________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๑๐ ...]

กระทู้สนทนา
________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๙ ...]
http://ppantip.com/topic/30178217

ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************



บทที่ ๑๐



    ทางเลือกนั้นไม่มาก แต่ที่ยากเพราะไม่อยากเลือก ผีนางรอมเปญ ในร่างของหนังมนุษย์นุ่มเนียนนามว่า แม่แข จึงยังละล้าละลัง แม้อยากจะฆ่าให้ตายตาม แต่ความรักก็ยับยั้ง ตัดใจทำร้ายคนที่ตนเคยรักแสนรักยังไม่ได้

    สัตยารู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่รู้ พอลืมตาก็ผุดลุก จนหล่อนก็พลอยตกใจ

    “กี่โมงกี่ยามแล้วละนี่ พี่ต้องกลับบ้าน”

    เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงอ่อนๆ หลังจากตั้งสติอยู่ชั่วครู่

    “พี่มีครอบครัวแล้ว แม่แขคงเข้าใจ”

    “จ้ะ... ฉัน... ฉันก็บอกแล้ว ว่ายอม...”

    “แม่แขอย่าเป็นห่วง มาถึงขั้นนี้แล้ว พี่รับรองว่าจะไม่ทอดทิ้ง”

    สัตยาดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากอด สัมผัสนั้นนวลเนียนเสียยิ่งกว่าคนรักเก่า เมื่อครั้งตนเคยตกยากอยู่ที่เมืองพระนคร

    “แล้วเมื่อไรพี่จะกลับมา”

    “พี่จะมาแต่เช้า แต่ตอนนี้ที่บ้านคงเป็นห่วง”

    “เมียพี่น่ะรึ!”

    “ไม่เอาน่า อย่างอนไปเลย เรือนนี้ก็อยู่สบาย พี่อยากจะอยู่ด้วยตลอดไป ถ้าไม่ติดว่าอีกคนเขารออยู่ทางโน้น”

    “ใช่ซีจ๊ะ ฉันมันตัวคนเดียว...”

    “ได้โปรดเถอะ พี่ขอร้อง เห็นใจพี่บ้าง กลับไปก็กลับแต่ตัว แต่หัวใจพี่ขอฝากไว้กับแม่แข นะจ๊ะ”

    ในห้วงรักที่กลับมาโหมประดัง ถ้อยคำหวานฉ่ำจึงยิ่งชื่นใจ ผีสาวอยากจะลองดูน้ำใจของเขาอีกทีเหมือนกัน ว่าคราวนี้ เขาจะรักษาคำสัญญาได้อีกหรือไม่

    หากว่าไม่... หากว่าเขาคิดจะโป้ปดมดเท็จอยู่ซ้ำแล้ว ก็คงไม่ยาก ที่จะตัดใจฆ่าเสียให้ตาย

    “ถ้าพี่ให้สัญญาว่าจะรีบไปรีบกลับ น้องก็จะรอ”

    “จ๊ะ พี่สัญญา ถ้าผิดจากคำพูดไป ขอให้ไม่ได้ตายดี”




    หลังดึกจนเจียนรุ่ง สองฝีพายเหมือนพรายผีคู่นั้น ราวกับรู้เวลา พากันพายเรือผ่านมา ตอนที่สัตยาลงมาที่ตีนท่าน้ำของเรือนจันทร์ เขามีแม่แขตามมาส่ง แล้วก็เป็นหล่อนนั่นเองที่ทำท่าเหมือนยื่นอะไรให้สองคนในเรือ คงเป็นค่าตอบแทน ก่อนที่หญิงสาวจะเข้ามาขอกอดลา และย้ำคำ เร่งรัดให้รีบกลับมา

    หรือว่าพายตามน้ำ จึงรวดเร็วราวเรือยนต์ อีกทั้งยังแล่นเลียบลิ่ว แทบไม่ได้ยินเสียงพายกระทบน้ำ สัตยาเองก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ว่าจะจัดการเรื่องราวภายหน้าต่อไปอย่างไร จึงไม่สนใจจะถามไถ่หรือพูดจากับสองฝีพาย ซึ่งก็ทำท่าทางแค่จ้วงพายโดยไม่ได้สนทนากันเลยสักคำ

    ที่จริง สัตยาไม่ได้ยิน แม้กระทั่งเสียงเหนื่อยหอบ ที่ควรจะมี จากการสามารถทำความเร็วได้ขนาดนี้ด้วยซ้ำ

    แล้วพวกนั้นก็ผละไปโดยไม่ได้เรียกร้องสิ่งไรอีกเช่นเคย พายลับลิบลิ่วไปทางกลางแม่น้ำ ตัดพ้นหมู่เรือโยง แล้วก็หายไปคล้ายอันตรธาน

    มีเสียงพวกครัวไฟจากด้านหลัง นางหมายคงเริ่มจัดแจงตื่นมาหุงหา สัตยารีบย่องขึ้นบ้านอย่างเงียบกริบ เปิดประตูเข้าห้องนอน เห็นภรรยานอนนิ่งอยู่บนเตียงก็เบาใจ

    ทว่าพอหันกลับจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็มีเสียงเรียก

    “คุณพี่หายไปไหนมาทั้งคืน”

    สัตยาเก็บอาการสะดุ้งแทบไม่อยู่ ค่อยๆ หันไปปั้นหน้ายิ้มเจื่อนๆ กับศศิประภา

    “คุณศิตื่นแต่เช้า...”

    “ยังไม่ได้นอนทั้งคืนต่างหากล่ะคะ”

    “พี่ทำให้คุณศิต้องพลอยลำบากจริงๆ นะนี่”

    เขายังบ่างเบี่ยงไม่ตอบคำถามแรก

    “คุณพี่ยังไม่กลับ จะให้ศิหลับลงได้อย่างไร มาค่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน... ประเดี๋ยวศิจะหาน้ำมาให้ลูบเนื้อลูบตัว”

    “อย่าลำบากเลยคุณสิ พี่ว่าจะอาบน้ำสักหน่อย”

    ที่จริงศศิประภาลุกขึ้นมาช่วยจัดแจงเช่นนี้ ก็เพราะกำลังจะหาข้อพิรุธ กับการที่ผู้เป็นสามีหายไปทั้งคืน พอไม่เห็นความผิดปกติอันใด ก็คลายใจลงบ้าง แต่พอได้ยินคำว่าจะอาบน้ำ ความเคลือบแคลงสงสัยก็ปะทุขึ้นมาอีก

    “แล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ นาฏศิลป์ของเขา สู้ของเราได้หรือไม่”

    พยายามทำเสียงเรียบๆ ถามเรื่อยๆ หวังจะให้สัตยาคายอะไรออกมาบ้าง

    “มันสวยไปคนละอย่าง อย่างที่เขาว่ากันละนะคุณศิ ของเรานั้นรำเก๋ แต่ของเขาน่ะรำงาม ทางเขารำช้าๆ แต่มั่นคง ส่วนของเราน่ะรำเบาและเร็วกว่า...”

    “แล้วสู้ของทางเราได้หรือไม่ล่ะคะ”

    “ก็... เขารำช้าๆ หนักๆ มันก็แลดูพร้อมเพรียงกันดี ส่วนของเราน่ะพลิกพลิ้ว ใช้ความสามารถส่วนตัวสูง เครื่องแต่ตัวของเราก็พราวแสงกว่าของเขา ทรวดทรงเครื่องประดับเราก็งามกว่า...”

    “คุณพี่ได้ชมระบำชุดไหนบ้างคะ ลองสายตาอย่างคุณพี่ชมว่ารำงาม ก็น่าจะงามจริง น้องชักอยากดูบ้างแล้ว”

    ศศิประภาตั้งใจจะไล่ถามไปให้ถึงว่า ถูกตาต้องใจใครเป็นพิเศษหรือไม่ หรือว่าที่หายไปทั้งคืนนั้น ไปหลงเพ้อละเมอกับท่างามๆ ของนางรำเขมรคนไหนหรือเปล่า

    “ระบำมโนรม เขาจัดชุดเกี่ยวกับระบำกินรีหลายชุด เรื่องราวก็คล้ายๆ กับทางเรา มีกินรีเล่นธาร มโนราห์บูชายัญ มีฟ้อนกิงกะหร่าด้วยนะ แต่สู้ของต้นตำรับไม่ได้ แสดงจริงคงตัดออก”

    “กิงกะหร่ามันของไทยใหญ่ พวกนั้นเขาจะเอามารำทำไม”

    “อาจเป็นทางเราขอเขาไปก็ได้กระมัง แต่แค่ระบำอัปสราชุดเดียว ของเขมรแท้ๆ จำลองท่ารำมาจากภาพสลักนางอัปสรานั่น ก็ถือว่าเป็นเอกไม่มีใครเทียม ถ้าคุณศิสนใจ ไว้พี่จะพาไปดีไหมจ๊ะ”

    จนถึงตอนนี้ สัตยาก็ยังไม่มีหลุดคำ ที่ว่าจะติดตาต้องใจใครเป็นพิเศษหรือไม่

    “แล้วมันต้องดูกันถึงดึกดื่นขนาดไหนกันเล่าค่ะ คุณพี่ถึงกลับมาจนจวนจะย่ำรุ่งขนาดนี้”

    “กว่าจะเริ่มก็ดึกแล้วละ อากาศดีๆ พอจบพี่เลยไปเดินเล่นเรื่อยๆ ไปนั่งเล่นอยู่ริมสระแล้วก็เพลินหลับไป”

    “คุณพี่อย่ามาปดกันเลยค่ะ ไปนอนซุกอยู่กับอินังพวกนั้นมาละสิ!”

    ศศิประภาขึ้นเสียง เพราะความไม่แนบเนียนอยู่ตรงนี้ การแสดงนั่นอย่างมากก็แค่สองสามชั่วโมง แล้วอีกครึ่งคืนที่เหลือ... มีหรือที่จะไปเดินตากยุงอยู่อย่างนั้น

    “พี่เผลอหลับที่ศาลาหลังหอประชุมจริงๆ นะคุณศิ”

    “ใครจะไปเชื่อ ไม่มีใครพบใครเห็นเลยหรือยังไงล่ะ”

    “ถ้าไม่เชื่อ พี่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร”

    สัตยาพยายามทำเสียงแข็งขึ้นบ้าง

    “ก็สารภาพมาซีคะ บอกกันมาตรงๆ”

    “ทำไม คุณศิคิดว่าพี่ไปหลับนอนกับนางรำพวกนั้นหรือยังไง”

    “หรือไม่ใช่ล่ะค่ะ”

    ศศิประภาฟาดให้เผียะหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

    “คุณศิ พี่ก็เป็นคนมีชื่อมีเสียง จะไปทำอย่างนั้นได้รึไงล่ะ”

    “ทีพี่โมทย์ยังตั้งใจจะไปทำอย่างนั้น”

    “แต่นี้เป็นพี่ เอาไปเปรียบกับคนอย่างนั้นได้รึ”

    พอสัตยายังปากแข็ง ซ้ำยังกล้าเสียงดังเข้าใส่ หล่อนจึงฝ่อลงไปบ้าง สุดท้ายก็ได้แต่สะบัดหน้าหนี หันกลับไปยืนกลืนน้ำตาอยู่ตรงริมหน้าต่าง

    แต่สัตยายังไม่ยอมปลอบ กลับเข้ามาถามซ้ำให้เจ็บใจ

    “ตกลงว่า เรื่องนี้ คุณศิไม่เชื่อใจพี่ หรือว่าไม่เชื่อในเสน่ห์ของตัวเองกันแน่”

    สิ้นคำ หล่อนก็น้ำตาพรู สะอึกสะอื้นไปยกใหญ่ น้อยใจนักที่เขาไม่ยอมเข้ามาง้องอนเหมือนอย่างที่เคย

    สำหรับสัตยานั้น ปกติไม่เคยรอให้ภรรยาเจ็บช้ำน้ำใจถึงขนาดต้องร้องห่มร้องไห้ ประมาณตัวและประคองตัวเองในฐานะเขยแต่งเข้าอยู่เสมอ ว่าไม่ควรทำให้พวกทางฝ่ายภรรยา รู้สึกไม่ชอบหน้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม

    ครั้งนี้ เห็นศศิประภาไม่ใช่แค่แง่งอน แต่ถึงกับร้องห่มร้องไห้ ก็ตกใจไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

    ต้องรีบเข้ามากอดประคอง โอบปลอบด้วยไออุ่นในอ้อมแขน

    “พี่ขอโทษเถิดนะคุณศิ คิดดูซี พี่มีคุณศิอยู่แล้วทั้งคน ทั้งรักทั้งหลง ทั้งเทิดทูนบูชา มีหรือจะหันไปหาเศษหาเลยกับใครได้ ยิ่งกับนางพวกนั้น บอกไม่รู้กี่ครั้ง ว่าขอให้คุณศิมั่นใจในหัวใจรักมั่นคงของพี่”

    “เรื่องนั้นศิเชื่อใจคุณพี่อยู่หรอกค่ะ”

    ถึงสัมผัสจริงๆ จากกายของชายหนุ่มเหมือนเย็นชืดราวคงขาดเลือดเนื้อ แต่ในความรู้สึกของศศิประภา อ้อมกอดของเขายังอบอุ่นเสมอ เพียงแค่เขากอดกระชับ และกระซิบบอกเล่าอยู่อย่างนั้น ความแข็งขืนของหล่อนก็อ้อนลงได้เหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน

    “...ที่กลัว ก็กลัวว่านังพวกนั้นต่างหากที่จะเข้ามาเกาะแกะ”

    แล้วความผิดทั้งหลายก็มีอันยกให้บุคคลที่สามได้ง่ายๆ

    “เรื่องนั้นยิ่งไม่ต้องกลัว พี่ไม่ใช่พวกไก่อ่อนสอนขัน พี่เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”

    “คุณพี่ไม่ได้หลอกศิแน่ๆ นะคะ”

    “ใช่ซี คุณศิก็รู้จักหัวใจพี่ดีที่สุด”

    “ที่ศิเป็นห่วงเป็นกังวลก็เพราะรักมาก”

    “เรื่องนั้นพี่ย่อมรู้แน่แก่ใจ พี่เองก็ทั้งรักทั้งหวงทั้งห่วง จริงสิ... ที่เจ็บอยู่ดีขึ้นแล้วหรือยัง”

    พอได้โอกาสแสดงความห่วงใย คนพูดก็รีบทำ แตะดูที่สะโพกของภรรยา ตรงที่พลาดล้มกระแทกพื้นเมื่อหัวค่ำ

    “ยังเจ็บอยู่ค่ะ มันยอกๆ เลยนอนไม่ค่อยสบาย”

    “อย่างนั้นคุณศินอกพักเสียอีกไม่ดีหรือ มาซี พี่จะพาไปนอน”

    ด้วยวิธีคลอเคลีย กระซิบและประคองพา ล้วนทำให้ไฟอารมณ์ของศศิประภากรุ่นโชนขึ้นได้ไม่ยากเย็น ค่อยหนุนนอนบนท่อนแขน ให้เขากอดกล่อม หลับลงอย่างผาสุกในอ้อมแขนของชายที่ตนรักสุดหัวใจ

    แล้วสัตยาก็แสนหวานจนมื้อเช้า แอบไปสั่งการให้นางหมายเตรียมสำรับไปจัดที่ศาลาริมน้ำ แกล้มของเช้ากับทัศนียภาพของพระบรมมหาราชวังฝั่งตรงข้าม

    “นานแล้วนะคะ ที่คุณพี่ไม่ได้เอาอกเอาใจน้องถึงขนาดนี้”

    ศศิประภาเองก็เหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน รู้สึกคลับคล้ายว่าคืนวันเมื่อแรกรักได้กลับคืนมาจนสมบูรณ์พร้อม

    “ใจพี่น่ะอยากทำสิ่งดีๆ ให้คุณศิเสมอ ติดแต่ว่างานราชการมันมากมายอยู่นัก”

    “หรือไม่... คุณพี่ก็ไปทำผิดอะไรมาเมื่อคืน”

    แต่อีกใจ คนพูดก็อดนึกไปอย่างนั้นไม่ได้

    “เรื่องเมื่อคืน พี่ก็บอกไปหมดแล้ว ที่จะผิด ก็นิดเดียว”

    “ไม่นิดมังคะ ถึงเพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้”

    อารมณ์ที่บรรเจิดอยู่กับภาพวิวทิวทัศน์ กลับคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

    “คุณศิอย่าเพิ่งโกรธ พี่กำลังจะบอกว่า ที่เมื่อคืนบอกจะพาไปดูระบำน่ะ เห็นทีจะต้องเลื่อนไปก่อน”

    “ทำไมล่ะคะ”

    “งานที่กรม เรื่องรวบรวมพระราชพงศาวดารเทิดพระเกียรติ เมื่อคืนที่บอก ก็ไม่ทันได้นึกถึงเรื่องนี้ แล้วไหนจะต้องไปเคี่ยวเข็ญพวกเช้าชามเย็นชามพวกนั้นอีก”

    “งานเยอะเหลือเกินนะคะกรมกองนี้”

    “ก็ท่านจอมพลท่านเน้นเรื่องนี้ เรื่องกษัตริย์นิยมอย่างนี้ รัฐบาลก่อนๆ มองว่าเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองแบบมีรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้นำคนนี้ คุณศิก็ย่อมรู้ดี ว่าอาศัยการอิงกับสถาบันนี้ละ สร้างความชอบธรรมให้กับวิธีการปกครองแปลกๆ ของตัวเอง”

    “ก็ไม่ได้มีแต่คุณพี่คนเดียว”

    “เถอะน่า เหนื่อยหน่อยแต่ได้เจริญในหน้าที่ คุณศิต้องส่งเสริมพี่ถึงจะถูก”

    ไม่ทันที่ศศิประภาจะตั้งแง่แสนงอนต่อไปอย่างไรอีก นางหมายก็เข้ามารายงาน

    “โทรศัพท์จากคุณพรสุรางค์ค่ะ ท่านว่าให้ไปหาด่วน มีเรื่องสำคัญจะปรึกษา”


    
     ตั้งแต่ศรสวรรค์ถูกส่งไปแต่งกับลูกชายท่านผู้นำที่กัมพูชา คุณพรสุรางค์ผู้เป็นมารดาก็เก็บตัวเลิกออกสังคม แม้จะยังดำรงฐานะเป็นอนุภรรยาคนโปรด แต่ก็วางตัวได้บรรดาอนุคนอื่นๆ เกรงอกเกรงใจได้เป็นอย่างดี

    แต่แรกที่พบหน้า สองสามีภรรยาคือสัตยากับศศิประภาเห็นสีหน้าของน้าสาวไม่ค่อยสู้ดีก็พลอยไม่สบายใจ ทว่าพอทราบความต้องการของหล่อนแล้ว กลับเป็นฝ่ายตนที่ต้องลำบากใจ

    “น้าอยากได้ภาพพระพุทธะชนะมาร”

    คุณพรสุรางค์ย้ำอีกครั้ง หลังจากที่เห็นว่าสัตยายังไม่รับคำอะไร

    “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

    คำถามหลัง เน้นทุกคำจนเขาจำเป็นต้องตอบ

    “เรื่องนั้นผมยินดีรับใช้ แต่ตอนนี้... งานที่ท่านจอมพลให้ทำยังค้างอยู่”

    “เรื่องนี้น้ารู้อยู่แล้ว และก็ขออนุญาตแล้ว ท่านว่าให้สัตยามาช่วยงานน้าก่อน เสร็จเมื่อไหร่ค่อยกลับไปที่กรม”

    ศศิประภาแทบเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางกลับบ้าน ด้วยเมื่อเช้ายังพูดกันอยู่ว่า เพราะงานราชการทำให้มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลง คราวนี้ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไร โอกาสก็บันดาลให้ได้อยู่ใกล้ชิดกันตามสบาย

    “ได้รับช่วยงานคุณน้าครั้งนี้ดีจังเลยนะคะ คุณพี่จะได้ไม่ต้องเข้ากรม เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเสียที ตั้งแต่ย้ายมาบ้านนี้ เรายังไม่ได้มีเวลาอยู่กันจริงๆ จังๆ เลยสักวัน”


(ต่อคคห.ที่๑)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่