เรื่องเก่าเล่าอดีต
๑.เรื่องของคนอยากเขียน
คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีความอยาก อะไรต่ออะรในชีวิต ซึ่งพระท่านว่ามันเป็นกิเลสตัวหนึ่ง แต่ความอยากที่อยู่ในส่วนลึกของเรานั้น ก็คือเราอยากจะเป็นนักเขียน หรือที่สมัยโบราณเขาเรียกว่านักประพันธ์
เราจึงเริ่มริเขียนหนังสือเมื่ออายุได้สิบหกปี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องสั้น ส่งไปให้สำนักงานหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ หลังจากที่ได้ลงตะกร้าไปพอสมควรแล้ว ก็ได้ลงพิมพ์เป็นครั้งแรกที่ เมื่อ ตุลาคม ๒๔๙๑ ได้รับค่าเรื่อง ๒๐ บาท แล้วจากนั้นเราก็มีกำลังใจเขียนต่อไปอีกถึง ๑๐ ปี มีเรื่องที่ได้ลงพิมพ์ ในหนังสือพิมพ์และวารสาร รายเดือน รายปักษ์ รายสัปดาห์ รายลอตเตอรี่ และรายวัน อีกหลายสิบเรื่อง แต่ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้า ไม่มีใครรู้จัก ถ้าได้ลงพิมพ์ก็อยู่ในระดับน้องใหม่ตลอดมา โดยเฉพาะค่าเรื่องนั้นได้รับมาเพียง ๔ ราย จากนิตยสารรัตนโกสินทร์ ไทสัปดาห์ เพื่อนบ้าน และ กะดึงทอง เท่านั้น
แค่เราก็ได้เขียนหนังสือมาตลอดเวลา แม้จะไม่มีชื่อเสียง แต่เราก็ไม่เคยย่อท้อ แม้เมื่อรับราชการทหารแล้ว ว่างเมื่อไรเป็นต้องเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทกลอน เรื่องขำขัน เรื่องสั้น สารคดี ส่งไปลงพิมพ์ในนิตยสารของหน่วย ตลอดเวลากว่าสามสิบปีที่รับราชการอยู่ ด้วยนามปากกาที่มากกว่าสิบชื่อ เป็นเวลากว่าสามสิบปี จรครบเกษียณอายุราชการ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕
เมื่อเรามีเวลาว่าง หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือเป็นการใหญ่ ส่งไปตามวารสารต่าง ๆ ทั้งในกองทัพบก และนอกกองทัพบก จนเพื่อนคนหนึ่งเกษียณอายุไล่ ๆ กันปรารภว่า ไอ้หมอนี่อยากดังตอนแก่
ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เราชอบของเราอย่างนี้ เราไม่ได้อยากดังในตอนนี้เท่านั้น เราอยากดังมาตั้ง ๕๐ ปีแล้ว มันก็ไม่ดังสักที แต่เราก็อยู่ของเรามาได้ ถึงจะไม่ดังก็ไม่ได้ว่าอะไร
เมื่อทบทวนดูแล้วก็เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดขึ้นมาว่า เหตุที่ไม่ดังนั้นก็เพราะ เรื่องที่เขียนไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องดีเด่นพอที่จะดังได้ แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้ดีกว่านั้น เพราะขาดปัจจัยหรือส่วนประกอบอีกมาก ก็เลยปลงได้ว่าอย่าคิดหวังต่อไปเลย ว่าจะได้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เอาเป็นว่าอยากเขียนก็เขียนไป ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จึงทู่ซี้เขียนต่อมาจนถึงบัดนี้ โดยเขียนเพื่อสนองความอยากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนสามารถมีผลงานอยู่ในวารสารทั้งในและนอกกองทัพบก อีกมากมายหลายสิบฉบับ ตั้งแต่เริ่มเกษียณ
จนถึงปัจจุบันนี้ก็ค่อย ๆ หดหายลงไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าเพราะนโยบายเปลี่ยนไป หรือว่าเกี่ยวกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่ยังดีที่เหลืออยู่อีก ๒ - ๓ ฉบับซึ่งได้ร่วมงานกันมานาน ยังไม่เปลี่ยนแปลง เราจึงยังมีช่องทางพอที่จะระบาย ข้อเขียน ออกมาสู่เพื่อนทหารได้อย่างสม่ำเสมอ จนหมดสต็อคเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๑ อายุ ๗๗ ปี
เมื่อก่อนที่จะหยุดเขียน บังเอิญมีเรื่องได้ลงพิมพ์ในนิตยสารเก่าแก่ มีชื่อเสียงมากว่าสามสิบ ปี ท่านผู้ใหญ่ในกองบรรณาธิการบอกว่า ควรจะใช้ชื่อจริงเพราะในหนังสือของท่านนั้น มีบรรดา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในอดีตเขียนอยู่เป็นจำนวนมาก เราก็ว่าถึงเราจะใช้นามปากกาหรือใช้ชื่อจริง คนอ่านก็ไม่รู้จักเท่ากัน ไม่เหมือนท่านผู้ใหญ่เหล่านั้น โดยเฉพาะท่านที่เป็นทหารบก
บางท่านก็จบจากโรงเรียนเท็ฆนิค บางท่านก็ผ่านโรงเรียนเตรียมนายร้อยป่าแดง บางท่านก็จบโรงเรียนนายร้อยจีน และบางท่านก็จบหลักสูตรนายร้อยสำรอง แม้จะมีท่านที่เป็นพลทหารเกณฑ์ ท่านก็จบปริญญาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จนกระทั่งเป็นนายพลตำรวจ
ส่วนเราเป็นพลทหารเกณฑ์ธรรมดา แล้วไปเข้าโรงเรียนนายสิบออกมารับราชการ ไต่เต้าจากตำแหน่งต่ำสุดจนถึงสูงสุดได้อย่างไม่คาดฝัน โดยไม่มีปริญญาอะไรทั้งสิ้น นอกจาก สอบเทียบมัธยมหกธรรมดา แล้วไปหาประสบการณ์จากการเป็นลูกจ้างใช้แรงงาน ภารโรง และเสมียน อยู่ ๗ - ๘ ปี ก่อนเข้าเป็นทหาร เท่านั้นเอง
เราเขียนเรื่องลงพิมพ์ในนิตยสาร ฉบับนั้นอยู่ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐ - ๒๕๔๗ ด้วยเรื่องประเภทต่าง ๆ ตามปากกาต่าง ๆ ตามแต่จะผ่านการพิจารณาของบรรณาธิการ ที่มีวัยใกล้เคียงกัน
ซึ่งจะได้นำมาวางให้สมาชิกของห้องสมุดพันทิป เป็นลำดับไป.
##############
เรื่องเก่าเล่าอดีต
๑.เรื่องของคนอยากเขียน
คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีความอยาก อะไรต่ออะรในชีวิต ซึ่งพระท่านว่ามันเป็นกิเลสตัวหนึ่ง แต่ความอยากที่อยู่ในส่วนลึกของเรานั้น ก็คือเราอยากจะเป็นนักเขียน หรือที่สมัยโบราณเขาเรียกว่านักประพันธ์
เราจึงเริ่มริเขียนหนังสือเมื่ออายุได้สิบหกปี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องสั้น ส่งไปให้สำนักงานหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ หลังจากที่ได้ลงตะกร้าไปพอสมควรแล้ว ก็ได้ลงพิมพ์เป็นครั้งแรกที่ เมื่อ ตุลาคม ๒๔๙๑ ได้รับค่าเรื่อง ๒๐ บาท แล้วจากนั้นเราก็มีกำลังใจเขียนต่อไปอีกถึง ๑๐ ปี มีเรื่องที่ได้ลงพิมพ์ ในหนังสือพิมพ์และวารสาร รายเดือน รายปักษ์ รายสัปดาห์ รายลอตเตอรี่ และรายวัน อีกหลายสิบเรื่อง แต่ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้า ไม่มีใครรู้จัก ถ้าได้ลงพิมพ์ก็อยู่ในระดับน้องใหม่ตลอดมา โดยเฉพาะค่าเรื่องนั้นได้รับมาเพียง ๔ ราย จากนิตยสารรัตนโกสินทร์ ไทสัปดาห์ เพื่อนบ้าน และ กะดึงทอง เท่านั้น
แค่เราก็ได้เขียนหนังสือมาตลอดเวลา แม้จะไม่มีชื่อเสียง แต่เราก็ไม่เคยย่อท้อ แม้เมื่อรับราชการทหารแล้ว ว่างเมื่อไรเป็นต้องเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทกลอน เรื่องขำขัน เรื่องสั้น สารคดี ส่งไปลงพิมพ์ในนิตยสารของหน่วย ตลอดเวลากว่าสามสิบปีที่รับราชการอยู่ ด้วยนามปากกาที่มากกว่าสิบชื่อ เป็นเวลากว่าสามสิบปี จรครบเกษียณอายุราชการ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕
เมื่อเรามีเวลาว่าง หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือเป็นการใหญ่ ส่งไปตามวารสารต่าง ๆ ทั้งในกองทัพบก และนอกกองทัพบก จนเพื่อนคนหนึ่งเกษียณอายุไล่ ๆ กันปรารภว่า ไอ้หมอนี่อยากดังตอนแก่
ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เราชอบของเราอย่างนี้ เราไม่ได้อยากดังในตอนนี้เท่านั้น เราอยากดังมาตั้ง ๕๐ ปีแล้ว มันก็ไม่ดังสักที แต่เราก็อยู่ของเรามาได้ ถึงจะไม่ดังก็ไม่ได้ว่าอะไร
เมื่อทบทวนดูแล้วก็เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดขึ้นมาว่า เหตุที่ไม่ดังนั้นก็เพราะ เรื่องที่เขียนไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องดีเด่นพอที่จะดังได้ แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้ดีกว่านั้น เพราะขาดปัจจัยหรือส่วนประกอบอีกมาก ก็เลยปลงได้ว่าอย่าคิดหวังต่อไปเลย ว่าจะได้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เอาเป็นว่าอยากเขียนก็เขียนไป ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น จึงทู่ซี้เขียนต่อมาจนถึงบัดนี้ โดยเขียนเพื่อสนองความอยากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนสามารถมีผลงานอยู่ในวารสารทั้งในและนอกกองทัพบก อีกมากมายหลายสิบฉบับ ตั้งแต่เริ่มเกษียณ
จนถึงปัจจุบันนี้ก็ค่อย ๆ หดหายลงไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าเพราะนโยบายเปลี่ยนไป หรือว่าเกี่ยวกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่ยังดีที่เหลืออยู่อีก ๒ - ๓ ฉบับซึ่งได้ร่วมงานกันมานาน ยังไม่เปลี่ยนแปลง เราจึงยังมีช่องทางพอที่จะระบาย ข้อเขียน ออกมาสู่เพื่อนทหารได้อย่างสม่ำเสมอ จนหมดสต็อคเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๑ อายุ ๗๗ ปี
เมื่อก่อนที่จะหยุดเขียน บังเอิญมีเรื่องได้ลงพิมพ์ในนิตยสารเก่าแก่ มีชื่อเสียงมากว่าสามสิบ ปี ท่านผู้ใหญ่ในกองบรรณาธิการบอกว่า ควรจะใช้ชื่อจริงเพราะในหนังสือของท่านนั้น มีบรรดา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในอดีตเขียนอยู่เป็นจำนวนมาก เราก็ว่าถึงเราจะใช้นามปากกาหรือใช้ชื่อจริง คนอ่านก็ไม่รู้จักเท่ากัน ไม่เหมือนท่านผู้ใหญ่เหล่านั้น โดยเฉพาะท่านที่เป็นทหารบก
บางท่านก็จบจากโรงเรียนเท็ฆนิค บางท่านก็ผ่านโรงเรียนเตรียมนายร้อยป่าแดง บางท่านก็จบโรงเรียนนายร้อยจีน และบางท่านก็จบหลักสูตรนายร้อยสำรอง แม้จะมีท่านที่เป็นพลทหารเกณฑ์ ท่านก็จบปริญญาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จนกระทั่งเป็นนายพลตำรวจ
ส่วนเราเป็นพลทหารเกณฑ์ธรรมดา แล้วไปเข้าโรงเรียนนายสิบออกมารับราชการ ไต่เต้าจากตำแหน่งต่ำสุดจนถึงสูงสุดได้อย่างไม่คาดฝัน โดยไม่มีปริญญาอะไรทั้งสิ้น นอกจาก สอบเทียบมัธยมหกธรรมดา แล้วไปหาประสบการณ์จากการเป็นลูกจ้างใช้แรงงาน ภารโรง และเสมียน อยู่ ๗ - ๘ ปี ก่อนเข้าเป็นทหาร เท่านั้นเอง
เราเขียนเรื่องลงพิมพ์ในนิตยสาร ฉบับนั้นอยู่ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐ - ๒๕๔๗ ด้วยเรื่องประเภทต่าง ๆ ตามปากกาต่าง ๆ ตามแต่จะผ่านการพิจารณาของบรรณาธิการ ที่มีวัยใกล้เคียงกัน
ซึ่งจะได้นำมาวางให้สมาชิกของห้องสมุดพันทิป เป็นลำดับไป.
##############