บทที่แล้ว ________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๔ ...]
http://ppantip.com/topic/30020723
***********************************************************************************
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๕
ที่ว่า สัตยาต้องการกำลังใจจากภรรยาในการทำงานนั้นเป็นความจริง เพราะยุคสมัยที่เขาได้เจริญเติบโตในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้ข้าราชการดีๆ จะมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีมากที่อยู่ไปอย่างซังกะตาย เพราะระบบพวกพ้อง
และแม้ว่า เมื่อได้รับตำแหน่งใหญ่โตภายในชั่วข้ามคืนแล้ว สัตยาจะทำหน้าที่ราชการอย่างสุดความสามารถเพียงใด ขยันขันแข็งเพียงไหน ก็กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากบรรดาพวกใต้บังคับบัญชาเท่าที่ควร
บางครั้งสัตยาก็จำเป็นต้องตำหนิกันตรงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะอะลุ่มอล่วยกันตามภาษิตที่ว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เสียมากกว่า
“คนเขียนหนังสือทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนี้มีมาก ทั้งฉบับราษฎร์ฉบับหลวง ที่ค้นคว้าสืบทอดกันจริงจังก็เยอะ ที่อาศัยคิดฝันเอาเองก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย ฉะนั้น งานนี้เป็นงานใหญ่ พวกคุณต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ในการตรวจสอบ บันทึก เปรียบเทียบ แล้วเลือกนำสิ่งที่ถูกที่ควรที่สุดมาใช้ ที่สำคัญคือต้องให้ทันเวลา”
สัตยาต้องร่ายยาวเสมอ เมื่อจะสั่งการสิ่งไร และไม่วายได้รับคำตอบเดิมๆ
“ทันเวลาของคุณสัตยา ก็คือทันใจท่านผู้นำ พวกกระผมไม่สามารถพอหรอกครับ”
“พวกเราเป็นข้าราชการ อย่าลืมสิ”
“ใช่ครับ พวกเราเป็นแค่ข้าราชการ ไม่ใช่ข้ารัฐบาล”
ใครคนหนึ่งเน้นทุกคำ กับคำพูดนี้ จนสัตยาต้องตัดบท มิฉะนั้น อาจถูกเสียดสีจนเข้าเนื้อมากขึ้นไปอีก
“สรุปว่าเราก็แบ่งงานกันทำ ช่วยกันอ่าน แล้วนำมาแสดงความคิดเห็น ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
ที่จริงถ้าไม่ติดตรงที่ ขณะนี้เขาไม่มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานมากนัก สัตยาก็คงรับภาระการตรวจสอบ ตรวจทานหนังสือบันทึกทั้งหมดไว้เสียเอง แต่หลังจากที่วาดภาพหญิงงามนั่นเสร็จ ก็ดูเหมือนความคิดอ่านจะเพียรวนเวียนอยู่กับแต่ตรงนั้น
“พวกเราเกรงว่าจะอ่านไม่ทัน...”
อีกคนพยายามต่อรอง
“ผมรู้ว่าพวกคุณทำได้ และรับรองว่า ถ้างานนี้สำเร็จ พวกคุณจะได้ดีกันถ้วนหน้า”
สัตยาต้องใช้ตัวช่วย ด้วยประโยคสุดท้ายเช่นนั้น ก่อนที่เลขานุการจะเข้ามากระซิบบอกว่ามีแขกสำคัญมาหา
เขาต้องรีบจบการประชุม เพราะผู้มาเยือนเป็นถึงระดับเจ้ากรมของกระทรวงสำคัญ
“พี่โมทย์มีธุระด่วนอะไรหรือครับ แวะมาถึงที่นี่”
“เรื่องสำคัญของผมตอนนี้มีเรื่องเดียวคุณก็รู้”
ปราโมทย์ทำเป็นมีลับลมคมใน ซึ่งสัตยาแม้จะนึกรู้ทัน แต่ก็เฉยเสีย กลับเชิญผู้มาเยือนมายังห้องทำงานส่วนตัว
“ว่าไงล่ะ เรื่องที่ผมฝากไว้ ไปถึงไหนแล้ว”
แน่นอนว่าคนพูดต้องหมายถึง การวาดนู้ดสวยๆ บนแผ่นกระดาษหนังคนเพียงสถานเดียว
“ผมยังไม่ได้เริ่มวาด...”
คำแรกที่ปดออกไป ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงพูดเช่นนั้น
“...เคยบอกพี่โมทย์แล้วว่าท่านให้ทำงานชิ้นสำคัญ เลยยังไม่มีเวลาน่ะครับ”
“แต่นี่ก็หลายวันมาแล้ว”
“ถ้าจะให้บอกตรงๆ คือ ในสายตาผมยังไม่เห็นใครจะสวยงามพอให้เป็นแนวทาง เพราะภาพในใจมันเด่นชัดนัก พอมีแต่ภาพในใจไม่มีแบบทางตา ก็ลำบากอยู่พอสมควร กระดาษวิเศษขนาดนั้น ไม่อยากทำให้เสียหาย...”
สัตยาพยายามไล่เรียงเหตุผล
“อย่างนั้นเราก็ไปเยี่ยมคุณน้าพรสุรางค์ที่จวนท่านจอมพล ที่นั่นสาวๆ เยอะแยะ”
ปราโมทย์หมายถึงคุณน้าที่เป็นอนุภรรยาคนโปรดของท่านผู้นำ ที่อาศัยอยู่ร่วมอาณาบริเวณกว้างขวางราวพระราชวัง กับบรรดาสตรีอื่นๆ ผู้อยู่ในฐานะใกล้เคียงกัน
“ที่ฮาเรมนั่นก็มีแต่พวกพื้นๆ ถึงพวกนางงามร้อยเวที ก็แค่ดาดๆ ตามรสนิยมกรรมการ...”
“อย่างนั้นคุณก็ว่ามา อยากไปนั่งจิบสุราชมสาวที่ไหน ผมจะรับรองให้ถึงใจ”
ปราโมทย์แสดงน้ำใจเต็มที่ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ อย่างที่บอกนั่นละ กวาดตาทั่วพระนคร ผมยังไม่เห็นใครสวยงามเท่ากับที่มีอยู่ในมโน”
“แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะสำเร็จ”
เสียงปราโมทย์ชักห้วน
“อันนี้ก็บอกไม่ได้ แต่รับรองว่าจะไม่ช้าเกินไป”
“คุณบอกมาเลยดีกว่าว่าจะวาดเสร็จเมื่อไหร่”
“พี่โมทย์ไม่เข้าใจ เรื่องวาดภาพจะให้ได้อย่างดีวิเศษนี้ มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง จะมากะเกณฑ์เหมือนภาพวิวทิวทัศน์ตามร้านค้าริมทางนั้นไม่ได้”
“แต่ผมใจร้อน...”
ระหว่างที่เซ้าซี้กันอย่างนั้น ภาพหญิงงามบนกระดาษหนังมนุษย์ที่สัตยาวาดเสร็จ แล้วม้วนเก็บไว้มิดชิด ก็ยังเก็บงำตัวตนของมันได้อย่างแนบเนียน
เมื่อก่อนออกมาทำงาน สัตยาหับประตูไว้ เป็นสัญญาณให้รู้ว่ายังไม่ต้องการให้ใครไปยุ่มย่าม แม้ไม่ได้ลงกลอนหรือคล้องสายยู แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้คนทางบ้านได้ไม่น้อย
เพราะศศิประภาเอง พอขวัญที่หายจากเรื่องผีสางซ้ำซาก ทำท่าจะกลับมาสู่ตัว ก็อยากจะปฏิบัติภาระการงานในฐานะแม่เรือนให้เต็มที่ โดยเฉพาะในห้องทำงานของสามี ที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะดูแลด้วยตนเอง
แต่วันนี้กลับเปิดประตูเข้าไปไม่ได้ จะเรียกนางหมายหรือใครมาช่วยผลัก ก็กลัวจะแตกตื่นรื้อฟื้นเรื่องผีนังเดือนขึ้นมาอีก พยายามผลักเข้าไปข้างในอยู่นาน
และถึงกับลองแลหาช่องที่จะส่องดู ว่ามีใครหรืออะไรหลงเข้าไปติดอยู่ข้างใน อย่างคราวแมวในห้องนังเดือนหรือไม่ ก็เห็นว่าในห้องนั้นว่างโล่ง ปราศจากการเคลื่อนไหวอื่นใด
หากไม่ติดว่าผู้เป็นน้าสาวและเป็นอนุภรรยาของท่านผู้นำ โทร.เรียกให้ไปหา ศศิประภาก็คงจะหาทางอื่นเข้าไปให้จนได้
แต่ธุระของคุณพรสุรางค์นั้นน่าจะเป็นเรื่องร้อน จึงจำเป็นต้องพักเรื่องประตูห้องทำงานสัตยาเอาไว้ก่อน อาจแค่บานพับตกผุ ติดร่องจนล็อคตัวเองไว้ไม่ยอมขยับ หรืออาจมีเหตุผลอีกร้อยแปด
ยิ่งเมื่อมาถึงจวนท่านผู้นำ แล้วเห็นว่าสีหน้าของอนุภรรยาคนโปรดและเป็นน้าสาวแท้ๆ ของตน มีสีหน้าเคร่งเครียด ก็ยิ่งเป็นห่วง เพราะความรุ่งเรืองหรือตกอับของทั้งวงศ์ตระกูล ก็อาจขึ้นกับความโปรดปรานที่มีต่อคุณพรสุรางค์เพียงผู้เดียว
ผู้เป็นน้าสาว ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย หรือตกไปเป็นขี้ปากของบรรดาอนุนางอื่นๆ พอศศิประภามาถึง ยังไม่ทันได้พูดจาเรื่องสำคัญ ก็รีบพามายังห้องของบุตรสาว
เพล้ง!...
เสียงกระเบื้องแตกนั่นเกิดขึ้นพร้อมกับ แรงกระแทกจนประตูตีกลับมา
“ไป! ออกไปให้พ้น อย่ามาบังคับกันให้ยาก...”
ทั้งพรสุรางค์ผู้เป็นมารดา และศศิประภาผู้มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ ได้แต่ยืนมองหน้ากันไปมาอีกอึดใจใหญ่ จนแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรขว้างปาออกมาอีก พรสุรางค์จึงค่อยเอ่ยขึ้นเบาๆ
“แม่ศร นี่แม่เองนะลูก...”
“ไม่ต้องเข้ามา คุณแม่ไม่รักลูกแล้ว”
เสียงในห้องยังเกรี้ยวกราด
“คุณศร นี่พี่เองนะคะ พี่ศิ...”
ศศิประภาส่งเสียงเข้าไปบ้าง
ในห้องเงียบไปอีกพัก สองคนข้างนอกจึงค่อยเผยประตูเข้าไป
ทั้งห้องเกลื่อนไปด้วยซากแรงพยศของบุตรีท่านจอมพล เครื่องทองโบราณชุดหนึ่งกระจายอยู่ใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง คุณพรสุรางค์รีบผวาเข้าไปเก็บรวบรวม
“โธ่! ลูก... นี้ของเก่าแก่หาที่ไหนอีกไม่ได้แล้ว”
“คุณแม่อยากได้ก็เอาไปสิ เอาไปให้พ้นๆ ศรไม่อยากได้ ไม่อยากเห็น”
ศศิประภาพยายามพิจารณา คิดว่าน่าจะเป็นเครื่องทองของหมั้นจากเจ้าใหญ่นายโตสักคนแน่ๆ
“เขาให้เราเปล่าๆ คุณศรก็รับไว้เถอะค่ะ”
เมื่อคิดว่าน่าจะเป็นของขวัญทาบทาม หล่อนจึงพูดไปดังนั้น
“ใครอยากจะรับก็รับ ศรไม่เอา”
“แม่ศร เราจะไปตัดสินใจอะไรได้ ทางโน้นเขาก็หวังจะให้เกี่ยวดองกันไว้เป็นญาติสนิทชิดเชื้อ ถ้าคุณพ่อไม่รักหนู จะยอมให้หนูต้องรับภาระหนักนี้ได้อย่างไร”
...ต้องเกี่ยวกับการเมืองอีกแน่ๆ... ศศิประภาคิด
“จะให้ศรไปอยู่ถึงเขมรขแมร์โน่นนะคะ”
“ทางโน้นเขาก็ไม่ใช่คนเล็กคนน้อย มีศักดิ์มีศรี บงการประเทศชาติไม่ต่างจากท่านจอมพล”
“แต่ลูกสาวคนอื่นๆ ก็มี ทำไมต้องเป็นศร คุณพ่อต้องเกลียดศร ไม่อยากให้ศรอยู่ใกล้ๆ”
“คุณศรคะ...”
ศศิประภาจำเป็นต้องเอ่ยแทรก ที่คุณพรสุรางค์เรียกหล่อนให้หา ก็คงเป็นเพราะสาเหตุนี้”
“...เรื่องมีเหย้ามีเรือนมันเป็นธรรมดาของเรา”
“แต่นี่มันเกินไป สู้เนรเทศศรออกนอกประเทศไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงงานราชการบ้านเมือง ผู้ใหญ่เขาต้องคิดหน้าคิดหลังรอบคอบแล้วว่า คุณศรนั้นเหมาะสมที่สุด จริงไหมคะคุณน้า”
คนพูดหันไปทางน้าสาว พยักเพยิดให้ช่วยสนับสนุน
“แน่นอนจ๊ะศิ เรื่องนี้สำคัญมาก อย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ หรือถ้าจะปฏิเสธ มันเกี่ยวพันถึงพวกเราทุกคน”
พอได้ฟัง ศศิประภาก็อดไม่ได้ที่จะถามย้ำ
“สำคัญอย่างนั้นเชียวหรือคะคุณน้า”
“ท่านโน้นเขาก็เป็นลูกชายท่านผู้บังคับประเทศเหมือนกัน... ถ้า... ปัญหาที่ตามมาจะมีอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องเขตแดนที่มันกำลังจะปะทุขึ้นมาอีก...”
“คนอื่นก็มี นางงงนางงาม พวกนังเล็กๆ ของคุณพ่อก็มีอีกเยอะ ส่งพวกมันไปสิคะ”
“ใจเย็นก่อนค่ะคุณศร พี่อยากให้คิดกลับกัน ก็พวกนั้นมีเยอะแยะ ทำไมคุณพ่อถึงเลือกเรา นั่นเพราะเห็นความสำคัญ อยากให้เราได้ดีไม่มีใครเทียบเทียม”
“ใช่จ้ะ ที่คุณท่านเลือกแม่ศร ก็เพราะเห็นว่าเป็นลูกสาวที่รักที่สุด”
“อย่างนั้นไม่ต้องมารักศรก็ได้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ศรก็ไม่มีวันไปอยู่กะไอ้พวกบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนั้น นะคะคุณแม่... ขอร้องคุณพ่อให้ศรด้วย”
“ขอร้องมาไม่รู้เท่าไหร่แล้วแม่ศร จนตอนนี้ท่านหลบหน้าแม่ไปแล้ว ถ้าเรายังปฏิเสธ ต้องลำบากกันหมดแน่ๆ”
“ก็ดีสิคะ ได้ออกไปอยู่กันตามประสาเรา ไม่ต้องมาอยู่เป็นขี้ปากให้นังนั้นมันนินทา”
“ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกลูก คิดหรือว่าคนที่กล้าขัดใจท่าน จะได้อยู่สุขสบาย แม่ว่าความตายยังง่ายกว่า แม่ศรคิดจริงๆ หรือว่าแม่ไม่เสียใจหนักกับเรื่องนี้”
น้ำตาขึ้นมาคลอตาคุณพรสุรางค์ เสียงนั้นระโหยแห้ง ทั้งรักทั้งห่วงบุตรสาว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“คุณน้า... คุณศรคะ อย่าเพิ่งวิตกกังวลอะไรให้เกินกว่าเหตุ เขมรไม่ใช่แดนไกล เลยจันทบุรีไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว เราไม่ได้ตายจากกัน ซ้ำคุณศรยังจะไปมีหน้ามีตา...”
“พี่ศิคะ ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่รู้จะต้องไปลำบากขนาดไหน”
“แม่ศร แม่ไม่มีทางยอมให้ลำบากหรอกลูก แม่ศรก็เหมือนแก้วตาดวงใจของแม่ ห่างไกลกันไปขนาดนี้ แม่ก็ใจหายนัก ทุกข์ใจอะไรขึ้นมา ถ้าไม่มีลูกสาวให้คอยเห็นหน้า แม่ก็ไม่รู้จะทนได้ไปอีกกี่มากน้อย”
ไม่ทันจบคำ น้ำตาของคุณพรสุรางค์ก็ไหลลงมาเป็นสาย ใจที่อ่อนลงมากแล้วของศรสวรรค์ พอเห็นมารดาต้องหลั่งน้ำตา ตัวเองก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาเช่นกัน
ศศิประภาเห็นว่า ที่จริงเหตุที่ยังรำพึงรำพันกันอยู่นี้ เพราะสองแม่ลูกไม่อยากจากกันมากกว่า จึงเสนอทางออก
“เอาอย่างนี้ไหมคะ เราก็หาช่างภาพเก่งๆ มาถ่ายรูปครอบครัวเราเอาไว้ ล้างภาพอัดภาพแบ่งกันไป เอาไว้ให้ระลึกถึงกัน”
“ก็ดีเหมือนกันนะแม่ศร หรือคิดว่าอย่างไร”
“อย่างนั้นก็ให้พี่สัตยาจัดการ”
สองคนที่ได้ฟัง ไม่ทันคิด ว่าเหตุไรศรสวรรค์จึงเอ่ยถึงเขาเป็นคนแรก
“คุณสัตยาเขาถนัดแต่ทางวาดนะคะ”
“นั่นสิแม่ศร สัตยาเขาเก่งทางนั้น ทางถ่ายภาพนี้แม่ยังเคยเห็นฝีมือ”
“เก่งทางไหนก็ให้เขาทำทางนั้นเถอะค่ะ”
“คุณศรหมายความว่าอย่างไร พี่ไม่เข้าใจ”
“ถนัดวาดก็วาดสิคะ”
“แล้วเมื่อไรจะสำเร็จ”
คุณพรสุรางค์เป็นห่วง
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นละค่ะ”
“คุณศรจะซื้อเวลา...”
“ก็เป็นสิทธิ์ของศรนะคะพี่ศิ ตกลงตามนี้”
“แต่งานคุณสัตยาที่กรมยังมีมาก”
“ไม่ใช่ปัญหาของศรหรอกค่ะ ศรไม่ยอมลำบาก เป็นทุกข์กับเรื่องนี้คนเดียวแน่ๆ”
________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๕ ...]
http://ppantip.com/topic/30020723
***********************************************************************************
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๕
ที่ว่า สัตยาต้องการกำลังใจจากภรรยาในการทำงานนั้นเป็นความจริง เพราะยุคสมัยที่เขาได้เจริญเติบโตในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้ข้าราชการดีๆ จะมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีมากที่อยู่ไปอย่างซังกะตาย เพราะระบบพวกพ้อง
และแม้ว่า เมื่อได้รับตำแหน่งใหญ่โตภายในชั่วข้ามคืนแล้ว สัตยาจะทำหน้าที่ราชการอย่างสุดความสามารถเพียงใด ขยันขันแข็งเพียงไหน ก็กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากบรรดาพวกใต้บังคับบัญชาเท่าที่ควร
บางครั้งสัตยาก็จำเป็นต้องตำหนิกันตรงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะอะลุ่มอล่วยกันตามภาษิตที่ว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เสียมากกว่า
“คนเขียนหนังสือทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนี้มีมาก ทั้งฉบับราษฎร์ฉบับหลวง ที่ค้นคว้าสืบทอดกันจริงจังก็เยอะ ที่อาศัยคิดฝันเอาเองก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย ฉะนั้น งานนี้เป็นงานใหญ่ พวกคุณต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ในการตรวจสอบ บันทึก เปรียบเทียบ แล้วเลือกนำสิ่งที่ถูกที่ควรที่สุดมาใช้ ที่สำคัญคือต้องให้ทันเวลา”
สัตยาต้องร่ายยาวเสมอ เมื่อจะสั่งการสิ่งไร และไม่วายได้รับคำตอบเดิมๆ
“ทันเวลาของคุณสัตยา ก็คือทันใจท่านผู้นำ พวกกระผมไม่สามารถพอหรอกครับ”
“พวกเราเป็นข้าราชการ อย่าลืมสิ”
“ใช่ครับ พวกเราเป็นแค่ข้าราชการ ไม่ใช่ข้ารัฐบาล”
ใครคนหนึ่งเน้นทุกคำ กับคำพูดนี้ จนสัตยาต้องตัดบท มิฉะนั้น อาจถูกเสียดสีจนเข้าเนื้อมากขึ้นไปอีก
“สรุปว่าเราก็แบ่งงานกันทำ ช่วยกันอ่าน แล้วนำมาแสดงความคิดเห็น ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
ที่จริงถ้าไม่ติดตรงที่ ขณะนี้เขาไม่มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานมากนัก สัตยาก็คงรับภาระการตรวจสอบ ตรวจทานหนังสือบันทึกทั้งหมดไว้เสียเอง แต่หลังจากที่วาดภาพหญิงงามนั่นเสร็จ ก็ดูเหมือนความคิดอ่านจะเพียรวนเวียนอยู่กับแต่ตรงนั้น
“พวกเราเกรงว่าจะอ่านไม่ทัน...”
อีกคนพยายามต่อรอง
“ผมรู้ว่าพวกคุณทำได้ และรับรองว่า ถ้างานนี้สำเร็จ พวกคุณจะได้ดีกันถ้วนหน้า”
สัตยาต้องใช้ตัวช่วย ด้วยประโยคสุดท้ายเช่นนั้น ก่อนที่เลขานุการจะเข้ามากระซิบบอกว่ามีแขกสำคัญมาหา
เขาต้องรีบจบการประชุม เพราะผู้มาเยือนเป็นถึงระดับเจ้ากรมของกระทรวงสำคัญ
“พี่โมทย์มีธุระด่วนอะไรหรือครับ แวะมาถึงที่นี่”
“เรื่องสำคัญของผมตอนนี้มีเรื่องเดียวคุณก็รู้”
ปราโมทย์ทำเป็นมีลับลมคมใน ซึ่งสัตยาแม้จะนึกรู้ทัน แต่ก็เฉยเสีย กลับเชิญผู้มาเยือนมายังห้องทำงานส่วนตัว
“ว่าไงล่ะ เรื่องที่ผมฝากไว้ ไปถึงไหนแล้ว”
แน่นอนว่าคนพูดต้องหมายถึง การวาดนู้ดสวยๆ บนแผ่นกระดาษหนังคนเพียงสถานเดียว
“ผมยังไม่ได้เริ่มวาด...”
คำแรกที่ปดออกไป ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงพูดเช่นนั้น
“...เคยบอกพี่โมทย์แล้วว่าท่านให้ทำงานชิ้นสำคัญ เลยยังไม่มีเวลาน่ะครับ”
“แต่นี่ก็หลายวันมาแล้ว”
“ถ้าจะให้บอกตรงๆ คือ ในสายตาผมยังไม่เห็นใครจะสวยงามพอให้เป็นแนวทาง เพราะภาพในใจมันเด่นชัดนัก พอมีแต่ภาพในใจไม่มีแบบทางตา ก็ลำบากอยู่พอสมควร กระดาษวิเศษขนาดนั้น ไม่อยากทำให้เสียหาย...”
สัตยาพยายามไล่เรียงเหตุผล
“อย่างนั้นเราก็ไปเยี่ยมคุณน้าพรสุรางค์ที่จวนท่านจอมพล ที่นั่นสาวๆ เยอะแยะ”
ปราโมทย์หมายถึงคุณน้าที่เป็นอนุภรรยาคนโปรดของท่านผู้นำ ที่อาศัยอยู่ร่วมอาณาบริเวณกว้างขวางราวพระราชวัง กับบรรดาสตรีอื่นๆ ผู้อยู่ในฐานะใกล้เคียงกัน
“ที่ฮาเรมนั่นก็มีแต่พวกพื้นๆ ถึงพวกนางงามร้อยเวที ก็แค่ดาดๆ ตามรสนิยมกรรมการ...”
“อย่างนั้นคุณก็ว่ามา อยากไปนั่งจิบสุราชมสาวที่ไหน ผมจะรับรองให้ถึงใจ”
ปราโมทย์แสดงน้ำใจเต็มที่ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ อย่างที่บอกนั่นละ กวาดตาทั่วพระนคร ผมยังไม่เห็นใครสวยงามเท่ากับที่มีอยู่ในมโน”
“แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะสำเร็จ”
เสียงปราโมทย์ชักห้วน
“อันนี้ก็บอกไม่ได้ แต่รับรองว่าจะไม่ช้าเกินไป”
“คุณบอกมาเลยดีกว่าว่าจะวาดเสร็จเมื่อไหร่”
“พี่โมทย์ไม่เข้าใจ เรื่องวาดภาพจะให้ได้อย่างดีวิเศษนี้ มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง จะมากะเกณฑ์เหมือนภาพวิวทิวทัศน์ตามร้านค้าริมทางนั้นไม่ได้”
“แต่ผมใจร้อน...”
ระหว่างที่เซ้าซี้กันอย่างนั้น ภาพหญิงงามบนกระดาษหนังมนุษย์ที่สัตยาวาดเสร็จ แล้วม้วนเก็บไว้มิดชิด ก็ยังเก็บงำตัวตนของมันได้อย่างแนบเนียน
เมื่อก่อนออกมาทำงาน สัตยาหับประตูไว้ เป็นสัญญาณให้รู้ว่ายังไม่ต้องการให้ใครไปยุ่มย่าม แม้ไม่ได้ลงกลอนหรือคล้องสายยู แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้คนทางบ้านได้ไม่น้อย
เพราะศศิประภาเอง พอขวัญที่หายจากเรื่องผีสางซ้ำซาก ทำท่าจะกลับมาสู่ตัว ก็อยากจะปฏิบัติภาระการงานในฐานะแม่เรือนให้เต็มที่ โดยเฉพาะในห้องทำงานของสามี ที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะดูแลด้วยตนเอง
แต่วันนี้กลับเปิดประตูเข้าไปไม่ได้ จะเรียกนางหมายหรือใครมาช่วยผลัก ก็กลัวจะแตกตื่นรื้อฟื้นเรื่องผีนังเดือนขึ้นมาอีก พยายามผลักเข้าไปข้างในอยู่นาน
และถึงกับลองแลหาช่องที่จะส่องดู ว่ามีใครหรืออะไรหลงเข้าไปติดอยู่ข้างใน อย่างคราวแมวในห้องนังเดือนหรือไม่ ก็เห็นว่าในห้องนั้นว่างโล่ง ปราศจากการเคลื่อนไหวอื่นใด
หากไม่ติดว่าผู้เป็นน้าสาวและเป็นอนุภรรยาของท่านผู้นำ โทร.เรียกให้ไปหา ศศิประภาก็คงจะหาทางอื่นเข้าไปให้จนได้
แต่ธุระของคุณพรสุรางค์นั้นน่าจะเป็นเรื่องร้อน จึงจำเป็นต้องพักเรื่องประตูห้องทำงานสัตยาเอาไว้ก่อน อาจแค่บานพับตกผุ ติดร่องจนล็อคตัวเองไว้ไม่ยอมขยับ หรืออาจมีเหตุผลอีกร้อยแปด
ยิ่งเมื่อมาถึงจวนท่านผู้นำ แล้วเห็นว่าสีหน้าของอนุภรรยาคนโปรดและเป็นน้าสาวแท้ๆ ของตน มีสีหน้าเคร่งเครียด ก็ยิ่งเป็นห่วง เพราะความรุ่งเรืองหรือตกอับของทั้งวงศ์ตระกูล ก็อาจขึ้นกับความโปรดปรานที่มีต่อคุณพรสุรางค์เพียงผู้เดียว
ผู้เป็นน้าสาว ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย หรือตกไปเป็นขี้ปากของบรรดาอนุนางอื่นๆ พอศศิประภามาถึง ยังไม่ทันได้พูดจาเรื่องสำคัญ ก็รีบพามายังห้องของบุตรสาว
เพล้ง!...
เสียงกระเบื้องแตกนั่นเกิดขึ้นพร้อมกับ แรงกระแทกจนประตูตีกลับมา
“ไป! ออกไปให้พ้น อย่ามาบังคับกันให้ยาก...”
ทั้งพรสุรางค์ผู้เป็นมารดา และศศิประภาผู้มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ ได้แต่ยืนมองหน้ากันไปมาอีกอึดใจใหญ่ จนแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรขว้างปาออกมาอีก พรสุรางค์จึงค่อยเอ่ยขึ้นเบาๆ
“แม่ศร นี่แม่เองนะลูก...”
“ไม่ต้องเข้ามา คุณแม่ไม่รักลูกแล้ว”
เสียงในห้องยังเกรี้ยวกราด
“คุณศร นี่พี่เองนะคะ พี่ศิ...”
ศศิประภาส่งเสียงเข้าไปบ้าง
ในห้องเงียบไปอีกพัก สองคนข้างนอกจึงค่อยเผยประตูเข้าไป
ทั้งห้องเกลื่อนไปด้วยซากแรงพยศของบุตรีท่านจอมพล เครื่องทองโบราณชุดหนึ่งกระจายอยู่ใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง คุณพรสุรางค์รีบผวาเข้าไปเก็บรวบรวม
“โธ่! ลูก... นี้ของเก่าแก่หาที่ไหนอีกไม่ได้แล้ว”
“คุณแม่อยากได้ก็เอาไปสิ เอาไปให้พ้นๆ ศรไม่อยากได้ ไม่อยากเห็น”
ศศิประภาพยายามพิจารณา คิดว่าน่าจะเป็นเครื่องทองของหมั้นจากเจ้าใหญ่นายโตสักคนแน่ๆ
“เขาให้เราเปล่าๆ คุณศรก็รับไว้เถอะค่ะ”
เมื่อคิดว่าน่าจะเป็นของขวัญทาบทาม หล่อนจึงพูดไปดังนั้น
“ใครอยากจะรับก็รับ ศรไม่เอา”
“แม่ศร เราจะไปตัดสินใจอะไรได้ ทางโน้นเขาก็หวังจะให้เกี่ยวดองกันไว้เป็นญาติสนิทชิดเชื้อ ถ้าคุณพ่อไม่รักหนู จะยอมให้หนูต้องรับภาระหนักนี้ได้อย่างไร”
...ต้องเกี่ยวกับการเมืองอีกแน่ๆ... ศศิประภาคิด
“จะให้ศรไปอยู่ถึงเขมรขแมร์โน่นนะคะ”
“ทางโน้นเขาก็ไม่ใช่คนเล็กคนน้อย มีศักดิ์มีศรี บงการประเทศชาติไม่ต่างจากท่านจอมพล”
“แต่ลูกสาวคนอื่นๆ ก็มี ทำไมต้องเป็นศร คุณพ่อต้องเกลียดศร ไม่อยากให้ศรอยู่ใกล้ๆ”
“คุณศรคะ...”
ศศิประภาจำเป็นต้องเอ่ยแทรก ที่คุณพรสุรางค์เรียกหล่อนให้หา ก็คงเป็นเพราะสาเหตุนี้”
“...เรื่องมีเหย้ามีเรือนมันเป็นธรรมดาของเรา”
“แต่นี่มันเกินไป สู้เนรเทศศรออกนอกประเทศไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงงานราชการบ้านเมือง ผู้ใหญ่เขาต้องคิดหน้าคิดหลังรอบคอบแล้วว่า คุณศรนั้นเหมาะสมที่สุด จริงไหมคะคุณน้า”
คนพูดหันไปทางน้าสาว พยักเพยิดให้ช่วยสนับสนุน
“แน่นอนจ๊ะศิ เรื่องนี้สำคัญมาก อย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ หรือถ้าจะปฏิเสธ มันเกี่ยวพันถึงพวกเราทุกคน”
พอได้ฟัง ศศิประภาก็อดไม่ได้ที่จะถามย้ำ
“สำคัญอย่างนั้นเชียวหรือคะคุณน้า”
“ท่านโน้นเขาก็เป็นลูกชายท่านผู้บังคับประเทศเหมือนกัน... ถ้า... ปัญหาที่ตามมาจะมีอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องเขตแดนที่มันกำลังจะปะทุขึ้นมาอีก...”
“คนอื่นก็มี นางงงนางงาม พวกนังเล็กๆ ของคุณพ่อก็มีอีกเยอะ ส่งพวกมันไปสิคะ”
“ใจเย็นก่อนค่ะคุณศร พี่อยากให้คิดกลับกัน ก็พวกนั้นมีเยอะแยะ ทำไมคุณพ่อถึงเลือกเรา นั่นเพราะเห็นความสำคัญ อยากให้เราได้ดีไม่มีใครเทียบเทียม”
“ใช่จ้ะ ที่คุณท่านเลือกแม่ศร ก็เพราะเห็นว่าเป็นลูกสาวที่รักที่สุด”
“อย่างนั้นไม่ต้องมารักศรก็ได้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ศรก็ไม่มีวันไปอยู่กะไอ้พวกบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนั้น นะคะคุณแม่... ขอร้องคุณพ่อให้ศรด้วย”
“ขอร้องมาไม่รู้เท่าไหร่แล้วแม่ศร จนตอนนี้ท่านหลบหน้าแม่ไปแล้ว ถ้าเรายังปฏิเสธ ต้องลำบากกันหมดแน่ๆ”
“ก็ดีสิคะ ได้ออกไปอยู่กันตามประสาเรา ไม่ต้องมาอยู่เป็นขี้ปากให้นังนั้นมันนินทา”
“ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกลูก คิดหรือว่าคนที่กล้าขัดใจท่าน จะได้อยู่สุขสบาย แม่ว่าความตายยังง่ายกว่า แม่ศรคิดจริงๆ หรือว่าแม่ไม่เสียใจหนักกับเรื่องนี้”
น้ำตาขึ้นมาคลอตาคุณพรสุรางค์ เสียงนั้นระโหยแห้ง ทั้งรักทั้งห่วงบุตรสาว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“คุณน้า... คุณศรคะ อย่าเพิ่งวิตกกังวลอะไรให้เกินกว่าเหตุ เขมรไม่ใช่แดนไกล เลยจันทบุรีไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว เราไม่ได้ตายจากกัน ซ้ำคุณศรยังจะไปมีหน้ามีตา...”
“พี่ศิคะ ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่รู้จะต้องไปลำบากขนาดไหน”
“แม่ศร แม่ไม่มีทางยอมให้ลำบากหรอกลูก แม่ศรก็เหมือนแก้วตาดวงใจของแม่ ห่างไกลกันไปขนาดนี้ แม่ก็ใจหายนัก ทุกข์ใจอะไรขึ้นมา ถ้าไม่มีลูกสาวให้คอยเห็นหน้า แม่ก็ไม่รู้จะทนได้ไปอีกกี่มากน้อย”
ไม่ทันจบคำ น้ำตาของคุณพรสุรางค์ก็ไหลลงมาเป็นสาย ใจที่อ่อนลงมากแล้วของศรสวรรค์ พอเห็นมารดาต้องหลั่งน้ำตา ตัวเองก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาเช่นกัน
ศศิประภาเห็นว่า ที่จริงเหตุที่ยังรำพึงรำพันกันอยู่นี้ เพราะสองแม่ลูกไม่อยากจากกันมากกว่า จึงเสนอทางออก
“เอาอย่างนี้ไหมคะ เราก็หาช่างภาพเก่งๆ มาถ่ายรูปครอบครัวเราเอาไว้ ล้างภาพอัดภาพแบ่งกันไป เอาไว้ให้ระลึกถึงกัน”
“ก็ดีเหมือนกันนะแม่ศร หรือคิดว่าอย่างไร”
“อย่างนั้นก็ให้พี่สัตยาจัดการ”
สองคนที่ได้ฟัง ไม่ทันคิด ว่าเหตุไรศรสวรรค์จึงเอ่ยถึงเขาเป็นคนแรก
“คุณสัตยาเขาถนัดแต่ทางวาดนะคะ”
“นั่นสิแม่ศร สัตยาเขาเก่งทางนั้น ทางถ่ายภาพนี้แม่ยังเคยเห็นฝีมือ”
“เก่งทางไหนก็ให้เขาทำทางนั้นเถอะค่ะ”
“คุณศรหมายความว่าอย่างไร พี่ไม่เข้าใจ”
“ถนัดวาดก็วาดสิคะ”
“แล้วเมื่อไรจะสำเร็จ”
คุณพรสุรางค์เป็นห่วง
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นละค่ะ”
“คุณศรจะซื้อเวลา...”
“ก็เป็นสิทธิ์ของศรนะคะพี่ศิ ตกลงตามนี้”
“แต่งานคุณสัตยาที่กรมยังมีมาก”
“ไม่ใช่ปัญหาของศรหรอกค่ะ ศรไม่ยอมลำบาก เป็นทุกข์กับเรื่องนี้คนเดียวแน่ๆ”