คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ที่จริงพระสงฆ์ทั้ง ๑,๒๕๐ รูป ไม่ใช่พระที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระศาสนาแล้วเพิ่งกลับมา แต่เป็นพระชุดที่อยู่กับพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว คือชุดอดีตชฎิลสามพี่น้อง กับชุดบริวารของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
ส่วนที่ทรงส่งไปประกาศพระศาสนานั้น ท่านไม่ได้กลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในช่วงเวลานั้น ต่างแยกย้ายกันไปประกาศพระศาสนาในถิ่นของตน ๆ เว้นแต่พระอัสสชิเถระ ที่เข้ามาอยู่ในแคว้นมคธ ส่วนพระโกณทัญญะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่บ้านโทณวัตถุของท่าน จนได้พระปุณณมันตานีบุตรผู้เป็นหลานมาบวช ส่วนพระปัญจวัคคีย์ที่เหลือ ไม่ปรากฏว่าท่านไปเผยแผ่ที่ไหน
ยังมีชุดพระภัททวัคคีย์ ๓๐ รูปที่ทรงโปรดที่ไร่ฝ้าย ชุดนี้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ปาไฐยรัฐ แล้วกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า น่าจะหลังจากพรรษาที่ ๔-๕ ผ่านไปแล้ว และเกิดพุทธานุญาตเรื่องกรานกฐินขึ้น
เรื่องประวัติวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พูดกันในประเทศไทยควรจะมีการปรับปรุงใหม่เสียที นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่ชอบอ้าง ๆ กันว่าพระมาประชุมกันเพราะธรรมเนียมเดิมของพราหมณ์ว่าเป็นวันศิวาราตรี ซึ่งผมก็ได้เขียนไว้แล้วในกระทู้ล่างว่าไม่เกี่ยวกัน
และแท้จริงโอวาท ๓ คาถากึ่งนี้ ไม่ใช่แสดงเฉพาะวันมาฆบูชา แต่ทรงแสดงทุกวันพระทุกกึ่งเดือน ตลอดเวลา ๒๐ พรรษาแห่งพุทธกิจ จนกระทั่งทรงยกเลิกและให้พระสงฆ์แสดงปาฏิโมกข์กันเองในช่วงพรรษาที่ ๒๑
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมพระองค์จึงต้องทรงแสดงโอวาทนี้เพียงโอวาทเดียวตลอด ๒๐ พรรษา พระท่านไม่รู้กันหรอกหรือ เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ต้องบอกว่า พระอรหันต์นั้นท่านรู้แจ้งอริยสัจ แทงตลอดมรรคญาณผลญาณ หมดกิเลส แต่ท่านไม่ได้มีความรู้แตกฉานในพระปริยัติสัทธรรม หลักธรรมที่เป็นภาษาสมมติบัญญัติ ก็ต้องให้พระผู้มีพระภาคแสดง อีกประการหนึ่ง เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถือเป็นหลักในการเผยแผ่สั่งสอนแก่พระภิกษุผู้บวชใหม่ในภายหลัง ที่จะมาเป็นสัทธิวิหาริก อันเตวาสิก รวมถึงเพื่อแสดงหลักการของพระพุทธศาสนาให้เห็นเด่นชัด ในท่ามกลางแคว้นมคธที่เป็นแหล่งชุมนุมของนักบวชต่างศาสนา เดียรถีย์ ปริพาชกมากมาย เป็นลัทธิที่คนรู้จักกันอยู่แล้ว พระองค์จึงได้ทรงแสดงหลักการของพระพุทธศาสนาที่บอกได้ตรงตัวที่สุดเลยว่า "ศาสนาใหม่ที่เพิ่งมาสู่แคว้นมคธ มีหลักคำสอนอย่างนี้"
ส่วนที่ทรงส่งไปประกาศพระศาสนานั้น ท่านไม่ได้กลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในช่วงเวลานั้น ต่างแยกย้ายกันไปประกาศพระศาสนาในถิ่นของตน ๆ เว้นแต่พระอัสสชิเถระ ที่เข้ามาอยู่ในแคว้นมคธ ส่วนพระโกณทัญญะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่บ้านโทณวัตถุของท่าน จนได้พระปุณณมันตานีบุตรผู้เป็นหลานมาบวช ส่วนพระปัญจวัคคีย์ที่เหลือ ไม่ปรากฏว่าท่านไปเผยแผ่ที่ไหน
ยังมีชุดพระภัททวัคคีย์ ๓๐ รูปที่ทรงโปรดที่ไร่ฝ้าย ชุดนี้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ปาไฐยรัฐ แล้วกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า น่าจะหลังจากพรรษาที่ ๔-๕ ผ่านไปแล้ว และเกิดพุทธานุญาตเรื่องกรานกฐินขึ้น
เรื่องประวัติวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พูดกันในประเทศไทยควรจะมีการปรับปรุงใหม่เสียที นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่ชอบอ้าง ๆ กันว่าพระมาประชุมกันเพราะธรรมเนียมเดิมของพราหมณ์ว่าเป็นวันศิวาราตรี ซึ่งผมก็ได้เขียนไว้แล้วในกระทู้ล่างว่าไม่เกี่ยวกัน
และแท้จริงโอวาท ๓ คาถากึ่งนี้ ไม่ใช่แสดงเฉพาะวันมาฆบูชา แต่ทรงแสดงทุกวันพระทุกกึ่งเดือน ตลอดเวลา ๒๐ พรรษาแห่งพุทธกิจ จนกระทั่งทรงยกเลิกและให้พระสงฆ์แสดงปาฏิโมกข์กันเองในช่วงพรรษาที่ ๒๑
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมพระองค์จึงต้องทรงแสดงโอวาทนี้เพียงโอวาทเดียวตลอด ๒๐ พรรษา พระท่านไม่รู้กันหรอกหรือ เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ต้องบอกว่า พระอรหันต์นั้นท่านรู้แจ้งอริยสัจ แทงตลอดมรรคญาณผลญาณ หมดกิเลส แต่ท่านไม่ได้มีความรู้แตกฉานในพระปริยัติสัทธรรม หลักธรรมที่เป็นภาษาสมมติบัญญัติ ก็ต้องให้พระผู้มีพระภาคแสดง อีกประการหนึ่ง เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถือเป็นหลักในการเผยแผ่สั่งสอนแก่พระภิกษุผู้บวชใหม่ในภายหลัง ที่จะมาเป็นสัทธิวิหาริก อันเตวาสิก รวมถึงเพื่อแสดงหลักการของพระพุทธศาสนาให้เห็นเด่นชัด ในท่ามกลางแคว้นมคธที่เป็นแหล่งชุมนุมของนักบวชต่างศาสนา เดียรถีย์ ปริพาชกมากมาย เป็นลัทธิที่คนรู้จักกันอยู่แล้ว พระองค์จึงได้ทรงแสดงหลักการของพระพุทธศาสนาที่บอกได้ตรงตัวที่สุดเลยว่า "ศาสนาใหม่ที่เพิ่งมาสู่แคว้นมคธ มีหลักคำสอนอย่างนี้"
แสดงความคิดเห็น
ปุจฉา เหตุใด พระพุทธเจ้าจึงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหันต์ 1250 รูป
1. พระสงฆ์ 1,250 รูปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่างๆ ได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
2. พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ซึ่งเรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
3. พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ คือผู้ได้อภิญญา 6 ข้อ
4. วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3)
ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต
ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ
๏ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
๏ ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมธรรม
ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
๏ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง 1
การบำเพ็ญแต่ความดี 1
การทำจิตของตนให้ผ่องใส 1
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๏ อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
๏ การไม่กล่าวร้าย 1 การไม่ทำร้าย 1
ความสำรวมในปาติโมกข์ 1
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร 1
ที่นั่งนอนอันสงัด 1
ความเพียรในอธิจิต 1
พระอรหันต์ 1,250 รูป ไม่ทราบใน หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 วิธีปฏิบัติ 6 หรือ พระพุทธเจ้าจึงต้องแสดงธรรมนี้ แก่อรหันต์ทั้งหลาย ?