________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๘ ...]
http://ppantip.com/topic/30140889
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๙
เหมือนมนตร์ดลใจ และกำกับกายให้สัตยากระทำการ เริ่มตั้งแต่หาหนทางลัดเลาะจากสวนอัมพรลงมาทางสะพานมัฆวานรังสรรค์ แล้วจ้างเรือที่ราวตั้งใจมาคอยท่า พายลิ่วๆ ตัดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวเข้าคลองบางกอกน้อย กระทั่งมาเทียบท่าศาลา “เรือนจันทร์” แถวหัวคุ้งย่านคลองบางระมาด
ตลอดทางมานั้น สัตยาแทบไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านไปช้าเร็วแค่ไหน และแทบไม่ได้ชำเลืองแลอื่นใด นอกจากวาวแสงในประกายตา ของหญิงงามที่รูปโฉมเป็นเสมือนคนคนเดียวกัน กับหญิงสาวที่ตนประกาศรักไว้นักหนา
เหมือนกึ่งฝันกึ่งตื่น จึงไม่แน่ใจว่าพอขึ้นมาบนศาลาท่าน้ำบ้านเรือนจันทร์แล้ว ตัวเองแสดงการขัดขืนหรือวางก้ามไว้อย่างไร พลพายทั้งสองนายจึงเร่งฝีพายกลับ ลับหัวคุ้งไปรวดเร็วราวกับภูตผี ทั้งที่ยังไม่ทันได้รับค่าจ้าง
สัตยาจำต้องนึกเสียว่าเขาคงจำได้ ว่าตนเป็นใคร จึงเกรงใจและยินดีบริการ
มารู้สึกตัวชัดๆ อีกครั้งก็ตอนที่สายลมโชยกลิ่นหอมดอกไม้มาให้ชื่น
สีหน้าที่ผ่อนคลายลงของเขา พร้อมกับอาการที่สูดหายใจลึกๆ เข้าไปอีกหลายครั้งนั้น คงทำให้สตรีที่มาด้วยสังเกตได้ไม่ยาก
“มีอะไรหรือจ๊ะ”
จบคำถามแรกแล้วหญิงสาวก็เหมือนชะงัก
ก่อนจะเปลี่ยนถ้อยคำเป็น...
“หอม... หอมอะไร”
พอได้สบสายตากับหล่อนอีกครั้ง สัตยาก็คล้ายตกอยู่ในมนตร์สะกดอีกครา จะถามจะตอบก็เป็นไปเพียงแค่ที่ได้ยิน ไม่ได้สนใจว่าจะมีพิรุธสิ่งไรอยู่ในน้ำเสียงหรือท่าทีของสตรีตรงหน้า
“หอมจันทน์... หอมกลิ่นจันทน์... จันทน์กระพ้อน่ะ... จ้ะ”
คำตอบทั้งกระท่อนกระแท่นและตะกุกตะกัก เพราะยิ่งพิศก็ยิ่งเห็นชัด ว่าไม่มีเสี้ยวส่วนใดๆ เลยของหล่อน ที่ผิดแผกไปจากคนที่เขาเคยรัก
“บ้านสวนเรือนจันทร์... มุมสงบของผมเอง”
พอเลิกหวนกระหวัดถึงความหลังครั้งเก่า ถ้อยคำจึงกลับสุภาพอ่อนโยนได้เหมือนเดิม
“เธอ... เธอคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน”
คำแรก หยุดไปเพราะไม่แน่ใจ ว่าจะเรียกหล่อนว่าอย่างไร
“แข... แขจ้ะ ฉันชื่อแข...”
“ชื่อเพราะจริง... คุณแข”
“เรียกฉันว่า แข เฉยๆ ดีกว่า”
สัตยาเดินนำหล่อนใกล้ตัวเรือนเข้ามา ผ่านแนวไม้ต้นสูง และพุ่มไม้เลื้อย ที่เลื้อยระโยงระย้าอยู่ตามราวรั้วมาตลอดทางเดิน
“อย่าเลย... ถ้าไม่รังเกียจ ต่อไปผมจะเรียกว่า...แม่แข...”
“เพราะจริง... แม่แข...” หล่อนทวนคำ
“ที่ไหนกัน ก็แค่ คำเรียกทั่วไป...”
“แต่ก็ให้เกียรติ”
“ใช่ซี... ผู้ชายไทย ล้วนแต่ให้เกียรติผู้หญิง”
“ไม่จริงหรอกค่ะ... แต่ช่างเถอะ เมื่อกี้คุณ... คุณพี่... ออกชื่อต้นอะไรนะจ๊ะ”
หล่อนก็แกล้งติดขัด ทำเป็นไม่รู้จะเรียกสัตยาว่า คุณพี่ ต่อไปจะดีหรือไม่
“ผมชื่อสัตยา ถ้าจะเรียกเป็นพี่ เรียก พี่ยา ก็ได้”
“จ๊ะพี่ยา... พี่ยาของแม่แข...”
“ตามใจเถอะนะ แล้วแม่แขชอบที่นี้หรือไม่”
“ชอบซีคะ ที่หอมๆ ต้นจันทน์กระพ้อใช่ไหมจ๊ะ”
แม่แขทวนคำ แสดงให้เห็นว่าหล่อนทั้งสนใจและพอใจ “เรือนจันทร์” นี้นักหนา
“ที่จริงมีต้นจันปลูกสลับกับจำปีและจันทน์กระพ้อ ก็ไม้หอมทั้งนั้นละ แต่ที่โชยกลิ่นอยู่นี้เป็นจันทน์กระพ้อเลื้อย...”
สัตยาตอบหล่อนจนครบถ้วน โดยไม่รู้เลยว่าคนถามจะได้กลิ่นอะไรสักนิดก็หาไม่
“เรือนจันทร์... เรือนจันทร์กระพ้อ...”
หญิงสาวมาหยุดอยู่ตรงซุ้มศาลาสองเสา ที่ปลูกคร่อมสะพานไม้ซึ่งทอดไปสู่เชิงบันไดที่อยู่ลึกเข้าไป พยายามอ่านคำภาษาไทยบนป้ายชื่อเรือน ทำให้สัตยาถึงกับอมยิ้ม คิดว่าท่าทางผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่นางรำพื้นๆ ธรรมดาทั่วไป
“แค่... เรือนจันทร์... แม่แขเก่งนะ อ่านภาษาไทยได้”
“ได้บ้างค่ะ นายโรงรับงานในนี้บ่อยๆ แต่คุณพี่... คุณพี่ยา...”
“เรียกแค่ พี่ยา... เถอะนะ”
“จ๊ะ แต่พี่ยาก็เก่ง พูดเขมรได้คล่องแคล่ว”
สัตยาไม่ทันเห็นว่า นัยน์ตาของหล่อนสว่างวาวขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ผมเคยอยู่ที่นั่นหลายปี”
“หลายปี ที่เขมร”
“ใช่”
“โชคดี ฉันโชคดีใช่ไหม ที่ได้เจอพี่ยา”
ถึงเชิงบันได สัตยาถอดรองเท้าแล้วล้างเท้า ก่อนจะเดินนำขึ้นไป โดยลืมเตือนคนที่เดินตามมา ว่าให้ล้างเท้าเสียก่อน
และแม้แม่แขจะเห็นแต่ก็ไม่คิดจะทำตาม หล่อนก้าวผ่านขึ้นมาเลย
“เงียบเหงาไปสักนิด แต่ก็ปลอดภัย ข้าคนเขาจะมาจัดการความสะอาดต่อเมื่อผมบอกว่าจะมาใช้งาน”
“ต่อไปให้ฉันจัดการก็ได้...”
“ได้อย่างไร แม่แขมาเป็นแขก”
“ได้ซีจ๊ะ บ้านนี้เรือนนี้น่าอยู่ไปจนวันตาย”
“ผม... ผมไม่แน่ใจว่า...”
ประโยคหลังของสัตยาไม่ดังไปกว่ากระซิบ
“หรือว่าฉันทำให้พี่ยาลำบากใจ”
“ไม่ใช่หรอก... ช่างเถิด... คืนนี้แม่แขพักผ่อนให้สบายใจเสียก่อน”
“ให้อยู่คนเดียวน่ะหรือจ๊ะ”
ตั้งแต่แรกที่สัตยาพาหล่อนมานั่งตรงเฉลียงนี้ เขาก็แทบไม่กล้าสบตากับหล่อนอีกเลย จนอีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายขยับ เปลี่ยนที่นั่งมาให้เห็นหน้ากันชัดๆ
“ก็... แม่แขบอกว่าไม่กลัวอะไรๆ”
เขาไม่อยากเอ่ยคำว่าผี ในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ เช่นนี้ และที่ว่ามืดๆ เปลี่ยวๆ ก็เพราะยังไม่ยอมเปิดไฟ ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่สังเกตของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง
“ไม่กลัว... แต่มันแปลกที่”
“ดึกมากแล้ว พี่... คือผมต้องกลับ... บ้าน”
“ฉันทำให้พี่ลำบากจริงๆ ซีนะ แล้วพี่ยาจะกลับอย่างไร หรือว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ”
จบคำถาม สัตยาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า มาเรืออาศัย ไม่ได้มาเอง
“มีเรือเครื่องเล็กๆ อยู่ลำหนึ่ง ค่อยๆ ขับไปก็คงพอจะได้”
“พี่ไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนฉัน...”
เสียงที่ออดอ้อนนั้น สัตยาคุ้นนัก เข้าใจว่าเป็นความไร้เดียงสามากกว่าจะมารยา
“มันจะไม่เหมาะ แม่แขเป็นผู้หญิง และพี่มีครอบครัวแล้ว...”
นิ่งไปนิดหนึ่ง คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุด หล่อนก็ไล่ต้อนเขาต่อไป
“พี่ยารังเกียจแขหรือจ๊ะ”
“ไม่... ไม่มีทาง... ที่จริง ที่จริงน่ะ ที่เราได้พบกันถือเป็นโชคดีของพี่ด้วยซ้ำ จะไปรังเกียจรังงอนแม่แขได้อย่างไร ที่จริงคือ แม่แข... เหมือนเธอมาก... คนรักเก่าของพี่ และ... และก็เป็นคนเขมรเหมือนกัน ซ้ำยัง... ชื่อจันทร์ เหมือนกัน...”
“ใช่ซี... แข... ภาษาไทยว่า พระจันทร์ ดวงเดือน”
“เธอชื่อรอมเปญ... แม่เปญ”
คำนี้ของเขา ทำให้ดวงหน้าของหล่อนสลดลงจนเห็นได้ชัด
แต่ก็แค่แวบเดียว ก่อนที่แม่แขจะส่งยิ้มรื่นมาให้
“เป็นโชค หรือดวงชะตา...หรือ... บุพเพ... ใช่ซี คงเป็นบุพเพสันนิวาส”
“เป็นโชค คงเป็นโชคของพี่”
“แต่เป็นบุญของฉัน”
“แม่แขพักผ่อนเถิดนะ วันรุ่งพี่จะมาแต่เช้า”
“พี่ยารังเกียจฉันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไปตามทาง”
“พี่ไม่ได้รังเกียจ แต่มันไม่เหมาะ”
“ไม่เหมาะอย่างไร ในเมื่อ ฉัน... ฉันยอมมากับพี่ พี่ยาเป็นคนช่วยเหลือ ให้ฉันรอดจากนายโรง ฉัน... ฉันยินดีรับใช้รองมือรองเท้าพี่ยาไปตลอดชีวิต ถ้า... ถ้าพี่ยาไม่รังเกียจ”
“บอกแล้ว พี่น่ะ... ที่จริงอยากอยู่เป็นเพื่อนใจจะขาด แต่แม่แขต้องเข้าใจ พี่มีครอบครัวต้องรับผิดชอบ”
“พี่จ๊ะ... ฉันจะเจียมตัว จะรู้อยู่ ขอแค่ได้อยู่ ได้อาศัย ได้รับใช้...”
“แต่...”
สัตยายังอึดอัดใจอยู่นัก แต่พอหล่อนทำท่าจะลุกขึ้น เขาก็ยุดมือเอาไว้
“แม่แข... แม่เนื้อเย็น อย่างอน อย่าดื้อกับพี่เลย”
คำเรียก “แม่เนื้อเย็น” เป็นจากความรู้สึกจริงๆ ที่ได้สัมผัสเนื้อตัวหล่อน
และถ้อยคำก็ออดอ้อน แสดงว่าใจจวนจะอ่อนอยู่เต็มที่
“ฉันจะไม่ไปไหนเลย หากคืนนี้พี่ยาจะอยู่เป็นเพื่อน”
หล่อนตอบคำพร้อมกับทรุดตัวลงแนบชิด ชิดจนสัตยาแอบกลัวว่าหล่อนจะได้ยินเสียงเต้นระรัวของหัวใจตน
“นะจ๊ะ... แค่คืนนี้ก็ได้...”
คำนี้หล่อนกระซิบที่ริมหู เขาไม่ได้รู้สึกร้อนผ่าวจากลมหายใจ แต่คิดว่าราวกับมีกระแสไฟอ่อนๆ วิ่งผ่านเข้ามาในสมอง จนทำให้ตกลงใจได้ในที่สุด
“ได้... ได้... โน่น... ห้องนอน มาซี... พี่จะพาไปนอน...”
(ต่อคคห.ที่๑)
________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๙ ...]
http://ppantip.com/topic/30140889
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๙
เหมือนมนตร์ดลใจ และกำกับกายให้สัตยากระทำการ เริ่มตั้งแต่หาหนทางลัดเลาะจากสวนอัมพรลงมาทางสะพานมัฆวานรังสรรค์ แล้วจ้างเรือที่ราวตั้งใจมาคอยท่า พายลิ่วๆ ตัดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวเข้าคลองบางกอกน้อย กระทั่งมาเทียบท่าศาลา “เรือนจันทร์” แถวหัวคุ้งย่านคลองบางระมาด
ตลอดทางมานั้น สัตยาแทบไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านไปช้าเร็วแค่ไหน และแทบไม่ได้ชำเลืองแลอื่นใด นอกจากวาวแสงในประกายตา ของหญิงงามที่รูปโฉมเป็นเสมือนคนคนเดียวกัน กับหญิงสาวที่ตนประกาศรักไว้นักหนา
เหมือนกึ่งฝันกึ่งตื่น จึงไม่แน่ใจว่าพอขึ้นมาบนศาลาท่าน้ำบ้านเรือนจันทร์แล้ว ตัวเองแสดงการขัดขืนหรือวางก้ามไว้อย่างไร พลพายทั้งสองนายจึงเร่งฝีพายกลับ ลับหัวคุ้งไปรวดเร็วราวกับภูตผี ทั้งที่ยังไม่ทันได้รับค่าจ้าง
สัตยาจำต้องนึกเสียว่าเขาคงจำได้ ว่าตนเป็นใคร จึงเกรงใจและยินดีบริการ
มารู้สึกตัวชัดๆ อีกครั้งก็ตอนที่สายลมโชยกลิ่นหอมดอกไม้มาให้ชื่น
สีหน้าที่ผ่อนคลายลงของเขา พร้อมกับอาการที่สูดหายใจลึกๆ เข้าไปอีกหลายครั้งนั้น คงทำให้สตรีที่มาด้วยสังเกตได้ไม่ยาก
“มีอะไรหรือจ๊ะ”
จบคำถามแรกแล้วหญิงสาวก็เหมือนชะงัก
ก่อนจะเปลี่ยนถ้อยคำเป็น...
“หอม... หอมอะไร”
พอได้สบสายตากับหล่อนอีกครั้ง สัตยาก็คล้ายตกอยู่ในมนตร์สะกดอีกครา จะถามจะตอบก็เป็นไปเพียงแค่ที่ได้ยิน ไม่ได้สนใจว่าจะมีพิรุธสิ่งไรอยู่ในน้ำเสียงหรือท่าทีของสตรีตรงหน้า
“หอมจันทน์... หอมกลิ่นจันทน์... จันทน์กระพ้อน่ะ... จ้ะ”
คำตอบทั้งกระท่อนกระแท่นและตะกุกตะกัก เพราะยิ่งพิศก็ยิ่งเห็นชัด ว่าไม่มีเสี้ยวส่วนใดๆ เลยของหล่อน ที่ผิดแผกไปจากคนที่เขาเคยรัก
“บ้านสวนเรือนจันทร์... มุมสงบของผมเอง”
พอเลิกหวนกระหวัดถึงความหลังครั้งเก่า ถ้อยคำจึงกลับสุภาพอ่อนโยนได้เหมือนเดิม
“เธอ... เธอคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน”
คำแรก หยุดไปเพราะไม่แน่ใจ ว่าจะเรียกหล่อนว่าอย่างไร
“แข... แขจ้ะ ฉันชื่อแข...”
“ชื่อเพราะจริง... คุณแข”
“เรียกฉันว่า แข เฉยๆ ดีกว่า”
สัตยาเดินนำหล่อนใกล้ตัวเรือนเข้ามา ผ่านแนวไม้ต้นสูง และพุ่มไม้เลื้อย ที่เลื้อยระโยงระย้าอยู่ตามราวรั้วมาตลอดทางเดิน
“อย่าเลย... ถ้าไม่รังเกียจ ต่อไปผมจะเรียกว่า...แม่แข...”
“เพราะจริง... แม่แข...” หล่อนทวนคำ
“ที่ไหนกัน ก็แค่ คำเรียกทั่วไป...”
“แต่ก็ให้เกียรติ”
“ใช่ซี... ผู้ชายไทย ล้วนแต่ให้เกียรติผู้หญิง”
“ไม่จริงหรอกค่ะ... แต่ช่างเถอะ เมื่อกี้คุณ... คุณพี่... ออกชื่อต้นอะไรนะจ๊ะ”
หล่อนก็แกล้งติดขัด ทำเป็นไม่รู้จะเรียกสัตยาว่า คุณพี่ ต่อไปจะดีหรือไม่
“ผมชื่อสัตยา ถ้าจะเรียกเป็นพี่ เรียก พี่ยา ก็ได้”
“จ๊ะพี่ยา... พี่ยาของแม่แข...”
“ตามใจเถอะนะ แล้วแม่แขชอบที่นี้หรือไม่”
“ชอบซีคะ ที่หอมๆ ต้นจันทน์กระพ้อใช่ไหมจ๊ะ”
แม่แขทวนคำ แสดงให้เห็นว่าหล่อนทั้งสนใจและพอใจ “เรือนจันทร์” นี้นักหนา
“ที่จริงมีต้นจันปลูกสลับกับจำปีและจันทน์กระพ้อ ก็ไม้หอมทั้งนั้นละ แต่ที่โชยกลิ่นอยู่นี้เป็นจันทน์กระพ้อเลื้อย...”
สัตยาตอบหล่อนจนครบถ้วน โดยไม่รู้เลยว่าคนถามจะได้กลิ่นอะไรสักนิดก็หาไม่
“เรือนจันทร์... เรือนจันทร์กระพ้อ...”
หญิงสาวมาหยุดอยู่ตรงซุ้มศาลาสองเสา ที่ปลูกคร่อมสะพานไม้ซึ่งทอดไปสู่เชิงบันไดที่อยู่ลึกเข้าไป พยายามอ่านคำภาษาไทยบนป้ายชื่อเรือน ทำให้สัตยาถึงกับอมยิ้ม คิดว่าท่าทางผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่นางรำพื้นๆ ธรรมดาทั่วไป
“แค่... เรือนจันทร์... แม่แขเก่งนะ อ่านภาษาไทยได้”
“ได้บ้างค่ะ นายโรงรับงานในนี้บ่อยๆ แต่คุณพี่... คุณพี่ยา...”
“เรียกแค่ พี่ยา... เถอะนะ”
“จ๊ะ แต่พี่ยาก็เก่ง พูดเขมรได้คล่องแคล่ว”
สัตยาไม่ทันเห็นว่า นัยน์ตาของหล่อนสว่างวาวขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ผมเคยอยู่ที่นั่นหลายปี”
“หลายปี ที่เขมร”
“ใช่”
“โชคดี ฉันโชคดีใช่ไหม ที่ได้เจอพี่ยา”
ถึงเชิงบันได สัตยาถอดรองเท้าแล้วล้างเท้า ก่อนจะเดินนำขึ้นไป โดยลืมเตือนคนที่เดินตามมา ว่าให้ล้างเท้าเสียก่อน
และแม้แม่แขจะเห็นแต่ก็ไม่คิดจะทำตาม หล่อนก้าวผ่านขึ้นมาเลย
“เงียบเหงาไปสักนิด แต่ก็ปลอดภัย ข้าคนเขาจะมาจัดการความสะอาดต่อเมื่อผมบอกว่าจะมาใช้งาน”
“ต่อไปให้ฉันจัดการก็ได้...”
“ได้อย่างไร แม่แขมาเป็นแขก”
“ได้ซีจ๊ะ บ้านนี้เรือนนี้น่าอยู่ไปจนวันตาย”
“ผม... ผมไม่แน่ใจว่า...”
ประโยคหลังของสัตยาไม่ดังไปกว่ากระซิบ
“หรือว่าฉันทำให้พี่ยาลำบากใจ”
“ไม่ใช่หรอก... ช่างเถิด... คืนนี้แม่แขพักผ่อนให้สบายใจเสียก่อน”
“ให้อยู่คนเดียวน่ะหรือจ๊ะ”
ตั้งแต่แรกที่สัตยาพาหล่อนมานั่งตรงเฉลียงนี้ เขาก็แทบไม่กล้าสบตากับหล่อนอีกเลย จนอีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายขยับ เปลี่ยนที่นั่งมาให้เห็นหน้ากันชัดๆ
“ก็... แม่แขบอกว่าไม่กลัวอะไรๆ”
เขาไม่อยากเอ่ยคำว่าผี ในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ เช่นนี้ และที่ว่ามืดๆ เปลี่ยวๆ ก็เพราะยังไม่ยอมเปิดไฟ ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่สังเกตของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง
“ไม่กลัว... แต่มันแปลกที่”
“ดึกมากแล้ว พี่... คือผมต้องกลับ... บ้าน”
“ฉันทำให้พี่ลำบากจริงๆ ซีนะ แล้วพี่ยาจะกลับอย่างไร หรือว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ”
จบคำถาม สัตยาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า มาเรืออาศัย ไม่ได้มาเอง
“มีเรือเครื่องเล็กๆ อยู่ลำหนึ่ง ค่อยๆ ขับไปก็คงพอจะได้”
“พี่ไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนฉัน...”
เสียงที่ออดอ้อนนั้น สัตยาคุ้นนัก เข้าใจว่าเป็นความไร้เดียงสามากกว่าจะมารยา
“มันจะไม่เหมาะ แม่แขเป็นผู้หญิง และพี่มีครอบครัวแล้ว...”
นิ่งไปนิดหนึ่ง คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุด หล่อนก็ไล่ต้อนเขาต่อไป
“พี่ยารังเกียจแขหรือจ๊ะ”
“ไม่... ไม่มีทาง... ที่จริง ที่จริงน่ะ ที่เราได้พบกันถือเป็นโชคดีของพี่ด้วยซ้ำ จะไปรังเกียจรังงอนแม่แขได้อย่างไร ที่จริงคือ แม่แข... เหมือนเธอมาก... คนรักเก่าของพี่ และ... และก็เป็นคนเขมรเหมือนกัน ซ้ำยัง... ชื่อจันทร์ เหมือนกัน...”
“ใช่ซี... แข... ภาษาไทยว่า พระจันทร์ ดวงเดือน”
“เธอชื่อรอมเปญ... แม่เปญ”
คำนี้ของเขา ทำให้ดวงหน้าของหล่อนสลดลงจนเห็นได้ชัด
แต่ก็แค่แวบเดียว ก่อนที่แม่แขจะส่งยิ้มรื่นมาให้
“เป็นโชค หรือดวงชะตา...หรือ... บุพเพ... ใช่ซี คงเป็นบุพเพสันนิวาส”
“เป็นโชค คงเป็นโชคของพี่”
“แต่เป็นบุญของฉัน”
“แม่แขพักผ่อนเถิดนะ วันรุ่งพี่จะมาแต่เช้า”
“พี่ยารังเกียจฉันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไปตามทาง”
“พี่ไม่ได้รังเกียจ แต่มันไม่เหมาะ”
“ไม่เหมาะอย่างไร ในเมื่อ ฉัน... ฉันยอมมากับพี่ พี่ยาเป็นคนช่วยเหลือ ให้ฉันรอดจากนายโรง ฉัน... ฉันยินดีรับใช้รองมือรองเท้าพี่ยาไปตลอดชีวิต ถ้า... ถ้าพี่ยาไม่รังเกียจ”
“บอกแล้ว พี่น่ะ... ที่จริงอยากอยู่เป็นเพื่อนใจจะขาด แต่แม่แขต้องเข้าใจ พี่มีครอบครัวต้องรับผิดชอบ”
“พี่จ๊ะ... ฉันจะเจียมตัว จะรู้อยู่ ขอแค่ได้อยู่ ได้อาศัย ได้รับใช้...”
“แต่...”
สัตยายังอึดอัดใจอยู่นัก แต่พอหล่อนทำท่าจะลุกขึ้น เขาก็ยุดมือเอาไว้
“แม่แข... แม่เนื้อเย็น อย่างอน อย่าดื้อกับพี่เลย”
คำเรียก “แม่เนื้อเย็น” เป็นจากความรู้สึกจริงๆ ที่ได้สัมผัสเนื้อตัวหล่อน
และถ้อยคำก็ออดอ้อน แสดงว่าใจจวนจะอ่อนอยู่เต็มที่
“ฉันจะไม่ไปไหนเลย หากคืนนี้พี่ยาจะอยู่เป็นเพื่อน”
หล่อนตอบคำพร้อมกับทรุดตัวลงแนบชิด ชิดจนสัตยาแอบกลัวว่าหล่อนจะได้ยินเสียงเต้นระรัวของหัวใจตน
“นะจ๊ะ... แค่คืนนี้ก็ได้...”
คำนี้หล่อนกระซิบที่ริมหู เขาไม่ได้รู้สึกร้อนผ่าวจากลมหายใจ แต่คิดว่าราวกับมีกระแสไฟอ่อนๆ วิ่งผ่านเข้ามาในสมอง จนทำให้ตกลงใจได้ในที่สุด
“ได้... ได้... โน่น... ห้องนอน มาซี... พี่จะพาไปนอน...”
(ต่อคคห.ที่๑)