กระผมได้อ่านบทความของท่านเรื่อง ชำระความเชื่อ เพื่อเอื้อความจริง แล้วรู้สึกอดรนทนไม่ไหว จำต้องลุกขึ้นมาเขียนบทความอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้พระคุณเจ้าได้นำมาพิจารณาด้วยนะครับ
กระผมคงไม่สามารถถกธรรมะกับพระคุณเจ้าได้ เพราะคนอย่างกระผมมันบาปหนาเกินไป หยาบช้าเกินไป แม้แต่ศีลห้ายังปฏิบัติไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว จึงไม่กล้าจะไปถกธรรมะกับพระคุณเจ้าที่ถือศีลถึง 227 ข้อได้ ดังนั้นบทความในวันนี้จึงเป็นเพียงบทความอีกด้านหนึ่งที่เห็นต่างมุมกับพระคุณเจ้านะครับ
ปกติด้วยความเจียมตนในความไม่ประสาเกี่ยวกับหลักธรรมมักนัก อีกทั้งยังมีความรู้สึกบาปหนาตามกิเลสของมนุษย์ปุถุชน ผมจึงไม่ค่อยจะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาและหลักคำสั่งสอน ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือสาวกที่นำหลักธรรมมาเผยแผ่ เพราะกลัวจะเป็นการเพิ่มบาปที่มากอยู่แล้ว ให้มากยิ่งขึ้น
ปกติกระผมไม่ค่อยได้ติดตามคำสอนของพระคุณเจ้า แม้จะมีหลายฝ่ายบอกว่าพระคุณเจ้าออกไปในทางฝั่งคนเสื้อเหลือง แต่ความที่กระผมไม่เคยให้ความสนใจกับหลักคำสอนของพระคุณเจ้า ผมจึงไม่เคยคิดจะวิพากษ์วิจารณ์ในหลักคำสอนของพระคุณเจ้ามาแต่ไหนแต่ไรเลยนะครับ
แม้กระทั้งเรื่องการฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคนนั้น ผมฟังแล้วรู้สึกแปร่งๆหูอย่างไรชอบกล หรือ แม้กระทั่งอร่อยจนลืมกลับวัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรสำหรับผู้ที่อยู่ในเพศสมณะที่ละแล้วเรื่องรูปรสกลิ่นเสียง แต่กระผมก็ไม่อยากก้าวล่วง เพราะถือว่า สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ เมื่อพระคุณท่านเห็นว่าไม่ผิดพระธรรมวินัย กระผมก็ได้แต่ถือว่า บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกินก็แล้วกันนะครับพระคุณเจ้า
แต่พระคุณเจ้าครับ การที่พระคุณเจ้าได้เขียนบทความเรื่อง “ชำระความเชื่อ เพื่อเอื้อความจริง” นั้น กระผมยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกพระคุณเจ้าจะยิ่งออกทะเลไปกันใหญ่แล้วนะครับ ไม่ใช่คนที่อ่านบทความของพระคุณเจ้า แล้วออกอ่าวออกทะเลอย่างที่พระคุณเจ้าเทศน์นะครับ
พระคุณเจ้ากล่าวว่า “การฆ่าสัตว์บาป แต่การฆ่าเวลาบาปมหันต์ยิ่งกว่านั้น” มีบางคนตัดทอนให้เหลือสั้นว่า “ฆ่าเวลา บาปยิ่งกว่าฆ่าคน” แล้วให้อ่านด้วยใจเป็นธรรมก็จะทราบเจตนารมณ์ชัดเจนว่า กำลังพูดถึงเรื่องการใช้เวลาไม่คุ้มอย่างที่เราเรียกกันว่า “ฆ่าเวลา” นั่นเอง
กระผมอ่านแล้วอ่านอีก คิดทบทวนแล้วทบทวนอีก ก็ไม่เห็นความต่างระหว่าง “การฆ่าสัตว์บาป แต่การฆ่าเวลาบาปมหันต์ยิ่งกว่านั้น” มันแตกต่างจากวลี “ฆ่าเวลา บาปยิ่งกว่าฆ่าคน” ตรงไหน เพราะทั้งสองวลีนั้น มันก็มีความหมายเหมือนกันว่า บาปจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตย่อมมีบาปน้อยกว่าการฆ่าเวลา ต่อให้พระคุณเจ้าจะแก้ตัวหรืออธิบายอย่างไร มันก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความหมายของวลีข้างต้นได้หรอกครับพระคุณเจ้า
กระผมไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของพระคุณเจ้า ดังนั้นจึงจะขออธิบายความคิดเห็นของกระผมให้พระคุณเจ้าได้รับไปพิจารณาด้วยนะครับ
การที่พระคุณเจ้านำเอา “เวลา” มาเปรียบกับกับ “ชีวิต” กระผมคิดว่ามันผิดตั้งแต่ต้นแล้วครับ ยิ่งพระคุณเจ้ามาพูดถึงเรื่องการฆ่าสิ่งมีชีวิต เมื่อสำนึกผิด ยังสามารถนำสัตว์มาปล่อยเอาบุญได้ แต่การฆ่าเวลาที่มีค่านั้น เมื่อสูญไปแล้ว ก็ไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้
พระคุณเจ้าครับ ชีวิตหนึ่งที่ดับสูญก็ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะทำบุญกับอีกกี่ชีวิตก็ตาม บาปที่ได้รับจากการฆ่า ก็ไม่สามารถชำระได้ด้วยการทำบุญเช่นกัน อีกทั้งหนึ่งชีวิตที่ดับสูญมันไม่ใช่แค่หนึ่งชีวิตที่ถูกปลิดปลง เบื้องหลังยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทนมานกับการสูญเสีย ดังนั้นกระผมจึงคิดว่า คงไม่มีอะไรอีกแล้วครับที่จะบาปไปกว่าการฆ่า เพราะนั่นเป็นการเบียดเบียนทั้งเวลาและความสุขของอีกฝ่าย เป็นการทำลายชีวิตของสรรพสัตว์ที่เกิดมาเพื่อรับกรรมก่อนเวลาอันควร
แต่สำหรับเวลาที่ถูกฆ่าไปนั้น บางทีก็เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เป็นการใช้เวลาที่เหลือจากชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งการนอนเพื่อฆ่าเวลานั้น อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์กับร่างกายของคนฆ่าเอง อีกทั้งการฆ่าเวลาก็เป็นการฆ่าเวลาของตัวเอง ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น อย่างนี้แล้วพระคุณเจ้ายังมีความเห็นเหมือนเดิมหรือเปล่าครับว่า การฆ่าสัตว์บาปก็จริง แต่การฆ่าเวลาบาปมหันต์ยิ่งกว่าหรือเปล่าครับ
พระคุณเจ้าครับ ในขณะที่สังคมกำลังแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง สังคมกำลังอยู่ระหว่างการเผชิญหน้า พระคุณเจ้าก็มาแสดงหลักธรรมในเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นไปอย่างไร้เจตนา ถึงแม้จะเขียนไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่พระคุณเจ้าต้องตระหนักถึงความคิดเห็นต่างของสังคมที่พร้อมจะห้ำหั่นกันได้ทุกเวลา พระคุณเจ้าจึงควรใช้หลักธรรมที่ละเอียดอ่อนกว่าวาทกรรมที่เพียรสร้างนะครับ เพราะพระคุณเจ้าเป็นสงฆ์ที่ต้องการให้สรรพสัตว์หลุดพ้นจากความชั่ว จึงต้องให้คำจัดกัดความที่เข้าใจง่ายโดยชนทุกหมู่เหล่า ไม่ใช่กฎหมายในรัฐธรรมนูญที่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญคอยตีความสักหน่อย
และยิ่งเป็นคำสอนที่ออกมาในยามที่สังคมกำลังตึงเครียดระหว่างคนสองฝ่าย จึงมาการตีความเข้าข้างตัวเอง ฝ่ายหนึ่งก็ตีความว่า เมื่อการฆ่าเวลาบาปมากกว่าการฆ่าคน โศกนาฏกรรมในครั้งนั้น ส่วนหนึ่งอาจมาจากวลีนั้นก็ได้ ส่วนอีกฝ่ายก็คงจะประณามพระคุณเจ้าที่เข้ามาเสนอหลักธรรมในช่วงเวลาที่ไม่สมควร
แต่พระคุณเจ้าครับในช่วงที่สังคมกำลังสับสนกับวลีธรรมของพระคุณเจ้า ตอนนั้นพระคุณเจ้าควรจะรีบออกมาชี้แจงและทำความเข้าใจกับพุทธสมาชิกของพระคุณท่าน ไม่ใช่มัวแต่ปลาบปลื้มกับไล้ท์ที่ได้รับ โดยละเลยกับคำตำหนิติเตียนของอีกฝ่าย นั่นจะให้อีกฝ่ายมองพระคุณเจ้าเป็นอื่นได้อย่างไรครับพระคุณเจ้า
อย่าว่าแต่ในช่วงสำคัญ นอกจากพระคุณเจ้าไม่ได้ออกมาขอบิณฑบาตชีวิตแล้ว ยังไม่เคยได้ยินพระคุณเจ้าพูดถึงชีวิตร่วมร้อยที่ต้องดับสูญและบาดเจ็บร่วมสองพันเลยแม้สักครั้งเดียว พระคุณเจ้าอาจจะคิดว่าการเมืองไม่ใช่กิจของสงฆ์
แต่พระคุณเจ้าอย่าลืม การช่วยชีวิตคนเหมือนสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นทีเดียวนะครับพระคุณเจ้า ดังนั้นบุญจากการช่วยคนเป็นร้อยชีวิตย่อมมีบุญมากกว่าการแสดงหลักธรรมทั้งหมดที่พระคุณเจ้ากระทำมาตลอดเลยนะครับ อาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในตอนนั้น แต่ก็คุ้มกับการลองดูมิใช่หรือครับพระคุณเจ้า และการที่พระคุณเจ้าละเลยและเพิกเฉยอย่างนั้น จะเรียกว่าเป็นการฆ่าเวลาหรือเปล่าครับพระคุณเจ้า
พระคุณเจ้า ว.วชิรเมธีครับ ผมมีเรื่องอยากถกด้วยครับ
กระผมคงไม่สามารถถกธรรมะกับพระคุณเจ้าได้ เพราะคนอย่างกระผมมันบาปหนาเกินไป หยาบช้าเกินไป แม้แต่ศีลห้ายังปฏิบัติไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว จึงไม่กล้าจะไปถกธรรมะกับพระคุณเจ้าที่ถือศีลถึง 227 ข้อได้ ดังนั้นบทความในวันนี้จึงเป็นเพียงบทความอีกด้านหนึ่งที่เห็นต่างมุมกับพระคุณเจ้านะครับ
ปกติด้วยความเจียมตนในความไม่ประสาเกี่ยวกับหลักธรรมมักนัก อีกทั้งยังมีความรู้สึกบาปหนาตามกิเลสของมนุษย์ปุถุชน ผมจึงไม่ค่อยจะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาและหลักคำสั่งสอน ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือสาวกที่นำหลักธรรมมาเผยแผ่ เพราะกลัวจะเป็นการเพิ่มบาปที่มากอยู่แล้ว ให้มากยิ่งขึ้น
ปกติกระผมไม่ค่อยได้ติดตามคำสอนของพระคุณเจ้า แม้จะมีหลายฝ่ายบอกว่าพระคุณเจ้าออกไปในทางฝั่งคนเสื้อเหลือง แต่ความที่กระผมไม่เคยให้ความสนใจกับหลักคำสอนของพระคุณเจ้า ผมจึงไม่เคยคิดจะวิพากษ์วิจารณ์ในหลักคำสอนของพระคุณเจ้ามาแต่ไหนแต่ไรเลยนะครับ
แม้กระทั้งเรื่องการฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคนนั้น ผมฟังแล้วรู้สึกแปร่งๆหูอย่างไรชอบกล หรือ แม้กระทั่งอร่อยจนลืมกลับวัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรสำหรับผู้ที่อยู่ในเพศสมณะที่ละแล้วเรื่องรูปรสกลิ่นเสียง แต่กระผมก็ไม่อยากก้าวล่วง เพราะถือว่า สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ เมื่อพระคุณท่านเห็นว่าไม่ผิดพระธรรมวินัย กระผมก็ได้แต่ถือว่า บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกินก็แล้วกันนะครับพระคุณเจ้า
แต่พระคุณเจ้าครับ การที่พระคุณเจ้าได้เขียนบทความเรื่อง “ชำระความเชื่อ เพื่อเอื้อความจริง” นั้น กระผมยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกพระคุณเจ้าจะยิ่งออกทะเลไปกันใหญ่แล้วนะครับ ไม่ใช่คนที่อ่านบทความของพระคุณเจ้า แล้วออกอ่าวออกทะเลอย่างที่พระคุณเจ้าเทศน์นะครับ
พระคุณเจ้ากล่าวว่า “การฆ่าสัตว์บาป แต่การฆ่าเวลาบาปมหันต์ยิ่งกว่านั้น” มีบางคนตัดทอนให้เหลือสั้นว่า “ฆ่าเวลา บาปยิ่งกว่าฆ่าคน” แล้วให้อ่านด้วยใจเป็นธรรมก็จะทราบเจตนารมณ์ชัดเจนว่า กำลังพูดถึงเรื่องการใช้เวลาไม่คุ้มอย่างที่เราเรียกกันว่า “ฆ่าเวลา” นั่นเอง
กระผมอ่านแล้วอ่านอีก คิดทบทวนแล้วทบทวนอีก ก็ไม่เห็นความต่างระหว่าง “การฆ่าสัตว์บาป แต่การฆ่าเวลาบาปมหันต์ยิ่งกว่านั้น” มันแตกต่างจากวลี “ฆ่าเวลา บาปยิ่งกว่าฆ่าคน” ตรงไหน เพราะทั้งสองวลีนั้น มันก็มีความหมายเหมือนกันว่า บาปจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตย่อมมีบาปน้อยกว่าการฆ่าเวลา ต่อให้พระคุณเจ้าจะแก้ตัวหรืออธิบายอย่างไร มันก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความหมายของวลีข้างต้นได้หรอกครับพระคุณเจ้า
กระผมไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของพระคุณเจ้า ดังนั้นจึงจะขออธิบายความคิดเห็นของกระผมให้พระคุณเจ้าได้รับไปพิจารณาด้วยนะครับ
การที่พระคุณเจ้านำเอา “เวลา” มาเปรียบกับกับ “ชีวิต” กระผมคิดว่ามันผิดตั้งแต่ต้นแล้วครับ ยิ่งพระคุณเจ้ามาพูดถึงเรื่องการฆ่าสิ่งมีชีวิต เมื่อสำนึกผิด ยังสามารถนำสัตว์มาปล่อยเอาบุญได้ แต่การฆ่าเวลาที่มีค่านั้น เมื่อสูญไปแล้ว ก็ไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้
พระคุณเจ้าครับ ชีวิตหนึ่งที่ดับสูญก็ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะทำบุญกับอีกกี่ชีวิตก็ตาม บาปที่ได้รับจากการฆ่า ก็ไม่สามารถชำระได้ด้วยการทำบุญเช่นกัน อีกทั้งหนึ่งชีวิตที่ดับสูญมันไม่ใช่แค่หนึ่งชีวิตที่ถูกปลิดปลง เบื้องหลังยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทนมานกับการสูญเสีย ดังนั้นกระผมจึงคิดว่า คงไม่มีอะไรอีกแล้วครับที่จะบาปไปกว่าการฆ่า เพราะนั่นเป็นการเบียดเบียนทั้งเวลาและความสุขของอีกฝ่าย เป็นการทำลายชีวิตของสรรพสัตว์ที่เกิดมาเพื่อรับกรรมก่อนเวลาอันควร
แต่สำหรับเวลาที่ถูกฆ่าไปนั้น บางทีก็เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เป็นการใช้เวลาที่เหลือจากชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งการนอนเพื่อฆ่าเวลานั้น อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์กับร่างกายของคนฆ่าเอง อีกทั้งการฆ่าเวลาก็เป็นการฆ่าเวลาของตัวเอง ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น อย่างนี้แล้วพระคุณเจ้ายังมีความเห็นเหมือนเดิมหรือเปล่าครับว่า การฆ่าสัตว์บาปก็จริง แต่การฆ่าเวลาบาปมหันต์ยิ่งกว่าหรือเปล่าครับ
พระคุณเจ้าครับ ในขณะที่สังคมกำลังแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง สังคมกำลังอยู่ระหว่างการเผชิญหน้า พระคุณเจ้าก็มาแสดงหลักธรรมในเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นไปอย่างไร้เจตนา ถึงแม้จะเขียนไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่พระคุณเจ้าต้องตระหนักถึงความคิดเห็นต่างของสังคมที่พร้อมจะห้ำหั่นกันได้ทุกเวลา พระคุณเจ้าจึงควรใช้หลักธรรมที่ละเอียดอ่อนกว่าวาทกรรมที่เพียรสร้างนะครับ เพราะพระคุณเจ้าเป็นสงฆ์ที่ต้องการให้สรรพสัตว์หลุดพ้นจากความชั่ว จึงต้องให้คำจัดกัดความที่เข้าใจง่ายโดยชนทุกหมู่เหล่า ไม่ใช่กฎหมายในรัฐธรรมนูญที่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญคอยตีความสักหน่อย
และยิ่งเป็นคำสอนที่ออกมาในยามที่สังคมกำลังตึงเครียดระหว่างคนสองฝ่าย จึงมาการตีความเข้าข้างตัวเอง ฝ่ายหนึ่งก็ตีความว่า เมื่อการฆ่าเวลาบาปมากกว่าการฆ่าคน โศกนาฏกรรมในครั้งนั้น ส่วนหนึ่งอาจมาจากวลีนั้นก็ได้ ส่วนอีกฝ่ายก็คงจะประณามพระคุณเจ้าที่เข้ามาเสนอหลักธรรมในช่วงเวลาที่ไม่สมควร
แต่พระคุณเจ้าครับในช่วงที่สังคมกำลังสับสนกับวลีธรรมของพระคุณเจ้า ตอนนั้นพระคุณเจ้าควรจะรีบออกมาชี้แจงและทำความเข้าใจกับพุทธสมาชิกของพระคุณท่าน ไม่ใช่มัวแต่ปลาบปลื้มกับไล้ท์ที่ได้รับ โดยละเลยกับคำตำหนิติเตียนของอีกฝ่าย นั่นจะให้อีกฝ่ายมองพระคุณเจ้าเป็นอื่นได้อย่างไรครับพระคุณเจ้า
อย่าว่าแต่ในช่วงสำคัญ นอกจากพระคุณเจ้าไม่ได้ออกมาขอบิณฑบาตชีวิตแล้ว ยังไม่เคยได้ยินพระคุณเจ้าพูดถึงชีวิตร่วมร้อยที่ต้องดับสูญและบาดเจ็บร่วมสองพันเลยแม้สักครั้งเดียว พระคุณเจ้าอาจจะคิดว่าการเมืองไม่ใช่กิจของสงฆ์
แต่พระคุณเจ้าอย่าลืม การช่วยชีวิตคนเหมือนสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นทีเดียวนะครับพระคุณเจ้า ดังนั้นบุญจากการช่วยคนเป็นร้อยชีวิตย่อมมีบุญมากกว่าการแสดงหลักธรรมทั้งหมดที่พระคุณเจ้ากระทำมาตลอดเลยนะครับ อาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในตอนนั้น แต่ก็คุ้มกับการลองดูมิใช่หรือครับพระคุณเจ้า และการที่พระคุณเจ้าละเลยและเพิกเฉยอย่างนั้น จะเรียกว่าเป็นการฆ่าเวลาหรือเปล่าครับพระคุณเจ้า