นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้เข้าเป็นรัฐบาลสืบแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้แสดงท่าทีมุ่งมั่นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง จนกระทั่งข้ามเดือนข้ามปี จนกระทั่งขึ้นปีใหม่ 2556 แล้วก็ยังมุ่งมั่นทำเรื่องนี้กันอยู่

ทำราวกับว่าการแก้รัฐธรรมนูญ และการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นวาระแห่งชาติ เป็นความเป็นความตายของประเทศชาติและประชาชนฉะนั้น

ทั้งๆที่ปัจจุบันนี้ปัญหาวิกฤตทุกด้านกำลังรุมเร้าทั้งแก่ประเทศชาติและประชาชน จนอาณาประชาราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ถึงขนาดที่กล่าวกันว่า “ฟางเส้นสุดท้ายใกล้มาถึงแล้ว”

ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดให้แก่เขมรด้วยน้ำมือของนักการเมืองทุกฝ่ายที่สมคบกับนักการเมืองเขมร ถึงขนาดบังอาจยืมมือศาลโลกเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อหลอกลวงให้การยกแผ่นดินไทยแก่เขมรได้รับการยอมรับนับถือ

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็กำลังเสียการปกครอง เสียอำนาจให้แก่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ถึงขนาดที่ข้าราชการทั้งครูและตำรวจไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่กันแล้ว ก็ยังคงพร่ำเพ้ออยู่ 4 คำว่ามาถูกทางแล้ว หรือสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว หรืออีกฝ่ายหนึ่งสร้างสถานการณ์ และคาถามหาละลวยอีกคำหนึ่งว่าบูรณาการ

การโกงบ้านกินเมืองจนนานาชาติหยามหยันไปทั่วโลกเพราะมีการโกงกินขนานใหญ่จนทำให้ประเทศไทยถูกจัดลำดับเป็นประเทศขี้โกงลำดับที่ 88 ของโลก และยังจะโกงกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าประเทศไทยจะเหลือแต่ซากและคนไทยจะเหลือแต่กระดูก

การกดขี่ข่มเหงข้าราชการทุกหมู่เหล่า แม้กระทั่งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พลเรือน และประชาชน รวมทั้งการบังคับขู่เข็ญจ้างวานให้บุคลากรในองค์กรอิสระเกือบทั้งหมดเป็นสมุนรับใช้ ทำให้กลไกปกป้องคุ้มครองประโยชน์แผ่นดินสิ้นสูญไป

ปัญหาการตกงาน การว่างงาน และปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายของประชาชนทุกเหล่าอาชีพได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง

เหล่านี้นักการเมืองไม่สนใจและไม่ฟังเสียงใคร ยังคงเล่นเกมกลทางการเมืองในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรมกันร่ำไป

เมื่อปีก่อนวุ่นวายกันถึงขนาดต่อสมัยประชุมสภาจนกระทั่งสมาชิกรัฐสภาด้วยกันไม่เป็นอันได้ออกไปเยี่ยมเยือนราษฎร เพราะถูกกำหนดให้เข้าประชุมเพื่อจะผลักดันแก้รัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรม

กระทั่งย่างเข้าปี 2556 นักการเมืองก็ยังเล่นแร่แปรธาตุกันในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ และจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมอยู่นั่นเอง

พวกหนึ่งต้องการเร่งรัดเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้เร็วที่สุด เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถเดินทางกลับประเทศไทยอย่างเท่ และเข้ามาดำรงตำแหน่งหรือบริหารจัดการประเทศไทยในฐานะผู้นำประเทศอย่างเต็มอัตราศึก

อีกพวกหนึ่งแม้ปากว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งในระยะต้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงเป็นจัง แต่หลังๆมานี้ กลับมีเรื่องทะๆ ปรากฏร่องรอยให้เห็นว่าแก้แต่ปาก และเหยียบเบรกเพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายนิรโทษกรรมล่าช้าที่สุด

ดังนั้นการเล่นเกมกลการเมืองระหว่างคนสองพวกนี้ จึงทำให้เกิดเป็นกระแสทางการเมืองที่กลบเรื่องเลวร้ายทั้งหลาย ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกันของคนสองพวกนี้ ดังนั้นเรื่องราวของการแก้รัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายนิรโทษกรรมจึงยังคงเป็นข่าวใหญ่ต่อเนื่องไปจนกว่าเถาถั่วจะต้มถั่วพินาศวายวอดกันไปข้างหนึ่ง ซึ่งคงจะได้เห็นกันในปีนี้

พวกต้องการแก้ไขให้รวดเร็วที่สุดจริงๆนั้น ก็ย่อมเป็นไปเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาครองอำนาจและพวกตัวก็จะได้ดีมีวาสนาตามไปด้วย ดังนั้นยิ่งแก้ไขเร็วที่สุดเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น

พวกที่ต้องการแก้แต่ปาก แต่เหยียบเบรกสุดตัวก็เพราะรู้ดีว่า ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจวันไหน ใครที่มีอำนาจอยู่ในวันนี้ ก็ต้องหลบออกไปจากเก้าอี้ที่ครองอยู่ บรรดาผลประโยชน์และอำนาจทั้งหลายที่มีอยู่ก็จะสูญสิ้นไปในวันนั้น

กระแสเคลื่อนไหวสองพวกดังกล่าวนี้ แม้ภายนอกผิวเผินจะดูเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายนิรโทษกรรม แท้จริงแล้วภายใต้มายาภาพนั้นคือความขัดแย้งระดับสูงที่เป็นปรปักษ์ต่อกัน และในที่สุดก็จะต้องฟาดฟันกันจนพินาศกันไปข้างหนึ่ง

คำโบราณที่ว่า แค้นของถั่วคือเถาถั่วต้มถั่วนั้น จึงอาจปรากฏให้เห็นเด่นชัดในปีใหม่นี้

ดังนั้นผลการสัมมนาที่เขาใหญ่ล่าสุดจึงแทนที่จะมีมติให้ลงประชามติหรือแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ก็ถูกใส่เบรคสุดตัวอีกครั้งหนึ่งว่าต้องให้นักวิชาการพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบเสียก่อน

เพราะไม่ใช่เรื่องด่วนรีบร้อนอะไรซึ่งหมายความว่าไม่ใช่เรื่องด่วนรีบร้อนของคนที่มีอำนาจในขณะนี้ ส่วนคนที่ไม่มีอำนาจจะเดือดร้อนอย่างไร พวกตรูไม่เกี่ยวโว้ย!

ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/4826

ปล.แต่ผมคิดว่า รัฐบาลปู คงช่วยพี่ชายก่อนแน่ ๆ รอไปก่อนพี่น้อง ...เอิ๊ก ๆ ๆ