ผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครออกมาแล้ว
พลตำรวจเอก พงศพัศ พงศ์เจริญจากพรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้ให้กับ มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประมาณหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นกว่าคะแนน
วิเคราะห์เหตุผลแห่งความพ่ายแพ้ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ใน กทม.ยังมั่นคง
ฐานเสียงที่กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้สร้างขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ
สังเกตุได้จากจำนวนสมาชิกสภากรุงเทพมหาครที่พรรคประชาธิปัตย์ครองอยู่ 45 ที่นั่งจาก 61 ที่นั่ง เหลือให้พรรคเพื่อไทยเพียง 15 ที่นั่ง
สังเกตุได้จากจำนวนสมาชิกสภาเขต ที่ที่พรรคประชาธิปัตย์ครองอยู่ 210 ที่นั่งจาก 256 ที่นั่ง เหลือให้พรรคเพื่อไทยเพียง 39 ที่นั่ง
เราต้องทำความเข้าใจว่าสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาคร คือกำลังสำคัญของพรรค
สมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครคือผู้นำคนหนึ่งของแต่ละเขต
คือผู้นำคนหนึ่งของชุมชนในเขตต่างๆ
เป็นผู้มีบารมีในชุมชน สามารถชี้นำประชาชนในชุมชนต่างๆผ่านหัวคะแนนที่จัดตั้งขึ้น
เหตุผลคือสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาคร เป็ฯผู้อยู่ใกล้ชิดประชาชน
มีทีมงานที่เข้าถึงประชาชนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานบวช งานแต่ง
บริการเรื่องคดีความ ช่วยผ่อนหนักผ่อนเบาแก่ประชาชนในพื้นที่
ทำให้สมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาคร
สามารถชี้นำประชาชนในพื้นที่ในการเลือกตั้งผุ้ว่ากรุงเทพมหานครได้เป็นอย่างดี
ทำนองบุญคุณต้องทดแทน
จำนวนสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครที่แตกต่างนี่เอง
ที่ทำให้คะแนนของหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตรไม่ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
แถมยังกลับเพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนคะแนน
ดังนั้นแม้ว่า พลตำรวจเอกพงศ์พัศ พงศ์เจริญ จะได้รับคะแนนในการเลือกตั้งครั้งนี้มากกว่า 1 ล้านตะแนน
แต่โอกาสที่จะเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังค่อนข้างยาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว
มีเวลาอีก 4 ปี ที่พรรคเพื่อไทยจะสร้างฐานเสียงของตนเองใน กทม.
ด้วยการเริ่มคัดเลือกตัวผู้สมัครสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครไว้แต่เนิ่นๆ
และเริ่มลงพื้นที่ทำคะแนนนิยมเสียแต่เวลานี้ เมื่อถึงวันเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครในปี 2557
พรรคเพื่อไทยจะได้มีสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครในจำนวนที่เพิ่มขึ้น
ให้ใกล้เคียงกับพรรคประชาธิปัตย์หรือมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
แล้วการเลือกตั้งผุ้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งต่อไป
พรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสเป็นผู้ชนะเสียที
ความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.
พลตำรวจเอก พงศพัศ พงศ์เจริญจากพรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้ให้กับ มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประมาณหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นกว่าคะแนน
วิเคราะห์เหตุผลแห่งความพ่ายแพ้ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ใน กทม.ยังมั่นคง
ฐานเสียงที่กล่าวถึงพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้สร้างขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ
สังเกตุได้จากจำนวนสมาชิกสภากรุงเทพมหาครที่พรรคประชาธิปัตย์ครองอยู่ 45 ที่นั่งจาก 61 ที่นั่ง เหลือให้พรรคเพื่อไทยเพียง 15 ที่นั่ง
สังเกตุได้จากจำนวนสมาชิกสภาเขต ที่ที่พรรคประชาธิปัตย์ครองอยู่ 210 ที่นั่งจาก 256 ที่นั่ง เหลือให้พรรคเพื่อไทยเพียง 39 ที่นั่ง
เราต้องทำความเข้าใจว่าสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาคร คือกำลังสำคัญของพรรค
สมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครคือผู้นำคนหนึ่งของแต่ละเขต
คือผู้นำคนหนึ่งของชุมชนในเขตต่างๆ
เป็นผู้มีบารมีในชุมชน สามารถชี้นำประชาชนในชุมชนต่างๆผ่านหัวคะแนนที่จัดตั้งขึ้น
เหตุผลคือสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาคร เป็ฯผู้อยู่ใกล้ชิดประชาชน
มีทีมงานที่เข้าถึงประชาชนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานบวช งานแต่ง
บริการเรื่องคดีความ ช่วยผ่อนหนักผ่อนเบาแก่ประชาชนในพื้นที่
ทำให้สมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาคร
สามารถชี้นำประชาชนในพื้นที่ในการเลือกตั้งผุ้ว่ากรุงเทพมหานครได้เป็นอย่างดี
ทำนองบุญคุณต้องทดแทน
จำนวนสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครที่แตกต่างนี่เอง
ที่ทำให้คะแนนของหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตรไม่ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
แถมยังกลับเพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนคะแนน
ดังนั้นแม้ว่า พลตำรวจเอกพงศ์พัศ พงศ์เจริญ จะได้รับคะแนนในการเลือกตั้งครั้งนี้มากกว่า 1 ล้านตะแนน
แต่โอกาสที่จะเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังค่อนข้างยาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว
มีเวลาอีก 4 ปี ที่พรรคเพื่อไทยจะสร้างฐานเสียงของตนเองใน กทม.
ด้วยการเริ่มคัดเลือกตัวผู้สมัครสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครไว้แต่เนิ่นๆ
และเริ่มลงพื้นที่ทำคะแนนนิยมเสียแต่เวลานี้ เมื่อถึงวันเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครในปี 2557
พรรคเพื่อไทยจะได้มีสมาชิกสภาเขตและสมาชิกสภากรุงเทพมหาครในจำนวนที่เพิ่มขึ้น
ให้ใกล้เคียงกับพรรคประชาธิปัตย์หรือมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
แล้วการเลือกตั้งผุ้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งต่อไป
พรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสเป็นผู้ชนะเสียที