______________ร่ายนางรำ_____________(....บทที่ ๑....)
http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13041632/W13041632.html
______________ร่ายนางรำ_____________(....บทที่ ๒....)
http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13046037/W13046037.html
______________ร่ายนางรำ_____________(....บทที่ ๓....)
http://ppantip.com/topic/13073761
----------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ ๔
หลังจากญาติผู้พี่ของศศิประภารับรองเป็นมั่นเหมาะ รวมทั้งเอาตำแหน่งในกระทรวงเป็นประกันกับสัตยาว่า เรื่องการจัดตกแต่งบ้านนั้น อย่าว่าแต่แค่ทุบบ่อแล้วก่อใหม่ ต่อให้รื้อบ้านทั้งหลัง แล้วเลือกปลูกให้ทันสมัยกว่านี้ จะสามชั้นสี่ชั้น ก็ยื่นเรื่องใช้งบประมาณแผ่นดินได้เต็มที่
แล้วผู้มาเยือนจึงค่อยเลียบเคียง พูดจาถึงจุดประสงค์แท้จริงของตนเอง
“เมื่อวันเกิดคุณน้า ผมยังจำได้ติดตา ว่าคุณมีฝีมือขนาดไหน คือไม่ใช่แค่เก่ง ยังมีปฏิภาณเป็นเลิศ”
“พี่ปราโมทย์ก็ชมเกินไป กระผมก็แค่หวังจะให้ออกมาดีที่สุด”
“ภาพพลุไฟนั่น อย่าว่าแต่กลางคืนที่เปิดไฟฟ้าแล้วแสงดาวจะกะพริบพร่างพราว ขนาดตอนกลางวันแท้ๆ ยังระยิบระยับจับตา”
“ก็วิธีการพื้นๆ หรอกขอรับ”
“คุณอย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ใครๆ ก็รู้ว่าคุณจบทางนี้มาจากยุโรป ฝรั่งเศสใช่ไหม หรืออิตาลีนะ”
“ผมไปตกยากที่นั่นต่างหากขอรับ ตามเสด็จท่านไป ตั้งแต่จำความไม่ค่อยได้ จนมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง.. ก็ตระเวนไปหลายเมือง”
“เอาละ เรื่องเก่าๆ เราอย่าพูดให้มากความไปเลย สรุปว่าฝีมือตอนนี้ของคุณ เป็นหนึ่งไม่มีสอง”
เพราะใจจริงสัตยาก็ชื่นชอบคำชมอยู่เช่นกัน พอได้รับซ้ำๆ บ่อยเข้าจึงอมยิ้มเฉยเสีย ไม่คิดจะถ่อมตัวอีกต่อไป
“ทราบมาว่าคุณมีฝีมือทางวาดภาพเหมือน มากกว่าทางอื่นๆ”
“อาศัยอยู่ในโบสถ์ทางโน้นหลายปี เลยได้ฝึกบ่อยๆ ขอรับ”
“ฝีมือที่ฝากไว้ในอุโบสถที่พระตะบอง นั้นถึงกับลือกันทีเดียว ตอนนี้ที่นั่นเป็นที่ท่องเที่ยวไปแล้ว”
“ผมก็เลือนๆ ไปแล้ว ไปช่วยวาดไว้สองสามแห่ง”
สัตยาต้องแบ่งรับแบ่งสู้ นี้แสดงว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ต้องไประแคะระคายเกี่ยวกับชีวิตบางอย่างของเขามาด้วยแน่ๆ
“ก็ทั้งนั้นละ ที่ผมไปติดต่อเรื่องสัมปทานเกาะให้ทางโน้น เขายังพาไปชมฝีมือคุณ”
“ถือเป็นการทำบุญ กับได้ทดลองฝีมือตัวเองขอรับ เพราะอาศัยท่านอยู่มาก ตอนกลับมาแรกๆ”
“อย่างเขาว่านั่นละ คนรู้จักมุมานะบากบั่นพากเพียร ไม่มีวันอับจน ตอนนี้คุณก็สบายแล้ว ได้เทียบที่เจ้ากรม...”
“ก็ไม่เชิงขอรับ คือ ตอนนี้ท่านผู้นำดำริให้ผมลองรวบรวมประวัติกรุงเทพ ท่านอยากให้ตรวจทานให้แน่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ ท่านเทิดทูนมาก อยากสนองคุณ”
“ก็สั่งพวกข้างล่างๆ มันจัดการกันไปซี เพราะเทียบตำแหน่งนี้ อยู่แต่เรือนยังได้”
ด้วยเพราะความไม่ค่อยสบายใจ ผุดขึ้นมาตั้งแต่การเท้าความถึงบ้านเก่า สัตยาจึงไม่อยากจะสานต่อบทสนทนาอะไรให้ยืดเยื้อ เมื่อผู้มาเยือนยังมัวแต่ขี่ม้าเลียบค่าย ในที่สุดจึงจำเป็นต้องถาม
“หรือว่าพี่ปราโมทย์มีอะไรให้กระผมรับใช้”
นั่นทำให้ชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาเป็นประกาย อมยิ้มและมีท่าทางเขินๆ อยู่ไม่น้อย
“ก็ไม่เชิงหรอก ถ้าคุณยุ่งๆ ผมก็ไม่อยากรบกวน”
“ในเวลาราชการ ผมก็ทำไปตามปกติ ไม่ได้ทุ่มเทมากมายกระไรหรอก”
ประโยคท้าย เพราะเกรงที่พูดไปก่อนหน้าจะกระทบใจคนฟัง
“คืออย่างนี้ ที่บอกว่าไปติดต่อธุระที่พนมเปญ...”
สัตยาใจหายวาบ เมืองหลวงนั้น คือที่เขากลับมาอาศัยอยู่ ก่อนจะได้มาถึงมาตุภูมิ ได้กลับมาเพราะอาศัยบารมีของประเทศผู้ชนะในสงครามโลก บวกกับได้สัญชาติฝรั่งเศสและมีเชื้อชาติไทย รวมทั้งฝีมือและนัยน์ตาเรื่องศิลปะ จึงได้จับพลัดจับผลูเข้ามาถึงกัมพูชาในฐานะผู้ชำนาญการทางศิลปะอุษาคเนย์ ตั้งแต่ก่อนยุทธภูมิฟากมหาเอเชียบูรพานี้จะปะทุ
เขาพยายามเก็บอาการ รอฟังว่าผู้มาเยือนจะพูดกระไร
“ได้ของวิเศษมาอย่างหนึ่ง”
ตอนนี้เห็นชัดว่า ปราโมทย์ตื่นเต้นถึงขนาดไหน
“ของวิเศษ...”
คนฟังต้องทวนคำ เพราะนึกไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์
“ไม่ใช่จำพวกไว้เหาะเหินเดินอากาศหรอกน่า... กระดาษน่ะ”
“กระดาษ...”
“ใช่...กระดาษดีชนิดวิเศษเลยทีเดียว”
“ถ้าเรื่องกระดาษ กระผมก็พอจะมีความชำนาญอยู่บ้าง”
“นี้อาจเรียกว่าเป็นกระดาษสำหรับวาดภาพที่ดีที่สุด”
“จากทางกัมพูชา...”
สัตยาทิ้งคำไว้แค่นั้น เพราะค่อนข้างมั่นใจ กระดาษคุณภาพเยี่ยม ที่ว่าถึงขั้นวิเศษ ไม่น่าจะได้มาจากทางเขมร
“พูดไปคุณก็จะไม่เชื่อ มาลองดูกันก่อนเป็นไร”
ปราโมทย์ลุกไปเปิดกล่องยาวๆ แล้วคลี่ม้วนกระดาษแผ่ไว้บนโต๊ะ
ไม่ใช่กระดาษแผ่นใหญ่ แต่แค่พิศด้วยตา ก็เห็นแล้วว่าเนื้อนั้นนุ่มนวลเนียนเพียงใด
“เนื้อดีมาก ไม่มีราคี เหมาะสำหรับวาดภาพ”
สัตยาถึงขนาดเผลอวิจารณ์ออกมา
“ผมเสียอัฐไปไม่ใช่น้อย จึงไม่อยากให้เสียเปล่า”
“วาดภาพเหมือนบุคคลสิขอรับ เนื้อกระดาษอย่างนี้ แค่เห็นเนื้อเปล่าๆ ยังดูได้ไม่รู้เบื่อ ถ้ามีรูปใครสวยๆ จะยิ่งชวนมอง”
“แค่นั้นก็ไม่ใช่ของวิเศษน่ะซีเล่า คุณลองสัมผัสเนื้อดูก่อน”
ความมีลับลมคมใน เร้าความสนใจของสัตยาได้มาก
และพอแตะ ก็ถึงกับนิ่งงันไป
“เห็นไหมเล่า...”
ฟังไม่รู้หรอกว่าปราโมทย์พูดอะไรหลังจากนั้น
“...อยากให้คุณวาดผู้หญิงให้สักคน”
“พี่ปราโมทย์ว่ากระไรนะขอรับ”
ถึงตอนนี้ สัตยาต้องเงยหน้าขึ้นถามด้วยความไม่แน่ใจ
อีกฝ่ายจึงค่อยอ้อมแอ้มตอบ
“คุณก็ได้เห็น ได้สัมผัสดูแล้ว ลองคิดดูซี ผิวนั่นนุ่มเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนด้วยซ้ำ ถ้ามีนู้ดงามๆ คงทั้งน่าชมน่าสัมผัส จริงไหมเล่า”
“คนระดับคุณพี่ หาผู้หญิงจริงๆ สักเท่าไรก็ได้”
“เรื่องนั้นก็จริง แต่มันไม่เหมือนกัน...”
“อย่างไรขอรับ”
“ที่อยากให้วาดรูปนู้ดผู้หญิงสวยๆ น่ะ ก็เพราะมันจะได้เข้ากับเนื้อกระดาษ”
“ใช่ขอรับ เนื้อดีขนาดนี้ หากลงเส้นลงสีผิดพลาดไป จะเสียของเปล่า”
“ผมจึงต้องอาศัยคุณไงเล่า นะคุณสัตยา ช่วยผมหน่อย ช่วยวาดนู้ดงามๆ ให้ผมสักรูป ผมเชื่อมือ จึงกล้ามอบของวิเศษนี้ไว้กับคุณ”
คำก็วิเศษ สองคำก็วิเศษ ทั้งที่หลังจากพิจารณาด้วยตาและสัมผัสด้วยมือแล้ว ก็แค่รู้สึกว่าเป็นกระดาษชั้นเลิศเท่านั้น
ทว่าสัตยาจะไม่รับปากช่วยเหลือก็ไม่ได้ เพราะคนตรงหน้าเป็นทั้งญาติผู้พี่ของภรรยา สนิทสนมและกำลังขึ้นหม้อในหน้าที่การงาน ท่านผู้นำเรียกใช้ไม่ได้ขาด หากไปทำให้ผิดใจ หนทางที่กำลังโชติช่วงสดใสของตน ก็อาจจะต้องเสี่ยงภัยกับความหม่นหมอง
“กระผม... ยังไม่รับปากว่าจะเสร็จเมื่อไร”
“เรื่องเวลา แค่ไม่ช้าเกินไปก็พอ ผมไม่เร่งคุณหรอก แค่อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด สมกับความวิเศษของกระดาษแผ่นนี้”
“ได้ยินพี่ปราโมทย์พูดเรื่องเป็นของวิเศษหลายครั้ง กระผมยังไม่กระจ่างใจ ที่ว่าวิเศษนัก เป็นอย่างไรกันแน่...”
และแม้หลังจากได้ยินคำตอบ สัตยาจะอยากคืนมันกลับให้เจ้าของ ก็สุดวิสัยเพราะเหมือนรับปากไปเสียแล้วว่าจะช่วย
“คือกระดาษแผ่นนี้น่ะนะ...
...มันเป็น... กระดาษหนังคน...”
________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๔ ...]
http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13041632/W13041632.html
______________ร่ายนางรำ_____________(....บทที่ ๒....)
http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13046037/W13046037.html
______________ร่ายนางรำ_____________(....บทที่ ๓....)
http://ppantip.com/topic/13073761
----------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากญาติผู้พี่ของศศิประภารับรองเป็นมั่นเหมาะ รวมทั้งเอาตำแหน่งในกระทรวงเป็นประกันกับสัตยาว่า เรื่องการจัดตกแต่งบ้านนั้น อย่าว่าแต่แค่ทุบบ่อแล้วก่อใหม่ ต่อให้รื้อบ้านทั้งหลัง แล้วเลือกปลูกให้ทันสมัยกว่านี้ จะสามชั้นสี่ชั้น ก็ยื่นเรื่องใช้งบประมาณแผ่นดินได้เต็มที่
แล้วผู้มาเยือนจึงค่อยเลียบเคียง พูดจาถึงจุดประสงค์แท้จริงของตนเอง
“เมื่อวันเกิดคุณน้า ผมยังจำได้ติดตา ว่าคุณมีฝีมือขนาดไหน คือไม่ใช่แค่เก่ง ยังมีปฏิภาณเป็นเลิศ”
“พี่ปราโมทย์ก็ชมเกินไป กระผมก็แค่หวังจะให้ออกมาดีที่สุด”
“ภาพพลุไฟนั่น อย่าว่าแต่กลางคืนที่เปิดไฟฟ้าแล้วแสงดาวจะกะพริบพร่างพราว ขนาดตอนกลางวันแท้ๆ ยังระยิบระยับจับตา”
“ก็วิธีการพื้นๆ หรอกขอรับ”
“คุณอย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ใครๆ ก็รู้ว่าคุณจบทางนี้มาจากยุโรป ฝรั่งเศสใช่ไหม หรืออิตาลีนะ”
“ผมไปตกยากที่นั่นต่างหากขอรับ ตามเสด็จท่านไป ตั้งแต่จำความไม่ค่อยได้ จนมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง.. ก็ตระเวนไปหลายเมือง”
“เอาละ เรื่องเก่าๆ เราอย่าพูดให้มากความไปเลย สรุปว่าฝีมือตอนนี้ของคุณ เป็นหนึ่งไม่มีสอง”
เพราะใจจริงสัตยาก็ชื่นชอบคำชมอยู่เช่นกัน พอได้รับซ้ำๆ บ่อยเข้าจึงอมยิ้มเฉยเสีย ไม่คิดจะถ่อมตัวอีกต่อไป
“ทราบมาว่าคุณมีฝีมือทางวาดภาพเหมือน มากกว่าทางอื่นๆ”
“อาศัยอยู่ในโบสถ์ทางโน้นหลายปี เลยได้ฝึกบ่อยๆ ขอรับ”
“ฝีมือที่ฝากไว้ในอุโบสถที่พระตะบอง นั้นถึงกับลือกันทีเดียว ตอนนี้ที่นั่นเป็นที่ท่องเที่ยวไปแล้ว”
“ผมก็เลือนๆ ไปแล้ว ไปช่วยวาดไว้สองสามแห่ง”
สัตยาต้องแบ่งรับแบ่งสู้ นี้แสดงว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ต้องไประแคะระคายเกี่ยวกับชีวิตบางอย่างของเขามาด้วยแน่ๆ
“ก็ทั้งนั้นละ ที่ผมไปติดต่อเรื่องสัมปทานเกาะให้ทางโน้น เขายังพาไปชมฝีมือคุณ”
“ถือเป็นการทำบุญ กับได้ทดลองฝีมือตัวเองขอรับ เพราะอาศัยท่านอยู่มาก ตอนกลับมาแรกๆ”
“อย่างเขาว่านั่นละ คนรู้จักมุมานะบากบั่นพากเพียร ไม่มีวันอับจน ตอนนี้คุณก็สบายแล้ว ได้เทียบที่เจ้ากรม...”
“ก็ไม่เชิงขอรับ คือ ตอนนี้ท่านผู้นำดำริให้ผมลองรวบรวมประวัติกรุงเทพ ท่านอยากให้ตรวจทานให้แน่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ ท่านเทิดทูนมาก อยากสนองคุณ”
“ก็สั่งพวกข้างล่างๆ มันจัดการกันไปซี เพราะเทียบตำแหน่งนี้ อยู่แต่เรือนยังได้”
ด้วยเพราะความไม่ค่อยสบายใจ ผุดขึ้นมาตั้งแต่การเท้าความถึงบ้านเก่า สัตยาจึงไม่อยากจะสานต่อบทสนทนาอะไรให้ยืดเยื้อ เมื่อผู้มาเยือนยังมัวแต่ขี่ม้าเลียบค่าย ในที่สุดจึงจำเป็นต้องถาม
“หรือว่าพี่ปราโมทย์มีอะไรให้กระผมรับใช้”
นั่นทำให้ชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาเป็นประกาย อมยิ้มและมีท่าทางเขินๆ อยู่ไม่น้อย
“ก็ไม่เชิงหรอก ถ้าคุณยุ่งๆ ผมก็ไม่อยากรบกวน”
“ในเวลาราชการ ผมก็ทำไปตามปกติ ไม่ได้ทุ่มเทมากมายกระไรหรอก”
ประโยคท้าย เพราะเกรงที่พูดไปก่อนหน้าจะกระทบใจคนฟัง
“คืออย่างนี้ ที่บอกว่าไปติดต่อธุระที่พนมเปญ...”
สัตยาใจหายวาบ เมืองหลวงนั้น คือที่เขากลับมาอาศัยอยู่ ก่อนจะได้มาถึงมาตุภูมิ ได้กลับมาเพราะอาศัยบารมีของประเทศผู้ชนะในสงครามโลก บวกกับได้สัญชาติฝรั่งเศสและมีเชื้อชาติไทย รวมทั้งฝีมือและนัยน์ตาเรื่องศิลปะ จึงได้จับพลัดจับผลูเข้ามาถึงกัมพูชาในฐานะผู้ชำนาญการทางศิลปะอุษาคเนย์ ตั้งแต่ก่อนยุทธภูมิฟากมหาเอเชียบูรพานี้จะปะทุ
เขาพยายามเก็บอาการ รอฟังว่าผู้มาเยือนจะพูดกระไร
“ได้ของวิเศษมาอย่างหนึ่ง”
ตอนนี้เห็นชัดว่า ปราโมทย์ตื่นเต้นถึงขนาดไหน
“ของวิเศษ...”
คนฟังต้องทวนคำ เพราะนึกไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์
“ไม่ใช่จำพวกไว้เหาะเหินเดินอากาศหรอกน่า... กระดาษน่ะ”
“กระดาษ...”
“ใช่...กระดาษดีชนิดวิเศษเลยทีเดียว”
“ถ้าเรื่องกระดาษ กระผมก็พอจะมีความชำนาญอยู่บ้าง”
“นี้อาจเรียกว่าเป็นกระดาษสำหรับวาดภาพที่ดีที่สุด”
“จากทางกัมพูชา...”
สัตยาทิ้งคำไว้แค่นั้น เพราะค่อนข้างมั่นใจ กระดาษคุณภาพเยี่ยม ที่ว่าถึงขั้นวิเศษ ไม่น่าจะได้มาจากทางเขมร
“พูดไปคุณก็จะไม่เชื่อ มาลองดูกันก่อนเป็นไร”
ปราโมทย์ลุกไปเปิดกล่องยาวๆ แล้วคลี่ม้วนกระดาษแผ่ไว้บนโต๊ะ
ไม่ใช่กระดาษแผ่นใหญ่ แต่แค่พิศด้วยตา ก็เห็นแล้วว่าเนื้อนั้นนุ่มนวลเนียนเพียงใด
“เนื้อดีมาก ไม่มีราคี เหมาะสำหรับวาดภาพ”
สัตยาถึงขนาดเผลอวิจารณ์ออกมา
“ผมเสียอัฐไปไม่ใช่น้อย จึงไม่อยากให้เสียเปล่า”
“วาดภาพเหมือนบุคคลสิขอรับ เนื้อกระดาษอย่างนี้ แค่เห็นเนื้อเปล่าๆ ยังดูได้ไม่รู้เบื่อ ถ้ามีรูปใครสวยๆ จะยิ่งชวนมอง”
“แค่นั้นก็ไม่ใช่ของวิเศษน่ะซีเล่า คุณลองสัมผัสเนื้อดูก่อน”
ความมีลับลมคมใน เร้าความสนใจของสัตยาได้มาก
และพอแตะ ก็ถึงกับนิ่งงันไป
“เห็นไหมเล่า...”
ฟังไม่รู้หรอกว่าปราโมทย์พูดอะไรหลังจากนั้น
“...อยากให้คุณวาดผู้หญิงให้สักคน”
“พี่ปราโมทย์ว่ากระไรนะขอรับ”
ถึงตอนนี้ สัตยาต้องเงยหน้าขึ้นถามด้วยความไม่แน่ใจ
อีกฝ่ายจึงค่อยอ้อมแอ้มตอบ
“คุณก็ได้เห็น ได้สัมผัสดูแล้ว ลองคิดดูซี ผิวนั่นนุ่มเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนด้วยซ้ำ ถ้ามีนู้ดงามๆ คงทั้งน่าชมน่าสัมผัส จริงไหมเล่า”
“คนระดับคุณพี่ หาผู้หญิงจริงๆ สักเท่าไรก็ได้”
“เรื่องนั้นก็จริง แต่มันไม่เหมือนกัน...”
“อย่างไรขอรับ”
“ที่อยากให้วาดรูปนู้ดผู้หญิงสวยๆ น่ะ ก็เพราะมันจะได้เข้ากับเนื้อกระดาษ”
“ใช่ขอรับ เนื้อดีขนาดนี้ หากลงเส้นลงสีผิดพลาดไป จะเสียของเปล่า”
“ผมจึงต้องอาศัยคุณไงเล่า นะคุณสัตยา ช่วยผมหน่อย ช่วยวาดนู้ดงามๆ ให้ผมสักรูป ผมเชื่อมือ จึงกล้ามอบของวิเศษนี้ไว้กับคุณ”
คำก็วิเศษ สองคำก็วิเศษ ทั้งที่หลังจากพิจารณาด้วยตาและสัมผัสด้วยมือแล้ว ก็แค่รู้สึกว่าเป็นกระดาษชั้นเลิศเท่านั้น
ทว่าสัตยาจะไม่รับปากช่วยเหลือก็ไม่ได้ เพราะคนตรงหน้าเป็นทั้งญาติผู้พี่ของภรรยา สนิทสนมและกำลังขึ้นหม้อในหน้าที่การงาน ท่านผู้นำเรียกใช้ไม่ได้ขาด หากไปทำให้ผิดใจ หนทางที่กำลังโชติช่วงสดใสของตน ก็อาจจะต้องเสี่ยงภัยกับความหม่นหมอง
“กระผม... ยังไม่รับปากว่าจะเสร็จเมื่อไร”
“เรื่องเวลา แค่ไม่ช้าเกินไปก็พอ ผมไม่เร่งคุณหรอก แค่อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด สมกับความวิเศษของกระดาษแผ่นนี้”
“ได้ยินพี่ปราโมทย์พูดเรื่องเป็นของวิเศษหลายครั้ง กระผมยังไม่กระจ่างใจ ที่ว่าวิเศษนัก เป็นอย่างไรกันแน่...”
และแม้หลังจากได้ยินคำตอบ สัตยาจะอยากคืนมันกลับให้เจ้าของ ก็สุดวิสัยเพราะเหมือนรับปากไปเสียแล้วว่าจะช่วย
“คือกระดาษแผ่นนี้น่ะนะ...
...มันเป็น... กระดาษหนังคน...”