. วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน พยายามศึกษาให้รู้ลึกไปในระบบ(หรือกฎ)ของธรรมชาติ เพื่อที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากธรรมชาติให้มากที่สุด ซึ่งการแสวงหาผลประโยชน์จากธรรมชาติที่เห็นได้ชัดก็คือการพยามยามควบคุมธรรมชาติเพื่อให้ธรรมชาติให้ผลผลิดกับเราให้ได้มากกว่าที่ธรรมชาติให้มา เช่น การใช้ปุ๋ยเคมี หรือการใช้ยาฆ่าแมลง หรือการตัดแต่งยินส์ของพืชเพื่อให้มีผลผลิตสูง ทนแล้ง และต้านทานโรคหรือแมลงได้ดี หรือการสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำจำนวนมหาศาลเอาไว้ผลิตไฟฟ้า หรือเพื่อการเกษตร หรือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่าของโลกอย่างมากมายเพื่อเอาพื้นที่ป่ามาใช้ในการสร้างบ้านเรือนและทำอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งนี่คือการที่มนุษย์จะพยายามควบคุมธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์แก่ตนเอง โดยหารู้ไม่ว่านี่คือการฝืนธรรมชาติ หรือผิดธรรมชาติ ซึ่งในระยะสั้นนั้นอาจทำได้ แต่ในระยะยาวแล้วจะทำไม่ได้ เพราะในที่สุดก็ไม่มีใครจะต้านทานหรือฝืนธรรมชาติได้ แล้วภัยพิบัติจากการพยายามฝืนธรรมชาติก็จะตามมาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง อย่างเช่น ดินเสีย น้ำเสีย สภาพแวดล้อมเสีย ผลผลิตเสียหาย รวมทั้งภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง เช่น ฝนแล้ง น้ำท่วม ลมพายุ แผ่นดินไหว เป็นต้น ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีการควบคุมความเห็นแก่ตัว
. ส่วนศาสนา (ที่แท้จริง) จะสอนให้ควบคุมจิตใจไม่ให้มนุษย์เห็นแก่ตัว (แม้ศาสนาส่วนใหญ่จะงมงายแต่ก็ยังมีส่วนดีตรงที่สอนให้คนไม่เห็นแก่ตัว) ดังนั้นศาสนาจึงมีส่วนช่วยจรรโลงโลกอยู่แล้วในตัว ถ้าวิทยาศาสตร์เจริญแต่ไม่มีศาสนาโลกก็จะวินาศ ถ้ามนุษย์จะยึดถือในคำสอนของศาสนาที่แท้จริงของทุกศาสนาแล้ว โลกก็จะมีสันติภาพได้ และถ้ายิ่งมนุษย์มีทั้งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาประกอบด้วย มนุษย์ก็จะพบกับความหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างถาวร
วิทยาศาสตร์จะควบคุมธรรมชาติ - ศาสนาสอนให้ควบคุมจิต
. ส่วนศาสนา (ที่แท้จริง) จะสอนให้ควบคุมจิตใจไม่ให้มนุษย์เห็นแก่ตัว (แม้ศาสนาส่วนใหญ่จะงมงายแต่ก็ยังมีส่วนดีตรงที่สอนให้คนไม่เห็นแก่ตัว) ดังนั้นศาสนาจึงมีส่วนช่วยจรรโลงโลกอยู่แล้วในตัว ถ้าวิทยาศาสตร์เจริญแต่ไม่มีศาสนาโลกก็จะวินาศ ถ้ามนุษย์จะยึดถือในคำสอนของศาสนาที่แท้จริงของทุกศาสนาแล้ว โลกก็จะมีสันติภาพได้ และถ้ายิ่งมนุษย์มีทั้งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาประกอบด้วย มนุษย์ก็จะพบกับความหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างถาวร