ความมืดเริ่มครอบคลุมบริเวณโดยรอบ อากาศเริ่มทวีความหนาวเย็น ทว่าความเหนื่อยทำให้ร่างกายผมรู้สึกอบอุ่น...ได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่ชัดเจน นี่แค่เพียงการเริ่มต้น ที่ผมต้องเดินเท้าขึ้นเขาอันสูงชัน...
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้เลยว่า จะมีสถานที่ไหนที่ผู้คนต่างมารวมตัวโดยพร้อมเพรียงกัน และมิใช่การรวมตัวกันของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นคนทั่วทั้งประเทศ ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการได้มาสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนยอดเขา นั่นคือ รอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาในเขตจังหวัดจันทบุรี
ขึ้นชื่อว่า เป็นรอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่สูงที่สุดในประเทศไทย ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ชาวพุทธศาสนิกชนจักต้องมากราบไหว้สักการะ และที่สำคัญคือการขอพรแล้วหลายท่านประสบผลดั่งตั้งใจ...
มนต์เสน่ห์อันน่าทึ่ง ที่หลายคนต่างกล่าวขาน ทำให้ผมต้องเดินทางมาที่นี่... “เขาคิชฌกูฏ”
อีกหนึ่งเส้นทางแสวงบุญที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย เสน่ห์อันน่าหลงใหล ความสวยงามของธรรมชาติดึงดูดผู้คนเข้ามาเยี่ยมชม สำคัญยิ่งกว่านั้น คือความศรัทธาของสาธุชนที่เชื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ การขอพรที่สัมฤทธิ์ผล หลายต่อหลายคน สมหวังก็กลับมาอีก...และปีหนึ่งๆ นั้น เขาแห่งนี้เปิดรับให้ผู้คนเดินทางเข้ามาในระยะเวลาเพียงแค่ ๒ เดือนเท่านั้น....
ผมเองมิได้ต้องการพิสูจน์ความศรัทธาของตน และมิได้ต้องการพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์อื่นใดทั้งสิ้น สิ่งที่ผมมุ่งหวังกับเป้าหมายของการเดินทางมาครั้งนี้ คือ การปฏิบัติภาวนา...เจริญสติ ในทุกๆ ย่างก้าว ที่ผม “เดิน”
รถโฟวิล เร่งเครื่องกระหึ่ม เสียงร้องกรี๊ดของผู้โดยสารท้ายรถที่ถูกดัดแปลงเป็นที่นั่งสองแถวดังเป็นระยะ รับจังหวะการตีโค้งของรถกระบะในเส้นทางอันน่าหวาดเสียว...บนเส้นทางในพื้นที่ป่า เลาะริมเส้นทางรถ ผมเดินอยู่กับเพื่อนร่วมทางไม่กี่คน ต่างคนต่างมุ่งหน้าเดินเพื่อถึงที่หมายในช่วงแรก ลานพระเจดีย์ จุดเปลี่ยนรถช่วงสอง
ความมืดปกคลุมป่าโดยรอบ แต่เส้นทางเท้าในช่วงแรกได้รับการอำนวยความสะดวกด้วยหลอดไฟนีออนดวงกลม ห้อยบนต้นไม้ตามรายทางอยู่บ้างประปราย ทว่าผมก็แค่มองเห็นเส้นทางแค่ลางๆ ทอดอยู่ตรงหน้า เป็นเส้นทางที่นักแสวงบุญหลายต่อหลายท่านต้องเดินผ่าน จุดเริ่มต้นของการเดินอยู่ที่ “วัดพลวง” เกือบชั่วโมงแล้วที่ผมเดินภาวนา เจริญสติในทุกๆ ย่างก้าว แต่ความเหนื่อย และเส้นทางที่ขรุขระที่ต้องคอยระมัดระวังการสะดุด ทำให้บางเวลา ต้องขาดสติจนลืมการภาวนาไปโดยไม่รู้ตัว...
การเดินขึ้นเขาครั้งนี้ ผมตั้งใจมาปฏิบัติภาวนา หากทว่าการรู้ตัวเองว่า ช่วงไหนขาดสติ ช่วงไหนมีสติ ก็ให้เสมือนว่า เรารู้สภาวะใจของตน ไม่เคร่งจนเครียด และไม่หย่อนยานจนลืมตน การเดินเพื่อเจริญสติของผมก็ใช้วิธีการแบบนี้แหละครับ...
ชั่วโมงที่ ๒ ผ่านไป ผมก็เดินมาถึงลานเจดีย์หิน เป็นจุดต่อรถเพื่อเดินทางไปสู่ช่วงที่สอง ผมแวะพักเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้หายเหนื่อยในจุดนี้...
เสียงประกาศเชิญชวนให้สาธุชนร่วมทำบุญดังมิได้ขาด บนลานเจดีย์หิน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบสักการะหลายอย่าง พระพุทธเมตตา เจ้าแม่กวนอิม พระพิฆเนศวร์ ศาลปู่ฤๅษี และซุ้มทำบุญต่างๆ มีวัตถุมงคลวางจำหน่ายอยู่ด้านหน้า พร้อมด้วยผู้คนที่คลาคล่ำมิได้ขาดสาย มีร้านค้าขายของเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้แสวงบุญอยู่ด้วย
ณ จุดนี้ ผมกราบพระพุทธเมตตา บนลานเจดีย์หิน ด้านข้างมีพระสงฆ์คอยรดน้ำมนต์ พร้อมแจกตะกรุดข้อมือ ผมได้รับมา ๑ เส้น ก่อนหยิบธนบัตรใบละ ๒๐ บาทหย่อนลงตู้ กราบท่านแล้วลุกออกมานั่งพักให้หายเหนื่อยชั่วครู่ เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อในเส้นทางเดินเท้าช่วงที่ ๒
ดื่มน้ำพอคลายเหนื่อย ดับกระหาย แม้นจะเหนื่อย แต่เหงื่อก็มิได้ทำให้เนื้อตัวเปียกชุ่ม เพราะความเย็นของอากาศ แม้จะอยู่ในช่วงปลายหนาว อากาศบนเขาคิชฌกูฏ ก็เหมือนจะไม่มีท่าทีคลายความหนาวเย็นลงเลย...
เลาะริมทางรถยนต์ไปได้สักระยะ ผมเห็นเส้นทางตัดลัดเข้าป่าที่มืด ไม่มีแสงไฟบอกทางเหมือนเส้นทางเดินในช่วงแรก ผมตัดเข้าทางเดินด้านขวามือมาไม่กี่ก้าว ก็ไม่สารถมองเห็นทางเดินแล้ว เอื้อมไปหยิบไฟฉายขนาดพกพาจากเป้หลัง ส่องทางตรงหน้าได้ไม่เกินสามก้าว...นี่เป็นเส้นทางลัดที่ต้องเดินผ่านป่า ห่างจากทางรถพอสมควร ...ผมชอบการเดินในช่วงนี้มาก ไม่มีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ ไม่ค่อยมีคนมาเดินร่วมทางด้วย ส่องไปฉายออกไปโดยรอบก็เห็นแต่ต้นไม้ กับก้อนหิน...
เสียงเร่งเครื่องถูกแทนที่ด้วยเสียงเรไร แม้นจะมีแว่วเสียงเครื่องยนต์มาไกลๆ แต่ก็มิได้ดังกว่าสรรพสำเนียงของพงไพรยามดึกที่ผมแฝงกายเข้ามาอยู่ในตอนนี้...
การภาวนาเริ่มต้นอีกครั้ง เสียงฝีเท้าเหยียบก้อนกรวดดังชัดเจนกว่าช่วงแรกที่ผ่านมามาก หัวใจเริ่มทำงานหนักขึ้น ดังตึกตักๆ ชัดอยู่ตรงราวนม ...ลืมบอกไปว่า...จุดอ่อนของผมข้อหนึ่ง คือ “เป็นคนกลัวความมืด” ไม่ใช่อะไร เพียงเพราะผม “กลัวผี”
พระท่านว่า บนผืนป่าเขตเขาดงดอย ต้นไม้ทุกต้นมี “รุกขเทวดา” สถิตอยู่ ผมถือเอาว่า “ผมมีเพื่อนเป็น รุกขเทวดา ที่อยู่ในต้นไม้ทุกต้นที่ขึ้นอยู่รอบกายผม...ประกอบกับการภาวนา เจริญสติ ทำให้คลายความหวาดกลัวไปได้มากทีเดียว...
โดยเฉพาะบนขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คงไม่มี “ผี” ตนไหนกล้าเข้ามาทำร้ายผมเป็นแน่...เป็นคำปลอบใจที่ผมคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ...
ผมขึ้นเขาคิชฌกูฏครั้งนี้คนเดียว แต่ก็มิได้หมายความว่า ผมจะไม่กล้าเดินคนเดียวในเส้นทางเดินเท้าลัดป่าเส้นนี้...อย่างน้อยๆ ก็เป็นการฝึกจิตใจของตนให้เอาชนะความกลัวที่มีอยู่ได้...ผมเดินผ่านต้นไม้ และและโขดหินที่ขวางอยู่ตรงหน้าเหมือนจะไม่มีสิ้นสุด...ความลาดชันของเส้นทางทำให้ผมลื่นไถลเป็นระยะๆ
เข้าชั่วโมงที่ ๔ ผมเดินมาได้ค่อนทาง ความล้าเกาะกุมที่ข้อเข่า ตลอดระยะการเดิน ผมพักอยู่ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้เร่งรีบเดิน บวกกับอากาศหนาวเย็นทำให้ไม่เหนื่อยมากเกินกำลัง ตลอดระยะทางที่เดิน ผมประคองสติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่โดยมากจะเผลอ เดินด้วยความเพลินมากกว่าเดินแบบมีสติ แต่ก็ยังดีครับ...เราได้มาฝึกบ้าง แม้จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างน้อยก็ได้ลอง...
ลัดป่ามาอีกไม่นาน เริ่มยินเสียงประกาศจากโฆษกเรียกสาธุชนทำบุญดังแว่วมา เป็นสัญญาณว่า เราใกล้ถึงยอดเขาแล้ว กำลังวังชากระเตื้องขึ้นมาทันที ผมจึงรีบเดินต่อเพื่อให้ถึงเร็วที่สุด...จะได้พักกายบ้าง
เส้นทางเดินที่ผมลัดมานี้ ไม่ได้ผ่านลานพระสีวลี อันเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อกับจุดจอดรถช่วงสุดท้าย ออกจากเขตป่าที่ลาดชันมาไม่นาน ขวามือผมเป็นลานปูนกว้าง ไว้สำหรับจอดเฮลิคอปเตอร์ ผมเดินเลาะเลียวซ้ายไปนั่งพักในเต็นท์บริการอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อจะเข้าห้องน้ำบริเวณใกล้เคียงกันนั้น ล้างหน้าล้างตาเสร็จสรรพ ก็เตรียมแวะเข้าไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท...
ผู้คนแน่นขนัด สองฝั่งเต็มไปด้วยกุฏิชั่วคราวสำหรับพระสงฆ์ที่มาปฏิบัติธรรมในช่วงเปิดเขา บ้างขึงกั้นด้วยเต็นท์ผ้าใบเขียวเข้ม บ้างเป็นผนังไม้ไผ่ที่สานอย่างแน่นหนา สภาพอาการที่เปียกชื้นบวกกับความหนาวเย็นทำให้ผมเริ่มสั่น จึงหยิบเสื้อกันหนาวจากเป้มาใส่...
เบียดเสียดกับสาธุชนผู้ศรัทธาที่รวมใจกันมาแสวงบุญมาถึงจุดหน้าลานหินพระบาตร บริเวณลานหิน คือที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทพลวง รอยพระพุทธบาทที่ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และอยู่สูงที่สุดในเมืองไทย ก่อนขึ้นมาผมเตรียมเม็ดพลอย กับดาวเรืองติดมาด้วย แต่มาบูชาธูปเทียนและแผ่นทองคำเปลวที่ข้างบน บริเวณนี้ห้ามจุดธูปเทียน เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยของเหล่าผู้แสวงบุญเอง...
กล่าวคำบูชา น้อมลงกราบรอยพระพุทธบาท โรยเม็ดพลอย วางธูปเทียนบนรอยพระพุทธบาท ก่อนที่จะปิดแผ่นทองลงไป และเหลือไว้ปิดหินลูกพระบาตร เพื่อแสดงความนอบน้อมแต่หน้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดถือไตรสรณะเป็นที่พึ่ง ที่อาศัยของจิตใจ พร้อมอธิษฐานในใจเพื่อผลสำเร็จของตน...
ว่ากันว่า มาขออธิษฐานขอพรที่นี่ ต้องขอเพียงข้อเดียวเท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผล...ผมว่า ดีเหมือนกัน ถือเป็นอุบายขจัดความโลภในจิตใจเรา ไม่ต้องขออะไรให้มากมาย ให้ลำบากเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากวาสนาใครมี บุญใครทำมามาก เมื่อถึงคราวสนองผล ท่านแทบไม่ต้องร้องขออะไร ก็ต้องได้อย่างที่เคยทำมาครับ...
เส้นทางบนยอดเขาคิชฌกูฏมิได้สิ้นสุดลงแค่นี้ครับ...หากยังมีเส้นทางเดินบนยอดเขาอีกเส้นทางหนึ่ง ผมชอบเส้นทางนี้มาก เพราะให้บรรยากาศเหมือนเราหลงเข้าไปในแดดสนธยาครับ เวลาเดินในยามค่ำคืนบนแสงสลัวๆ ของดวงไฟ มีหมอกหนาอันชุ่มเย็นลอยตัดผ่าน...นี่ให้บรรยากาศมากจนลืมความเหน็ดเหนื่อยที่เดินมาตลอด ๕ ชั่วโมง เส้นทางนี้ไปสิ้นสุดที่เขตผ้าแดงครับ...
บอกไว้ก่อนเลยว่า ...สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาแห่งนี้ มีมากมายนัก หากมีเวลามาแค่คืนเดียวและท่านตั้งใจไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ครบทุกที่ รับรองว่า ท่านจะลุกนั่งก้มยืน ไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งครับ...
ส่วนบรรยากาศบนยอดเขาเป็นอย่างไร ขอท่านรับชมภาพเหล่านี้ครับ....
ถ้ำฤๅษี บริเวณใต้ลานพระบาตร
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
บรรยากาศสุดบรรยาย
รอยเสือใหญ่
หินรูปช้าง
มากมายไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทางขึ้นเขา หากท่านขึ้นรถมาลงจุดจอดรถลานพระสีวลี
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสวยงามทั้งหมดบนยอดเขาคิชฌกูฏที่ผมมิอาจบรรยาได้หมดภายในกระทู้เดียว ...หากท่านต้องการสัมผัสด้วยตนเอง และคั้งเป้าหมายไว้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้ ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยนะครับ...ปี ๒๕๕๙ นี้ เขาคิชฌกูฏจะเปิดให้สาธุชนแสวงบุญในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ - ๘ เมษายน ๒๕๕๙ นี้ เพียง ๒ เดือนเท่านั้นครับ...
...ท้ายนี้ ขออำนวยพรให้ทุกท่านประสบโชค ประสบชัย มีจิตใจตั้งมั่นในคุณงามความดี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวตลอดไปครับ...
“เดินไปด้วยใจศรัทธา อมตะตำนานแห่งขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ...สักการะรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี”
ความมืดเริ่มครอบคลุมบริเวณโดยรอบ อากาศเริ่มทวีความหนาวเย็น ทว่าความเหนื่อยทำให้ร่างกายผมรู้สึกอบอุ่น...ได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่ชัดเจน นี่แค่เพียงการเริ่มต้น ที่ผมต้องเดินเท้าขึ้นเขาอันสูงชัน...
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้เลยว่า จะมีสถานที่ไหนที่ผู้คนต่างมารวมตัวโดยพร้อมเพรียงกัน และมิใช่การรวมตัวกันของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นคนทั่วทั้งประเทศ ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการได้มาสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนยอดเขา นั่นคือ รอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาในเขตจังหวัดจันทบุรี
ขึ้นชื่อว่า เป็นรอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่สูงที่สุดในประเทศไทย ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ชาวพุทธศาสนิกชนจักต้องมากราบไหว้สักการะ และที่สำคัญคือการขอพรแล้วหลายท่านประสบผลดั่งตั้งใจ...
มนต์เสน่ห์อันน่าทึ่ง ที่หลายคนต่างกล่าวขาน ทำให้ผมต้องเดินทางมาที่นี่... “เขาคิชฌกูฏ”
อีกหนึ่งเส้นทางแสวงบุญที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย เสน่ห์อันน่าหลงใหล ความสวยงามของธรรมชาติดึงดูดผู้คนเข้ามาเยี่ยมชม สำคัญยิ่งกว่านั้น คือความศรัทธาของสาธุชนที่เชื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ การขอพรที่สัมฤทธิ์ผล หลายต่อหลายคน สมหวังก็กลับมาอีก...และปีหนึ่งๆ นั้น เขาแห่งนี้เปิดรับให้ผู้คนเดินทางเข้ามาในระยะเวลาเพียงแค่ ๒ เดือนเท่านั้น....
ผมเองมิได้ต้องการพิสูจน์ความศรัทธาของตน และมิได้ต้องการพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์อื่นใดทั้งสิ้น สิ่งที่ผมมุ่งหวังกับเป้าหมายของการเดินทางมาครั้งนี้ คือ การปฏิบัติภาวนา...เจริญสติ ในทุกๆ ย่างก้าว ที่ผม “เดิน”
รถโฟวิล เร่งเครื่องกระหึ่ม เสียงร้องกรี๊ดของผู้โดยสารท้ายรถที่ถูกดัดแปลงเป็นที่นั่งสองแถวดังเป็นระยะ รับจังหวะการตีโค้งของรถกระบะในเส้นทางอันน่าหวาดเสียว...บนเส้นทางในพื้นที่ป่า เลาะริมเส้นทางรถ ผมเดินอยู่กับเพื่อนร่วมทางไม่กี่คน ต่างคนต่างมุ่งหน้าเดินเพื่อถึงที่หมายในช่วงแรก ลานพระเจดีย์ จุดเปลี่ยนรถช่วงสอง
ความมืดปกคลุมป่าโดยรอบ แต่เส้นทางเท้าในช่วงแรกได้รับการอำนวยความสะดวกด้วยหลอดไฟนีออนดวงกลม ห้อยบนต้นไม้ตามรายทางอยู่บ้างประปราย ทว่าผมก็แค่มองเห็นเส้นทางแค่ลางๆ ทอดอยู่ตรงหน้า เป็นเส้นทางที่นักแสวงบุญหลายต่อหลายท่านต้องเดินผ่าน จุดเริ่มต้นของการเดินอยู่ที่ “วัดพลวง” เกือบชั่วโมงแล้วที่ผมเดินภาวนา เจริญสติในทุกๆ ย่างก้าว แต่ความเหนื่อย และเส้นทางที่ขรุขระที่ต้องคอยระมัดระวังการสะดุด ทำให้บางเวลา ต้องขาดสติจนลืมการภาวนาไปโดยไม่รู้ตัว...
การเดินขึ้นเขาครั้งนี้ ผมตั้งใจมาปฏิบัติภาวนา หากทว่าการรู้ตัวเองว่า ช่วงไหนขาดสติ ช่วงไหนมีสติ ก็ให้เสมือนว่า เรารู้สภาวะใจของตน ไม่เคร่งจนเครียด และไม่หย่อนยานจนลืมตน การเดินเพื่อเจริญสติของผมก็ใช้วิธีการแบบนี้แหละครับ...
ชั่วโมงที่ ๒ ผ่านไป ผมก็เดินมาถึงลานเจดีย์หิน เป็นจุดต่อรถเพื่อเดินทางไปสู่ช่วงที่สอง ผมแวะพักเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้หายเหนื่อยในจุดนี้...
เสียงประกาศเชิญชวนให้สาธุชนร่วมทำบุญดังมิได้ขาด บนลานเจดีย์หิน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบสักการะหลายอย่าง พระพุทธเมตตา เจ้าแม่กวนอิม พระพิฆเนศวร์ ศาลปู่ฤๅษี และซุ้มทำบุญต่างๆ มีวัตถุมงคลวางจำหน่ายอยู่ด้านหน้า พร้อมด้วยผู้คนที่คลาคล่ำมิได้ขาดสาย มีร้านค้าขายของเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้แสวงบุญอยู่ด้วย
ณ จุดนี้ ผมกราบพระพุทธเมตตา บนลานเจดีย์หิน ด้านข้างมีพระสงฆ์คอยรดน้ำมนต์ พร้อมแจกตะกรุดข้อมือ ผมได้รับมา ๑ เส้น ก่อนหยิบธนบัตรใบละ ๒๐ บาทหย่อนลงตู้ กราบท่านแล้วลุกออกมานั่งพักให้หายเหนื่อยชั่วครู่ เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อในเส้นทางเดินเท้าช่วงที่ ๒
ดื่มน้ำพอคลายเหนื่อย ดับกระหาย แม้นจะเหนื่อย แต่เหงื่อก็มิได้ทำให้เนื้อตัวเปียกชุ่ม เพราะความเย็นของอากาศ แม้จะอยู่ในช่วงปลายหนาว อากาศบนเขาคิชฌกูฏ ก็เหมือนจะไม่มีท่าทีคลายความหนาวเย็นลงเลย...
เลาะริมทางรถยนต์ไปได้สักระยะ ผมเห็นเส้นทางตัดลัดเข้าป่าที่มืด ไม่มีแสงไฟบอกทางเหมือนเส้นทางเดินในช่วงแรก ผมตัดเข้าทางเดินด้านขวามือมาไม่กี่ก้าว ก็ไม่สารถมองเห็นทางเดินแล้ว เอื้อมไปหยิบไฟฉายขนาดพกพาจากเป้หลัง ส่องทางตรงหน้าได้ไม่เกินสามก้าว...นี่เป็นเส้นทางลัดที่ต้องเดินผ่านป่า ห่างจากทางรถพอสมควร ...ผมชอบการเดินในช่วงนี้มาก ไม่มีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ ไม่ค่อยมีคนมาเดินร่วมทางด้วย ส่องไปฉายออกไปโดยรอบก็เห็นแต่ต้นไม้ กับก้อนหิน...
เสียงเร่งเครื่องถูกแทนที่ด้วยเสียงเรไร แม้นจะมีแว่วเสียงเครื่องยนต์มาไกลๆ แต่ก็มิได้ดังกว่าสรรพสำเนียงของพงไพรยามดึกที่ผมแฝงกายเข้ามาอยู่ในตอนนี้...
การภาวนาเริ่มต้นอีกครั้ง เสียงฝีเท้าเหยียบก้อนกรวดดังชัดเจนกว่าช่วงแรกที่ผ่านมามาก หัวใจเริ่มทำงานหนักขึ้น ดังตึกตักๆ ชัดอยู่ตรงราวนม ...ลืมบอกไปว่า...จุดอ่อนของผมข้อหนึ่ง คือ “เป็นคนกลัวความมืด” ไม่ใช่อะไร เพียงเพราะผม “กลัวผี”
พระท่านว่า บนผืนป่าเขตเขาดงดอย ต้นไม้ทุกต้นมี “รุกขเทวดา” สถิตอยู่ ผมถือเอาว่า “ผมมีเพื่อนเป็น รุกขเทวดา ที่อยู่ในต้นไม้ทุกต้นที่ขึ้นอยู่รอบกายผม...ประกอบกับการภาวนา เจริญสติ ทำให้คลายความหวาดกลัวไปได้มากทีเดียว...
โดยเฉพาะบนขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คงไม่มี “ผี” ตนไหนกล้าเข้ามาทำร้ายผมเป็นแน่...เป็นคำปลอบใจที่ผมคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ...
ผมขึ้นเขาคิชฌกูฏครั้งนี้คนเดียว แต่ก็มิได้หมายความว่า ผมจะไม่กล้าเดินคนเดียวในเส้นทางเดินเท้าลัดป่าเส้นนี้...อย่างน้อยๆ ก็เป็นการฝึกจิตใจของตนให้เอาชนะความกลัวที่มีอยู่ได้...ผมเดินผ่านต้นไม้ และและโขดหินที่ขวางอยู่ตรงหน้าเหมือนจะไม่มีสิ้นสุด...ความลาดชันของเส้นทางทำให้ผมลื่นไถลเป็นระยะๆ
เข้าชั่วโมงที่ ๔ ผมเดินมาได้ค่อนทาง ความล้าเกาะกุมที่ข้อเข่า ตลอดระยะการเดิน ผมพักอยู่ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้เร่งรีบเดิน บวกกับอากาศหนาวเย็นทำให้ไม่เหนื่อยมากเกินกำลัง ตลอดระยะทางที่เดิน ผมประคองสติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่โดยมากจะเผลอ เดินด้วยความเพลินมากกว่าเดินแบบมีสติ แต่ก็ยังดีครับ...เราได้มาฝึกบ้าง แม้จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างน้อยก็ได้ลอง...
ลัดป่ามาอีกไม่นาน เริ่มยินเสียงประกาศจากโฆษกเรียกสาธุชนทำบุญดังแว่วมา เป็นสัญญาณว่า เราใกล้ถึงยอดเขาแล้ว กำลังวังชากระเตื้องขึ้นมาทันที ผมจึงรีบเดินต่อเพื่อให้ถึงเร็วที่สุด...จะได้พักกายบ้าง
เส้นทางเดินที่ผมลัดมานี้ ไม่ได้ผ่านลานพระสีวลี อันเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อกับจุดจอดรถช่วงสุดท้าย ออกจากเขตป่าที่ลาดชันมาไม่นาน ขวามือผมเป็นลานปูนกว้าง ไว้สำหรับจอดเฮลิคอปเตอร์ ผมเดินเลาะเลียวซ้ายไปนั่งพักในเต็นท์บริการอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อจะเข้าห้องน้ำบริเวณใกล้เคียงกันนั้น ล้างหน้าล้างตาเสร็จสรรพ ก็เตรียมแวะเข้าไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท...
ผู้คนแน่นขนัด สองฝั่งเต็มไปด้วยกุฏิชั่วคราวสำหรับพระสงฆ์ที่มาปฏิบัติธรรมในช่วงเปิดเขา บ้างขึงกั้นด้วยเต็นท์ผ้าใบเขียวเข้ม บ้างเป็นผนังไม้ไผ่ที่สานอย่างแน่นหนา สภาพอาการที่เปียกชื้นบวกกับความหนาวเย็นทำให้ผมเริ่มสั่น จึงหยิบเสื้อกันหนาวจากเป้มาใส่...
เบียดเสียดกับสาธุชนผู้ศรัทธาที่รวมใจกันมาแสวงบุญมาถึงจุดหน้าลานหินพระบาตร บริเวณลานหิน คือที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทพลวง รอยพระพุทธบาทที่ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และอยู่สูงที่สุดในเมืองไทย ก่อนขึ้นมาผมเตรียมเม็ดพลอย กับดาวเรืองติดมาด้วย แต่มาบูชาธูปเทียนและแผ่นทองคำเปลวที่ข้างบน บริเวณนี้ห้ามจุดธูปเทียน เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยของเหล่าผู้แสวงบุญเอง...
กล่าวคำบูชา น้อมลงกราบรอยพระพุทธบาท โรยเม็ดพลอย วางธูปเทียนบนรอยพระพุทธบาท ก่อนที่จะปิดแผ่นทองลงไป และเหลือไว้ปิดหินลูกพระบาตร เพื่อแสดงความนอบน้อมแต่หน้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดถือไตรสรณะเป็นที่พึ่ง ที่อาศัยของจิตใจ พร้อมอธิษฐานในใจเพื่อผลสำเร็จของตน...
ว่ากันว่า มาขออธิษฐานขอพรที่นี่ ต้องขอเพียงข้อเดียวเท่านั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผล...ผมว่า ดีเหมือนกัน ถือเป็นอุบายขจัดความโลภในจิตใจเรา ไม่ต้องขออะไรให้มากมาย ให้ลำบากเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากวาสนาใครมี บุญใครทำมามาก เมื่อถึงคราวสนองผล ท่านแทบไม่ต้องร้องขออะไร ก็ต้องได้อย่างที่เคยทำมาครับ...
เส้นทางบนยอดเขาคิชฌกูฏมิได้สิ้นสุดลงแค่นี้ครับ...หากยังมีเส้นทางเดินบนยอดเขาอีกเส้นทางหนึ่ง ผมชอบเส้นทางนี้มาก เพราะให้บรรยากาศเหมือนเราหลงเข้าไปในแดดสนธยาครับ เวลาเดินในยามค่ำคืนบนแสงสลัวๆ ของดวงไฟ มีหมอกหนาอันชุ่มเย็นลอยตัดผ่าน...นี่ให้บรรยากาศมากจนลืมความเหน็ดเหนื่อยที่เดินมาตลอด ๕ ชั่วโมง เส้นทางนี้ไปสิ้นสุดที่เขตผ้าแดงครับ...
บอกไว้ก่อนเลยว่า ...สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาแห่งนี้ มีมากมายนัก หากมีเวลามาแค่คืนเดียวและท่านตั้งใจไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ครบทุกที่ รับรองว่า ท่านจะลุกนั่งก้มยืน ไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งครับ...
ส่วนบรรยากาศบนยอดเขาเป็นอย่างไร ขอท่านรับชมภาพเหล่านี้ครับ....
ถ้ำฤๅษี บริเวณใต้ลานพระบาตร
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
บรรยากาศสุดบรรยาย
รอยเสือใหญ่
หินรูปช้าง
มากมายไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทางขึ้นเขา หากท่านขึ้นรถมาลงจุดจอดรถลานพระสีวลี
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสวยงามทั้งหมดบนยอดเขาคิชฌกูฏที่ผมมิอาจบรรยาได้หมดภายในกระทู้เดียว ...หากท่านต้องการสัมผัสด้วยตนเอง และคั้งเป้าหมายไว้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้ ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยนะครับ...ปี ๒๕๕๙ นี้ เขาคิชฌกูฏจะเปิดให้สาธุชนแสวงบุญในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ - ๘ เมษายน ๒๕๕๙ นี้ เพียง ๒ เดือนเท่านั้นครับ...
...ท้ายนี้ ขออำนวยพรให้ทุกท่านประสบโชค ประสบชัย มีจิตใจตั้งมั่นในคุณงามความดี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวตลอดไปครับ...