เป็นครั้งแรกของผมกับการเขียนบันทึกนักเดินทาง
และเป็นครั้งแรกของผมเช่นกันที่ได้ขึ้นเขาคิชฌกูฏ
เนื่องจากผมมีโปรแกรมต้องเดินทางไปเยี่ยมญาติที่จันทบุรีอยู่แล้วในช่วงวันหยุดยาววันมาฆบูชา (๒๓ - ๒๕ กุมภาพันธ์)
แต่จะให้ไปขึ้นเขาช่วงวันหยุดนั้นก็เกรงผู้คนจะแน่นจนไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็เลยลางานวันศุกร์เพิ่มอีกวัน
แล้วขึ้นเขาในคืนวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์เลย
เดินทางไปถึงวัดพลวงซึ่งเป็นจุดจอดรถ เพื่อจะไปขึ้นรถกระบะไต่ขึ้นเขาพระบาท
ไปถึงก็คนโล่งมาก ยิ้มชอบใจเลยครับ อากาศก็เย็นสบาย คนก็ไม่เยอะ
ในบริเวณวัดก็จะมีโน่นนี่ให้เราทำบุญมากมาย แต่ผมตั้งใจมาแล้วว่าจะทำเฉพาะที่อยากทำเท่านั้น
เพราะถ้าทำทั้งหมด ใจผมก็คงจะไม่สุขสบายเช่นกัน เพราะมันมีโน่นนี่ให้ทำเยอะจริงๆ ครับ
หลังจากที่ไหว้พระ ขอพร เข้าห้องน้ำ ทำธุระโน่นนี่เรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมลุยกันต่อแล้ว
เริ่มจากการซื้อตั๋วรถช่วงแรกราคา ๕๐ บาทต่อคน ได้ตั๋วแล้วก็กระโดดขึ้นหลังรถคันที่จะออกได้เลย
รถที่ผมนั่งออกจากวัดพลวงประมาณ ๒๓ นาฬิกา ใช้เวลาแค่ประมาณ ๑๐ นาทีก็มาถึงจุดเปลี่ยนรถบนเขา
แต่เป็น ๑๐ นาทีที่สนุกเหลือหลาย กับการนั่งกระบะไต่เขาสูงชัน บนถนนลูกรังที่คดไปเลี้ยวมา
และที่จุดเปลี่ยนรถนี่ก็จะมีบริเวณให้เราได้ไหว้พระขอพรกันอีก ผมก็เข้าไปไหว้พระเพิ่มความเป็นมงคลในการเดินทางสักหน่อย
จากนั้นก็พร้อมเดินทางต่อ ต้องไปซื้อตั๋วรถอีกรอบในราคา ๕๐ บาทต่อคน ซื้อเสร็จก็กระโดขึ้นรถได้เลย
รอคนเต็มรถก็ออก จากช่วงนี้ไปจนถึงจุดจอดรถบนยอดเขาอีกครั้งใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาทีเช่นกัน
แต่เส้นทางมันได้ลุ้นกว่าช่วงแรกเยอะ
สิ้นสุดการเดินทางด้วยรถแล้วครับ ระยะทางอีก ๑ กิโลเมตรกว่าๆ ต้องเดินเท้าแล้วครับ
เส้นทางเดินค่อนข้างสะดวกสบายครับ ไม่มีช่วงไหนเดินยากเกินกำลังศรัทธา
ตลอดเส้นทางก็มีโน่นนี่อีกมากมาย ได้เห็นความเชื่อต่างๆ มากมาย
เดินทางมาเรื่อยๆ ผ่านมาทั้งทางดินลาดชัน บันไดปูน บันไดไม้ ก็ใกล้ถึงจุดหมาย นั่น คือรอยพระบาท
ก่อนถึงลานพระบาทก็จะมีรูปปั้นของพระเจ้าตากสินให้ไหว้สักการะกัน
และแล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน ผมก็ขึ้นมาถึงลานพระบาท มีผู้คนทำการสักการะอยู่ประปราย
ทำให้ผมสามารถเข้าไปสักการะรอยพระบาทได้อย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว
หลังจากที่สักการะรอยพระบาทเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินเล่นไปรอบๆ บริเวณนั้น แล้วก็สงสัยว่าทำอะไรดีเนี่ยกว่าจะถึงเช้า
จนได้เดินเข้ามาในศาลาข้างๆ บริเวณลานฯ เห็นผู้แสวงบุญทั้งหลายจับจองพื้นที่นอนพักผ่อนเอาแรงอยู่ สงสัยจะรอถึงเช้าเหมือนผม
ผมก็เลยจัดแจงไปขอเสื่อ หมอน ผ้าห่ม มาไว้เพื่อเตรียมพักผ่อน แล้วค่อยตื่นอีกทีตอนรุ่งเช้า ณ จุดนี้ง่วงมาก
ผมก็งีบหลับเป็นพักๆ แต่มันหลับไม่สนิทจริงๆ ไม่รู้คนอื่นนอนหลับกันได้ยังไง สำหรับผมทั้งแสงไฟ และเสียงโฆสกที่ประกาศอยู่ทั้งคืน
มันยากเกินกว่าที่ผมจะข่มตาให้หลับลงได้ ผมเลยลุกมาตลอดทั้งคืน และก็ได้เห็นว่าผู้คนก็เริ่มหลั่งไหลขึ้นเขาฯ มาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
ยิ่งใกล้เช้า คนก็ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายของผมอีกสิ่งสำหรับการขึ้นเขาฯ ครั้งนี้คือการสวดมนต์ตอนรุ่งสาง และเวลานั้นก็มาถึง ๐๔:๓๐
ใช้เวลาสำหรับพิธีกรรมในช่วงนี้ประมาณ ๑ ชั่วโมง จากนั้นผมก็มาเตรียมตัวเก็บที่หลับที่นอน ทานขนมเติมพลัง
เพราะจุดหมายของเช้านี้คือการเดินไปให้ถึงผ้าแดง แล้วผมก็ได้เดินทางต่อตั้งแต่ยังไม่เห็นแสงตะวัน
เส้นทางลำบากกว่าตอนเดินขึ้นมาถึงลานพระบาทอยู่พอควร แต่ก็นะ ไหนๆ มาแล้ว ขอไปให้ถึง
ตลอดทางเดินก็มีสถานที่สำคัญมากมายให้ได้แวะ ผมฏ้แวะบ้าง ผ่านบ้าง ออมแรงไว้สักหน่อย เกรงว่าจะหมดแรงก่อนถึงผ้าแดง
มีมุมหนึ่งบนเขาสูง ให้ได้มองย้อนกลับไปชมสีสันบริเวณลานพระบาท
ใช้เวลาเดินบ้าง พักบ้าง เกือบหนึ่งชั่วโมงผมก็เดินมาถึง "ลานผ้าแดง" ซึ่งถือเป็นจุดสุดเขตแดนบุญขุนเขาคิชฌกูฏ
ตามความเชื่อที่ว่าให้เขียนคำอธิฐานลงบนผ้าแดง แล้วคำขอนั้นจะเป็นจริง
พักผ่อนตรงจุดนี้สักพัก ก็ค่อยเดินทางกลับมา ผมเลือกที่จะเดินกลับมาทางลานพระบาท (จริงๆ มีทางลัดลงไปยังลานขึ้นรถลงเขา)
อยากกลับมาเก็บภาพโดยแสงของธรรมชาติบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวัง กับแสงแดดอ่อนๆ ที่กำลังสาดส่อง และอากาศเย็นๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า
การได้ขึ้นมาสักการะรอยพระบาทครั้งนี้มันช่างสมบูรณ์แบบสำหรับผมเหลือเกิน
อิ่มอก อิ่มใจ อิ่มบุญอย่างเต็มที่ แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางลงเขา แต่ครานี้ได้เห็นเส้นทางที่ได้เดินขึ้นมาเมื่อคืน
ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ และพลังศรัทธาของผู้คนมากมายที่เริ่มหลั่งไหลมาเพิ่มความเป็นมงคลให้กับชีวิต
สำหรับผม ทริปนี้กำลังจบลงแล้ว กับประสบการณ์ครั้งแรกในการขึ้นสู่ยอดเขาคิชฌกูฏ ยอดเขาแห่งพลังศรัทธา.. สวัสดี
ขึ้นดึก..ลงเช้า.. สักการะรอยพระบาทที่เขาคิชฌกูฏ
และเป็นครั้งแรกของผมเช่นกันที่ได้ขึ้นเขาคิชฌกูฏ
เนื่องจากผมมีโปรแกรมต้องเดินทางไปเยี่ยมญาติที่จันทบุรีอยู่แล้วในช่วงวันหยุดยาววันมาฆบูชา (๒๓ - ๒๕ กุมภาพันธ์)
แต่จะให้ไปขึ้นเขาช่วงวันหยุดนั้นก็เกรงผู้คนจะแน่นจนไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็เลยลางานวันศุกร์เพิ่มอีกวัน
แล้วขึ้นเขาในคืนวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์เลย
เดินทางไปถึงวัดพลวงซึ่งเป็นจุดจอดรถ เพื่อจะไปขึ้นรถกระบะไต่ขึ้นเขาพระบาท
ไปถึงก็คนโล่งมาก ยิ้มชอบใจเลยครับ อากาศก็เย็นสบาย คนก็ไม่เยอะ
ในบริเวณวัดก็จะมีโน่นนี่ให้เราทำบุญมากมาย แต่ผมตั้งใจมาแล้วว่าจะทำเฉพาะที่อยากทำเท่านั้น
เพราะถ้าทำทั้งหมด ใจผมก็คงจะไม่สุขสบายเช่นกัน เพราะมันมีโน่นนี่ให้ทำเยอะจริงๆ ครับ
หลังจากที่ไหว้พระ ขอพร เข้าห้องน้ำ ทำธุระโน่นนี่เรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมลุยกันต่อแล้ว
เริ่มจากการซื้อตั๋วรถช่วงแรกราคา ๕๐ บาทต่อคน ได้ตั๋วแล้วก็กระโดดขึ้นหลังรถคันที่จะออกได้เลย
รถที่ผมนั่งออกจากวัดพลวงประมาณ ๒๓ นาฬิกา ใช้เวลาแค่ประมาณ ๑๐ นาทีก็มาถึงจุดเปลี่ยนรถบนเขา
แต่เป็น ๑๐ นาทีที่สนุกเหลือหลาย กับการนั่งกระบะไต่เขาสูงชัน บนถนนลูกรังที่คดไปเลี้ยวมา
และที่จุดเปลี่ยนรถนี่ก็จะมีบริเวณให้เราได้ไหว้พระขอพรกันอีก ผมก็เข้าไปไหว้พระเพิ่มความเป็นมงคลในการเดินทางสักหน่อย
จากนั้นก็พร้อมเดินทางต่อ ต้องไปซื้อตั๋วรถอีกรอบในราคา ๕๐ บาทต่อคน ซื้อเสร็จก็กระโดขึ้นรถได้เลย
รอคนเต็มรถก็ออก จากช่วงนี้ไปจนถึงจุดจอดรถบนยอดเขาอีกครั้งใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาทีเช่นกัน
แต่เส้นทางมันได้ลุ้นกว่าช่วงแรกเยอะ
สิ้นสุดการเดินทางด้วยรถแล้วครับ ระยะทางอีก ๑ กิโลเมตรกว่าๆ ต้องเดินเท้าแล้วครับ
เส้นทางเดินค่อนข้างสะดวกสบายครับ ไม่มีช่วงไหนเดินยากเกินกำลังศรัทธา
ตลอดเส้นทางก็มีโน่นนี่อีกมากมาย ได้เห็นความเชื่อต่างๆ มากมาย
เดินทางมาเรื่อยๆ ผ่านมาทั้งทางดินลาดชัน บันไดปูน บันไดไม้ ก็ใกล้ถึงจุดหมาย นั่น คือรอยพระบาท
ก่อนถึงลานพระบาทก็จะมีรูปปั้นของพระเจ้าตากสินให้ไหว้สักการะกัน
และแล้วเวลาประมาณเที่ยงคืน ผมก็ขึ้นมาถึงลานพระบาท มีผู้คนทำการสักการะอยู่ประปราย
ทำให้ผมสามารถเข้าไปสักการะรอยพระบาทได้อย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว
หลังจากที่สักการะรอยพระบาทเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินเล่นไปรอบๆ บริเวณนั้น แล้วก็สงสัยว่าทำอะไรดีเนี่ยกว่าจะถึงเช้า
จนได้เดินเข้ามาในศาลาข้างๆ บริเวณลานฯ เห็นผู้แสวงบุญทั้งหลายจับจองพื้นที่นอนพักผ่อนเอาแรงอยู่ สงสัยจะรอถึงเช้าเหมือนผม
ผมก็เลยจัดแจงไปขอเสื่อ หมอน ผ้าห่ม มาไว้เพื่อเตรียมพักผ่อน แล้วค่อยตื่นอีกทีตอนรุ่งเช้า ณ จุดนี้ง่วงมาก
ผมก็งีบหลับเป็นพักๆ แต่มันหลับไม่สนิทจริงๆ ไม่รู้คนอื่นนอนหลับกันได้ยังไง สำหรับผมทั้งแสงไฟ และเสียงโฆสกที่ประกาศอยู่ทั้งคืน
มันยากเกินกว่าที่ผมจะข่มตาให้หลับลงได้ ผมเลยลุกมาตลอดทั้งคืน และก็ได้เห็นว่าผู้คนก็เริ่มหลั่งไหลขึ้นเขาฯ มาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
ยิ่งใกล้เช้า คนก็ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายของผมอีกสิ่งสำหรับการขึ้นเขาฯ ครั้งนี้คือการสวดมนต์ตอนรุ่งสาง และเวลานั้นก็มาถึง ๐๔:๓๐
ใช้เวลาสำหรับพิธีกรรมในช่วงนี้ประมาณ ๑ ชั่วโมง จากนั้นผมก็มาเตรียมตัวเก็บที่หลับที่นอน ทานขนมเติมพลัง
เพราะจุดหมายของเช้านี้คือการเดินไปให้ถึงผ้าแดง แล้วผมก็ได้เดินทางต่อตั้งแต่ยังไม่เห็นแสงตะวัน
เส้นทางลำบากกว่าตอนเดินขึ้นมาถึงลานพระบาทอยู่พอควร แต่ก็นะ ไหนๆ มาแล้ว ขอไปให้ถึง
ตลอดทางเดินก็มีสถานที่สำคัญมากมายให้ได้แวะ ผมฏ้แวะบ้าง ผ่านบ้าง ออมแรงไว้สักหน่อย เกรงว่าจะหมดแรงก่อนถึงผ้าแดง
มีมุมหนึ่งบนเขาสูง ให้ได้มองย้อนกลับไปชมสีสันบริเวณลานพระบาท
ใช้เวลาเดินบ้าง พักบ้าง เกือบหนึ่งชั่วโมงผมก็เดินมาถึง "ลานผ้าแดง" ซึ่งถือเป็นจุดสุดเขตแดนบุญขุนเขาคิชฌกูฏ
ตามความเชื่อที่ว่าให้เขียนคำอธิฐานลงบนผ้าแดง แล้วคำขอนั้นจะเป็นจริง
พักผ่อนตรงจุดนี้สักพัก ก็ค่อยเดินทางกลับมา ผมเลือกที่จะเดินกลับมาทางลานพระบาท (จริงๆ มีทางลัดลงไปยังลานขึ้นรถลงเขา)
อยากกลับมาเก็บภาพโดยแสงของธรรมชาติบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวัง กับแสงแดดอ่อนๆ ที่กำลังสาดส่อง และอากาศเย็นๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า
การได้ขึ้นมาสักการะรอยพระบาทครั้งนี้มันช่างสมบูรณ์แบบสำหรับผมเหลือเกิน
อิ่มอก อิ่มใจ อิ่มบุญอย่างเต็มที่ แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางลงเขา แต่ครานี้ได้เห็นเส้นทางที่ได้เดินขึ้นมาเมื่อคืน
ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ และพลังศรัทธาของผู้คนมากมายที่เริ่มหลั่งไหลมาเพิ่มความเป็นมงคลให้กับชีวิต
สำหรับผม ทริปนี้กำลังจบลงแล้ว กับประสบการณ์ครั้งแรกในการขึ้นสู่ยอดเขาคิชฌกูฏ ยอดเขาแห่งพลังศรัทธา.. สวัสดี