตริย์ไปเมื่อ 2-3 ปีมานี้ คนที่ออกมาเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ก็เป็นคนกลุ่มเดียว คณะเดียวที่พัวพันกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
คนไทยหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายการเมืองซึ่งต่อสู้กัน ทำไมไปลากเอากษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องด้วย ลามปามไปถึงการย่ำยีพระมหากษัตริย์และพระราชินีทั้งทางตรง และทางอ้อม ฝ่ายการเมืองทะเลาะกันแล้วทำไมถึงต้องเขยิบไปถึงสองพระองค์ด้วย คนไทยยังสงสัยต่อไปว่า เรื่องการล่วงละเมิด จาบจ้วงดูถูกดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์นั้น ทำไมรัฐบาลชุดนี้จึงไม่จัดการทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรง แต่กลับพยายามนิรโทษกรรมคลุมไปถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงว่ารัฐบาลชุดนี้รู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มต่อต้านกษัตริย์หรือเปล่า เพราะภาพของคนกลุ่มนี้แยกไม่ออกกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
นักวิชาการบางคนฉวยโอกาสเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งเป็นเครื่องมือในการปกป้องคุ้มครองกษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องบุคคล คนเหล่านี้ต้องการให้กษัตริย์มีฐานะเหมือนคนธรรมดา ถูกวิจารณ์ได้ ล้อเลียนได้ ให้พระมหากษัตริย์สาบานตนต่อสภาผู้แทนราษฎร ห้ามกษัตริย์มีพระราชดำรัสสดดังเช่นที่เคยมีมาในวันที่ 4 ธ.ค.ของทุกปีที่กษัตริย์มีโอกาสพูดกับพสกนิกรของพระองค์ท่านปีละครั้ง คนไทยสงสัยว่าพวกนี้ต้องการเลิก ม.112 เพื่อเอากษัตริย์มาย่ำยีเพื่อให้ดูไม่มีราคาใช่ไหม และทำไมคนเหล่านี้ดูจะเดือดเนื้อร้อนใจเหลือเกินเมื่อประชาชนยกย่องเทิดทูนกษัตริย์
คนเหล่านี้ไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่พระมหากษัตริย์เลย พระองค์ท่านในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่งไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพเท่ากับพลเมืองไทยเช่นประชาชนทั่วไปได้ พวกเราสามารถพูดอะไรก็ได้ตามใจชอบ ชมคนอื่นดังๆ ก็ได้ ว่าคนอื่นก็ได้ หากถูกละเมิดก็พูดตอบโต้กลับได้ หรือฟ้องศาลได้ แต่พระมหากษัตริย์ไทยไม่สามารถไปฟ้องร้องคนที่กล่าวร้ายป้ายสี อาฆาตพยาบาท หรือตอบโต้ได้ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นไม่จริง แม้แต่ สส.และ สว.ต่างก็ได้รับความคุ้มครองเมื่อพูดอภิปรายในสภา
ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงให้มี ม.112 เพื่อให้ความคุ้มครองแก่พระองค์ท่านโดยที่พระองค์ท่านไม่ได้เรียกร้อง แต่คนไทยให้เอง
ม.112 ไม่ได้คลุมกว้างทั่วไป แต่จำกัดเฉพาะ 4 พระองค์และบุคคลเท่านั้น คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำไมคนเหล่านั้นถึงต้องเดือดร้อนนัก ในขณะที่คนไทยอีกร้อยละ 99 ไม่ได้เดือดร้อนกับมาตรานี้เลย ถ้าคนพวกนี้อยากจะแก้ไข หรือยกเลิก ฯลฯ เคยถามประชาชนบ้างไหม ทำไมไม่ลองเสนอต่อรัฐบาล หรือสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนให้แก้ไข คนไทยก็อยากจะดูว่า รัฐบาลและสภาชุดนี้จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร อย่างไรก็ดี การที่คนกลุ่มนี้เปิดตัวออกมาถือว่าเป็นเรื่องดีแม้อ้างว่าทำไปด้วยเจตนาดี แต่ “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”
ประเทศไทยมี “รากเหง้า” ของตนเองมีประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ เรามี “ที่มาที่ไป” ซึ่งแตกต่างไปจากประเทศอื่น กฎ กติกาเป็น “ภาพสะท้อน” ของสังคมไทย สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประเทศไทยมาโดยตลอดกว่า 700 ปี สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่หลอมใจคนไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ให้เป็นหนึ่งเดียว สังคมไทยมีอะไรที่มากไปกว่าสิทธิเสรีภาพ การจะทำอะไรต้องคิดถึงคำว่า “กาละ เทศะ” ความเหมาะสม ความควรไม่ควรด้วย
นับแต่ทรงมีพระปฐมบรมราโชบายในพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ 5 พ.ค. 2493 ที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุข แห่งมหาชนชาวสยาม” จนถึงวันนี้ผ่านไป 62 ปีแล้ว พระองค์ท่านทรงทำตามที่ให้สัตย์ปฏิญาณเป็น “สัญญาประชาคม” กับพสกนิกรของพระองค์ทุกประการ
แล้วคนไทยล่ะได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ท่านบ้าง จงอย่าเป็นพลังเงียบ ไม่เช่นนั้น วันหนึ่งเราจะต้องกอดคอกันร้องไห้ เราต้องออกมาแสดงบทบาทเพื่อให้ต่างชาติที่จ้องมองอยู่รู้ว่า คนไทยพร้อมที่จะสู้เพื่อปกป้องในหลวงและสถาบันกษัตริย์ไทย
ที่มา http://www.posttoday.com
นักการเมืองยื่นปลา... พระราชายื่นเบ็ด
นักการเมืองแจกแท็บเบล็ต... กษัตริย์แนะเคล็ดวิชา
นักการเมืองห่วงอำนาจ... มหาราชห่วงประชา
นักการเมืองสร้างสัญญา... องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม
นักการเมืองหาเรื่องกิน... องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ
นักการเมืองยุให้รำฯ... ในหลวงย้ำให้ทำดี
นักการเมืองมักแบ่งขั้ว... องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี
นักการเมืองทำสี่ปี... องค์ภูมีทำทุกวัน
นักการเมืองชอบแบ่งเสียง...พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน
นักการเมืองคิดสั้น... องค์ราชันย์คิดยาว
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พี่คนดี
๙ กค.๒๕๕๔